อย่าเห็นว่าเขาขาเป๋ไปหนึ่งข้างเชียว ตอนที่วิ่งหนีนั้นเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก
มองดูร่างที่วิ่งหนีโซซัดโซเซของคังต้าจ้วงแล้ว เสิ่นม่านก็ยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน
มนุษย์เรา ล้วนรังแกกันเองทั้งนั้น
คนบางกลุ่มในหมู่บ้านแม้จะเห็นว่าวางมาดน่าเกรงขาม แต่ขอเพียงเข้าปะทะสักครั้งก็จะเห็นว่าแท้จริงแล้วขี้ขลาดขนาดไหน
การทะเลาะวิวาทหนนี้ นางได้รับชัยชนะอย่างใหญ่หลวง แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงคือ เพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว เื่เล่าของนางก็สะพัดไปทั่วหมู่บ้าน ทั้งยังร้ายแรงขึ้นไปเป็สิบเท่าร้อยเท่า
บางคนบอกว่าเสิ่นม่านเหนียงบ้าไปแล้ว กลางวันแสกๆ ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย นางกลับสามารถหักมือของคังต้าจ้วงด้วยมือเพียงข้างเดียว บางคนบอกว่าตอนนี้เสิ่นม่านเหนียงมีพลังยิ่งใหญ่อย่างหาใดเทียบ อึดใจเดียวสามารถรวบรวมพละกำลังทุ่มอีกฝ่ายใส่พื้นแล้วจู่โจม
สิ่งที่อุกอาจยิ่งกว่าคือ ท้ายที่สุดไม่รู้อย่างไร คนมากมายตัดสินว่าเสิ่นม่านเหนียงเล่นคุณไสยบางอย่าง ทำให้มีพลังแข็งแกร่ง กระทั่งคังต้าจ้วงก็สู้นางไม่ได้
ส่วนเสิ่นม่านตรงไปยังบ้านของท่านหมอในหมู่บ้านเพื่อรักษาเสี่ยวหลานกับเสี่ยวตง โชคดีที่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร หลังจากห่อยาสมุนไพรเรียบร้อย คนทั้งสามจึงเดินกลับบ้านภายใต้แสงจันทร์
ระหว่างทาง เสิ่นม่านจงใจไม่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้และเบี่ยงประเด็นไปเื่อื่น กระนั้นไม่นานนักก่อนที่ก็ถึงบ้าน เสี่ยวตงก็หยุดลงและหักกิ่งไม้ข้างทางพร้อมเอามาใส่ไว้ในมือของเสิ่นม่าน
“ท่านอา วันนี้ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรยุยงให้น้องสาวไปขโมยหยกบนตัวคังต้าจ้วง แล้วยังวิวาทกับเขา วันนี้เป็ความผิดของข้า ท่านอาลงโทษข้าเถิดขอรับ” พูดจบ เขาก็ยื่นมือผอมบางคู่นั้นของตนออกมาเหมือนปกติและเตรียมใจรับการถูกฟาดอย่างรุนแรง
เสิ่นม่านที่ถือกิ่งไม้ไว้ “...”
เด็กคนนี้คงถูกโจวชุ่ยหลานตีจนกลัวสินะ? เป็เด็กที่รู้ความจนน่าสงสารจับจิต นางโยนกิ่งไม้ทิ้งออกไปข้างถนน จากนั้นจับมือเขาและมองเขาอย่างจริงจัง
“ข้อแรก หยกนั่นคือสิ่งที่พี่ชายข้าเก็บไว้ให้พวกเ้าทั้งสอง ผู้อื่นเอามันไปก็สมควรแย่งกลับคืนมา ข้อสอง เ้าลงมือกับคังต้าจ้วงเพราะน้องสาวถูกทำร้าย เ้าคือพี่ชาย เื่ที่เ้าปกป้องน้องสาวนับว่าทำได้ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ไม่ผิดแม้แต่ข้อเดียว เ้าไม่จำเป็ต้องรับผิดกับอา”
เสิ่นตงซานเอียงศีรษะและอ้าปากเล็กน้อย เขามองนางด้วยสีหน้าประหลาดใจ เสิ่นม่านจิ้มหน้าผากของเขาที่ถูกตีจนบวมขึ้นมา จากนั้นส่ายหน้าเบาๆ
“แต่มีเพียงหนึ่งเื่ นั่นคือพวกเ้ายังเป็เด็ก หากเจอเื่ที่จัดการไม่ได้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือมาหาอา ไม่ใช่เอาชีวิตเล็กๆ ไปสู้กับผู้อื่น พวกเ้ายังเล็กนัก อีกฝ่ายเป็ผู้ใหญ่ตัวโต พละกำลังห่างกันราวฟ้ากับเหว หากว่าเ้ากับน้องเป็อะไรไป จะให้อาทำอย่างไร?”
