จางจินไห่บอกเสียงดังกับทุกคนว่า “โคมสีนี้โรงพักม้าและบ้านเรือนสูงศักดิ์มั่งคั่งในตำบลเป็คนออกเงินซื้อ ยังมีโคมไฟหลายดวงที่ใหญ่เป็พิเศษนั้น เป็ท่านนายอำเภอห้าวนำมาให้ ท่านนายอำเภอห้าวดำรงตำแหน่งในตำบลของเรามานานปีจนเกิดความผูกพัน แม้จะได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นายอำเภอแล้ว ก็ยังคงนึกถึงพวกเราอยู่”
จู่ๆ ก็มีเสียงฆ้องและกลองดังมาจากไกลๆ ประสานมากับเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจของผู้คน ทุกคนจึงหันไปมองด้วยความอยากรู้
และยังเป็จางจินไห่ที่เอ่ยเสียงดังๆ ว่า “เทศกาลโคมไฟปีนี้ ใต้เท้าหลิวแห่งโรงพักม้า ได้เชิญขบวนแห่มาจากในตัวอำเภอด้วย นั่นเป็ขบวนแห่ของคณะเยี่ยนหั่ว กำลังแสดงเชิดสิงโต และคนยืนบนขาโถกเถก พวกเขาจะเดินไปตามถนน อีกประเดี๋ยวก็จะเดินมาทางนี้ พวกเราไม่ต้องเดินไปข้างหน้า รออยู่ที่นี่เป็พอ
“ที่แท้เป็ขบวนแห่ของคณะเยี่ยนหั่วนี่เอง”
“ไม่ได้มีขบวนแห่มาที่ตำบลหลายปีแล้ว”
“ใต้เท้าหลิวเลื่อนตำแหน่งจากรองผู้ดูแลโรงม้าขึ้นเป็ผู้ดูแลหลัก ด้วยความดีใจจึงเชิญคณะเยี่ยนหั่วมาให้พวกเราได้ชมกันด้วย”
ผู้คนโดยรอบล้วนตื่นเต้นกันอย่างยิ่ง มีคนใจร้อนหลายคนที่ทนรอไม่ไหวจึงวิ่งออกไปดู
ไม่นานจากนั้นก็มีเสียงร้องอย่างตื่นตะลึงมาจากทางขบวนแห่ว่า “เ้าแม่กวนอิม!”
“รีบมาดูเร็ว เ้าแม่กวนอิมลงมาโปรดแล้ว!”
“เ้าแม่กวนอิมช่างน่าเกรงขามนัก!”
“นึกไม่ถึงว่าปีนี้ในขบวนแห่ยังมีเ้าแม่กวนอิมด้วย
ครานี้คนจำนวนมากจึงพากันรุมเข้าไปด้วยความตื่นเต้น มีเด็กห้าหกขวบคนหนึ่งถูกเบียดจนล้มลงกับพื้น พ่อแม่เด็กคนนั้นรีบเข้าไปอุ้มลูกและร้องด่าทอยกใหญ่ด้วยความโกรธ และยังมีชายชราคนหนึ่งถูกเบียดจนหมวกหล่นกำลังกระทืบเท้าด่าคนอย่างเกรี้ยวกราด
เมื่อเห็นว่ากำลังจะเกิดความวุ่นวายขึ้น จางจินไห่พลันขมวดคิ้ว ทางหนึ่งก็กันไม่ให้คนวิ่งไป อีกทางหนึ่งก็ะโดังลั่นว่า “จะได้ดูกวนอิมกันทุกคน อย่ารีบร้อน อย่าเบียดกัน มีเด็กเล็ก อย่าเบียดเด็ก!”
หลี่อิงฮว๋าตอบสนองได้เร็วที่สุด รีบะโไปทางกลุ่มคนที่ตามไปว่า “ระวังเท้าด้วย อย่าเหยียบคน”
หลี่เจี้ยนอันะโว่า “ทุกคนยืนอยู่สองข้างทางอย่าขยับไปไหน เว้นทางให้ขบวนแห่เดินมาด้วย”
พาให้ทุกคนะโเสียงดังตามขึ้นมา เมื่อทุกคนช่วยกันร้องเตือน ผู้ชายที่โตแล้วหลายคนจึงออกไปช่วยกันจัดระเบียบ เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายและสามารถสกัดเื่อันตรายไว้ได้ทัน
หลี่หรูอี้เห็นเหตุการณ์อยู่ตลอดและแอบชื่นชมจางจินไห่ที่มีไหวพริบดี คิดอยู่ในใจว่า ถ้าพวกพี่ๆ ได้เข้าสำนักศึกษาก็จะต้องเก่งกาจเหมือนกับจางจินไห่
เสียงฆ้องและกลองค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ ขบวนยาวๆ ของขบวนแห่เคลื่อนเข้ามาอย่างเอิกเกริก
ส่วนหน้าสุดของขบวนคือ สิงโตตัวใหญ่สีแดงสองตัว สิงโตทุกตัวมีคนเชิดสองคน และยังกะพริบตาได้ด้วย มองจากระยะไกลก็ยังเห็นได้ว่าขนตาของสิงโตยาวมาก น่าตื่นตาเหลือเกิน
ทางด้านหลังสิงโตเป็ตัวตลกสวมชุดของสตรีและยืนบนขาโถกเถก พวกเขาล้วนเป็บุรุษร่างกำยำ ใบหน้าคล้ำๆ มาทาแป้งแต่งหน้าคุณภาพต่ำสีขาวๆ ทำให้ส่วนของลำคอกับใบหน้ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เดินไปแป้งก็ร่วงกราว ริมฝีปากหนาๆ ทาชาดที่แดงยิ่งกว่าสีเื ทำเสียพวกเขาดูน่าเกลียดนัก นอกจากนี้ก็ยังเป็ชายที่แต่งเป็หญิง สวมกระโปรง ปักปิ่นบนมวยผม ยืนอยู่บนไม้โถกเถกที่ทำจากไม้สูงสองฉื่อ แต่ละก้าวที่เดินตัวก็จะเอียงไปข้างหน้า บั้นท้ายงอนขึ้นเรียกว่าอัปลักษณ์เป็ที่สุด
แต่แม้จะเป็เช่นนี้ทุกคนก็ยังดูกันอย่างสนุกสนาน ต่างรู้สึกว่าคนที่ยืนอยู่บนไม้โถกเถกก็เป็เช่นนี้ ถ้าไม่น่าเกลียดก็จะไม่ได้หัวเราะ ถ้าไม่น่าตลกก็จะไม่ครึกครื้น
หลี่หรูอี้อดหัวเราะออกมาไม่ได้ บอกว่า “น่าเกลียดจริงๆ”
ด้านหลังขบวนเดินบนไม้โถกเถก ก็เป็ขบวนประโคมฆ้อง กลอง และแตรปากกว้างหกคน มีทั้งคนหนุ่มคนแก่ ทุกคนล้วนสวมเสื้อสีแดงและใส่กางเกงสีดำ ทาแป้งสีขาวบนใบหน้า แต่พอมีขบวนโถกเถกมาเปรียบเทียบ พวกเขาจึงดูไม่น่าเกลียดเท่าใดนัก
ตาเฒ่าคนหนึ่งพูดเสียงดังว่า “พวกเขาเป่าเพลงตีพุทราแดง[1]”
“เดือนหนึ่งตีพุทราแดง ปลายปีเก็บเกี่ยว”
“เป่าเพลงได้เป็สิริมงคลจริงๆ เป็สิริมงคลยิ่งกว่าในงานแต่งเสียอีก”
ที่แท้แล้วเพลงที่คนทั้งหกทั้งเป่าทั้งตีอยู่นี้มีที่มา ซึ่งก็คือบทเพลง ‘ตีพุทราแดง’ ที่สืบทอดในหมู่ชาวบ้านมาหลายร้อยปีนั่นเอง
บทเพลง ‘ตีพุทราแดง’ เล่าถึงภาพในฤดูใบไม้ร่วงที่พุทราสุกหมดแล้ว และผู้คนทั้งชายหญิง เด็กเล็ก และคนชรา ล้วนพากันถือไม้ไปตีที่ลำต้นพุทราเพื่อเก็บลูกพุทรา
ลูกพุทรามีสีแดงบ่งบอกถึงความเป็สิริมงคลและสมปรารถนา การตีพุทราแทนการเก็บเกี่ยว ซึ่งล้วนเป็สิ่งที่ทุกคนเฝ้ารออยู่ในใจ
ฉะนั้นเมื่อมาบรรเลงเพลง ‘ตีพุทราแดง’ ในงานเทศกาลโคมไฟจึงเหมาะกับงานอย่างยิ่ง ทำให้ได้รับความชื่นชอบจากชาวบ้านอย่างมาก
“รีบดูสิ นั่นเ้าแม่กวนอิม!”