เสิ่นม่านไม่ค่อยเก่งในการปลอบโยนเด็กน้อย ในแง่ของการอบรมสั่งสอน นางจึงต้องค่อยๆ ศึกษาด้วยตนเอง
โชคดีที่หลังจากได้คลุกคลีกับต้าเป่าหลายวัน นางเริ่มมีประสบการณ์บ้าง จึงรู้ว่าการสอนเด็กน้อยที่แสนเชื่อฟังทั้งสามด้วยไม้เรียว รังแต่จะเป็การเพิ่มน้ำแข็งบนหิมะ มีเพียงหนทางเดียวที่จะเปิดใจพวกเขาได้คือการเอาใจเขามาใส่ใจเรา
เมื่อเห็นประกายในแววตาของเสิ่นตงซาน นางจึงเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนและััแก้มที่ซูบผอมของเขา พร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความเอ็นดู
“แม่ของเ้าหนีไป ไม่ได้หมายความว่าพวกเ้าไร้ซึ่งครอบครัว ต่อไปพวกเราคือครอบครัวเดียวกัน อารู้ว่าเมื่อก่อนเคยทำผิดพลาดกับพวกเ้ามากมาย แต่ตอนนี้อาเองก็กำลังเรียนรู้การทำหน้าที่พ่อแม่อย่างช้าๆ ดังนั้นแล้วพวกเ้าทั้งสอง หากเจอเื่ที่ตัดสินใจกันเองไม่ได้ในภายภาคหน้า อย่าได้เอาตนเองเข้าไปสู่อันตรายเด็ดขาด จำไว้ว่าต้องเรียกหาอาก่อนเสมอ อาจะต้องเร่งไปแน่ เข้าใจหรือไม่?”
นางบอกว่า เราคือครอบครัวเดียวกัน?
นานมากแล้วที่ไม่ได้ยินคำพูดอ่อนโยนเช่นนี้ ั้แ่เขาจำความได้ สิ่งที่มีไม่เคยขาดเลยก็คือการทุบตีด่าว่าอย่างไม่หยุดหย่อนจากมารดากับอาที่อยู่ดีไม่ว่าดีมักจะชอบยุแยงตะแคงรั่ว ทุกครั้งที่หนึ่งในพวกเขาทั้งสามกระทำผิด สตรีสองผู้นี้ก็มักจะหาข้ออ้างต่างๆ นานามาลงโทษพวกเขา
วันนี้เมื่อถูกท่านอาพาตัวกลับมา นางเหมือนกับเปลี่ยนไปเป็คนละคน และเขาก็ชื่นชอบท่านอาในตอนนี้เหลือเกิน
เสี่ยวตงกะพริบตาและก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นตอบเสียงค่อย “ขอรับ เข้าใจแล้ว” น้ำตาอุ่นๆ หลั่งรินจากดวงตา
เสี่ยวหลานเห็นดังนั้นก็หยอกล้อ “เอ๋ พี่ชายร้องไห้!”
“ไม่ใช่สักหน่อย!” เด็กน้อยยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าอย่างร้อนรน แต่ทุกอย่างกลับอยู่ในสายตาคู่หนึ่งที่แสนอ่อนโยน
เสิ่นม่านมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ร้องก็ร้องไปสิ บุรุษร้องไห้หาใช่เื่ผิด”
เขาทำหน้าอึดอัด “ข้าไม่ได้ร้องไห้!”
“ตกลงๆ เ้าไม่ได้ร้อง ข้าคิดไปเองทั้งนั้น...”
ขณะที่คนทั้งสามกลับบ้านพร้อมกับเสียงพูดคุยและหัวเราะขบขัน ขณะนั้นเองเงาดำร่างหนึ่งเผยตัวหลังกำแพงที่อยู่ด้านหลัง
หนิงโม่เอามือกอดอก ส่วนมืออีกข้างยันคางไว้
หลังจากอยู่ในหมู่บ้านมาหลายวัน เขาเองก็สืบได้ความมาว่า สมัยก่อนสตรีผู้นี้หาใช่คนที่ดีอะไรนัก กล่าวกันว่าแผ่นดินเปลี่ยนง่ายแต่สันดานคนนั้นเปลี่ยนยาก บนโลกใบนี้จะมีคนที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายในข้ามคืนจริงหรือ?
นางค้นพบมโนธรรมในตนเองจริงๆ หรือว่า... หรือถูกเปลี่ยนิญญาไปกันแน่?
......