“เป็ผู้ใดแต่งตัวเป็เ้าแม่กวนอิมกันนะ ทั้งสง่าทั้งงดงาม”
“ได้ยินว่าชายผู้หนึ่งในหมู่บ้านเสี่ยวข่านเป็คนแต่งตัวเป็เ้าแม่กวนอิม ชายคนนี้แต่งตัวเป็เ้าแม่กวนอิมทุกปี มีชื่อเสียงอย่างมากในรัศมีสิบลี้นี้
สายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปที่ตัวเ้าแม่กวนอิมที่กำลังเดินอยู่ในขบวนแห่
เ้าแม่กวนอิมผู้นี้มีรูปร่างสูงผอม ทาแป้งบนใบหน้าบางๆ ใบหน้ายาว หูยาว คิ้วเข้ม ตาโต และมีสายตาอ่อนโยน เนื่องจากกำลังแสดงเป็เ้าแม่กวนอิมที่ละกิเลสในแดนมนุษย์ จึงต้องมีสีหน้าที่สงบนิ่ง
เขาสวมชุดขาวคอตั้ง คอเสื้อสูงจนปิดลูกกระเดือกที่ยื่นออกมาจนมิด มองแล้วเหมือนทั้งชายทั้งหญิง มือซ้ายถือแจกันสีดำ มือขวาถือกิ่งไม้ยาวหนึ่งฉื่อคล้ายกิ่งหลิวกิ่งหนึ่ง
ทางด้านหลังของเขามีเด็กรับใช้ชายหญิงคู่หนึ่งตามในตำนาน โดยเป็เด็กเล็กๆ อายุห้าหกขวบแต่งตัวเป็เด็กรับใช้ คนหนึ่งสวมเสื้อสีทอง อีกคนหนึ่งสวมกระโปรงสีเงิน ทั้งคู่ต่างเกล้าผมเป็จุกอยู่กลางหัว ทาแป้งทาชาดบนใบหน้า ดูน่ารักยิ่งนัก
ทางด้านหลังเป็เง็กเซียนฮ่องเต้ เ้าแม่หวังหมู่ ไท่ส่างเหล่าจวิน[2] เซียนทั้งสี่แห่งเทพั ซึ่งล้วนเป็ชายหนุ่ม ที่แต่งหน้าแต่งตาและสวมชุดแสดงทั้งสิ้น
คนที่แสดงเป็เ้าแม่หวังหมู่ มีรูปร่างกำยำสูงใหญ่ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็มัดจนแทบจะทำให้ชุดแสดงปริขาดอยู่แล้ว เดินไปแป้งที่หน้าก็ร่วงกราวไปตลอดทาง อัปลักษณ์เป็คู่แข่งกับขบวนโถกเถกได้ทีเดียว
เ้าแม่กวนอิมอยู่ในศาสนาพุทธ ส่วนเง็กเซียนฮ่องเต้และเทพเซียนทั้งสี่เป็ลัทธิเต๋า ซึ่งในแคว้นต้าโจวล้วนเน้นลัทธิเต๋าเป็หลัก แม้นว่าศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าจะมีความขัดแย้งระหว่างกัน แต่นี่เป็่ปีใหม่ ชาวบ้านมาดูกันด้วยความสนุก ไม่ว่าจะเป็ขบวนแห่ที่ใดก็ล้วนเป็เช่นนี้ทั้งสิ้น
สุดท้ายเป็ขบวนเรือบก[3] ซึ่งเป็ขบวนที่ตื่นตาที่สุด เรือยาวครึ่งจั้งสองลำ แดงหนึ่งเขียวหนึ่ง ทั้งสองคนแยกกันเดินคนละฝั่ง
เรือบกทำจากกระดาษสีปะติด บนกระดาษยังวาดภาพมงคลของปลาไนเคล้าปทุมมาและธัญพืชทั้งห้าที่กำลังงอกงาม
เพื่อดึงดูดสายตาของผู้คน คนที่เดินเรือบกแดงจึงสวมเสื้อสีเขียว ส่วนคนที่เดินเรือบกเขียวสวมเสื้อสีแดง ทั้งสองคนยังติดเคราสีดำยาวสองฉื่อไว้ใต้คางด้วย ดูน่าขบขันนัก
ขบวนแห่เดินไปตามถนนหลักและถนนย่านการค้าของตำบลจินจีรอบหนึ่ง หลังขบวนมีชาวบ้านจำนวนมากเดินตาม ทุกแห่งที่เดินผ่านไปล้วนทำให้เกิดเสียงหัวเราะได้อย่างมาก
เมื่องานชมโคมมีขบวนแห่ก็ยิ่งทำให้งานคึกคักมากขึ้น ผู้คนสนุกสนานชื่นมื่นและต่างรู้สึกว่าคืนนี้ไม่ได้มาเสียเที่ยว ทำให้ปีนี้มีเื่ให้สนทนากันได้ทั้งปีแล้ว
แม้ว่าหลี่หรูอี้จะอยู่ท่ามกลางวงล้อมของท่านอารองและเหล่าพี่ชายที่ช่วยกันกลุ่มคนให้ แต่ก็ยังััได้ถึงบรรยากาศครึกครื้นของวันเทศกาลในแคว้นต้าโจว ยามมองโคมไฟสวยงามดวงแล้วดวงเล่าแกว่งไกวอยู่กลางสายลม ทำให้นางตาลายไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่านี่เป็ความทรงจำของโลกก่อนหรือเป็ความฝันกันแน่
“ดึกมากแล้ว พวกเรากลับเรือนกันเถิด อย่าให้ท่านพ่อท่านแม่รอนานจะเป็ห่วงเอา” หลี่เจี้ยนอันผู้เป็พี่ใหญ่จึงกล่าวขอบคุณพี่น้องสกุลจาง พร้อมกับเชิญพวกเขาไปเป็แขกที่บ้านสกุลหลี่ด้วย
หลี่อิงฮว๋าเดินออกมาสองสามก้าว แต่กลับยังไม่เห็นหลี่ฝูคังเดินตามมา จึงหันกลับไปดู และเห็นว่าเขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จึงร้องเสียงดังไปว่า “พี่รอง กลับเรือน”
หลี่ฝูคังทอดสายตาออกไปไม่ไกลนัก ที่นั่นมีเด็กสาวสวมชุดแดงกำลังสนทนาหัวร่อต่อกระซิกอยู่กับเด็กหนุ่มชุดครามร่างกายสูงใหญ่คนหนึ่ง เด็กหนุ่มลูบผมเด็กสาวไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ยังเอื้อมมือไปหยิกแก้มเด็กสาวด้วย
“ข้าว่านะพี่รอง ท่านใจลอยอันใดอยู่ หนาวจนตัวชาไปแล้วรึ” หลี่อิงฮว๋าหัวเราะร่าขณะผลักไหล่หลี่ฝูคังครั้งหนึ่ง จากนั้นก็บังเอิญมองไปเห็นเด็กหนุ่มเด็กสาวที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล โดยเฉพาะมองเห็นว่าเด็กหนุ่มวางมือไว้บนไหล่ของเด็กสาวตามอำเภอใจ เมื่อนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าจึงค่อยๆ เลือนหายไป
หลี่ฝูคังกำสองหมัดแน่น
“พวกพี่กำลังดูสิ่งใดกัน?” หลี่หรูอี้เดินเข้ามาหา เมื่อมองตามสายตาของหลี่ฝูคัง สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันใด
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ตีพุทราแดง คือ การเก็บพุทราโดยการเอาไม้เคาะที่ลำต้นให้ลูกตกลงมา
[2] ไท่ส่างเหล่าจวิน เป็หนึ่งในปรมาจารย์แห่งลัทธิเต๋า
[3] เรือบก คือ คนที่สะพายอุปกรณ์คล้ายกับเรืออยู่บนตัว มองแล้วคล้ายกำลังนั่งเรือ แต่ที่จริงขายังยืนอยู่บนพื้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้