มีเด็กเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน เสิ่นม่านจึงต้องวางแผนเพื่ออนาคตมากขึ้น
ตอนนี้อุปกรณ์ทำเต้าหู้ยังอยู่ระหว่างการสั่งทำ เสิ่นม่านจึงตัดสินใจหาเครื่องโม่ให้ตนเองก่อนหนึ่งชุด
่กลางวันต้าเป่ากับหนิงโม่ต้องไปเล่าเรียนในหมู่บ้าน เสิ่นตงซานกับเสิ่นเซียงหลานแม้ว่าจะมีความคาดหวังเต็มเปี่ยมในแววตา แต่กลับหวั่นเกรงจึงพากันบอกว่า้าอยู่ช่วยงานที่บ้าน
เสิ่นม่านไม่ได้ขาดแคลนแรงงานอย่างพวกเขาสองคน จึงควักเงินให้หนิงโม่สองตำลึง ถือเสียว่าเป็ค่าเล่าเรียนของเด็กทั้งสอง จากนั้นส่งเด็กๆ ไปเรียนด้วยกันทั้งหมด
อุปกรณ์การเรียนในบ้านไม่เพียงพอ เห็นทีต้องเร่งหาเงินแล้ว ในบ้านมีลูกศิษย์ถึงสามคน ช้าเร็วนางต้องยากจนเพราะซื้ออุปกรณ์การเล่าเรียนแน่
เมื่อคำนวณเื่ต่างๆ เรียบร้อย นางก็ไปถามยืมเครื่องโม่ที่บ้านป้าจาง ใครจะรู้ว่าป้าจางไม่กล้าพูดคุยกับนาง ทั้งยังหันหลังหนีและปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย ทิ้งเสิ่นม่านไว้กับสายลมวูบหนึ่ง เบื้องหน้าปรากฏเพียงความมืดมน
เกิดอะไรขึ้น เมื่อวานก็ยังดีๆ อยู่ไม่ใช่หรือ? ในเมื่อป้าจางไม่ยอมขาย เช่นนั้นนางก็ต้องไปถามบ้านอื่น
ปรากฏว่า นางถามติดต่อกันอยู่ราวสี่ห้าหลัง คนเ่าั้พอเห็นนางก็เหมือนเห็นผี ต่างหลบหนีเข้าบ้านกันหมด ไม่กล้าพูดคุยกับนางเลยสักคน
เสิ่นม่านรู้สึกว่าเื่นี้เริ่มรุนแรง
ในที่สุดนางก็ไปหาผู้ใหญ่บ้าน ประจวบเหมาะกับภรรยาผู้ใหญ่บ้านนางเจียงกำลังให้อาหารไก่อยู่ที่บ้านพอดี เมื่อเห็นเสิ่นม่าน นางเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
เสิ่นม่านกังวลว่าจะได้รับประทานขนมหวานที่ชื่อปิดประตูลงกลอนอีก จึงเดินตรงดิ่งเข้าข้างในบ้านไปก่อน แล้วค่อยกล่าวทักทายนางเจียง
นางเจียงยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้ม เสิ่นม่านจึงรีบบอกจุดประสงค์ที่มา แล้วเสนอว่าตนเองยินดีจ่ายเงินสองร้อยอีแปะเพื่อซื้อเครื่องโม่ที่ว่างในหมู่บ้าน
เมื่อเอ่ยถึงเงิน นางเจียงก็แสดงออกทางสีหน้าเบาๆ ลังเลเพียงครู่หนึ่ง แล้วเอ่ย “หลังบ้านข้ามีอยู่สองอัน แต่ก็ปล่อยทิ้งไว้สามสี่ปีแล้ว หากเ้าไม่ถือสา สามารถไปลองดูก่อนได้”
เสิ่นม่านแทบทนรอไม่ไหวรีบตามนางเจียงพุ่งไปหลังบ้าน และได้เห็นเครื่องโม่หินที่สูงเท่าเอว คาดว่าน่าจะมีอายุหลายปี ทว่าอุปกรณ์ครบถ้วนและยังสามารถใช้งานได้
นางจ่ายเงินอย่างไม่คิดมาก แต่เมื่อเอ่ยถึงเื่การเคลื่อนย้ายเครื่องโม่หิน นางเจียงกลับลำบากใจ
“เครื่องนี้หนักไปหน่อย เ้าเป็สตรี ไม่อย่างนั้นข้าช่วยเ้าเรียกชาวบ้านมาช่วยยกดีหรือไม่?”
นั่นย่อมเป็การดีที่สุด!
เสิ่นม่านเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว ใครจะรู้ว่านางเจียงไปตระเวนถามหนึ่งรอบ แต่กลับไม่มีผู้ใดยินยอมออกมาช่วย เหมือนว่า… ้าหลีกเลี่ยงตัวอันตรายอย่างเสิ่นม่าน?
ภาพลักษณ์ของนางย่ำแย่ถึงเพียงนี้ั้แ่เมื่อใด?
เสิ่นม่านรู้สึกประหลาดใจ นางเจียงทนดูต่อไปไม่ไหว จึงบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ “น้องเสิ่น ข้าว่าเ้าพูดจาก็ปกติ ไม่เหมือนกับที่พวกเขาลือกัน...”
เสิ่นม่าน “หืม?”
“พวกเขาลือว่าข้าเป็เช่นไรหรือ?”
เมื่อเห็นว่านางไม่รู้เื่ นางเจียงก็ถอนหายใจและค่อยๆ อธิบายอย่างระมัดระวัง
“เมื่อวานตอนที่เ้าทะเลาะวิวาทกับคังต้าจ้วง ชาวบ้านหลายคนเห็นเหตุการณ์เข้า พวกเขาบอกว่าเ้ามีพละกำลังเหนืุ์มนา ถึงขั้นล้มชายกำยำหนักร้อยกว่าชั่งได้โดยลำพัง แล้วยังหักข้อมือเขาได้อย่างง่ายดายราวกับหักกิ่งไม้แห้ง ตอนนี้พวกเขาจึงคิดว่าเ้าถูกิญญาชั่วร้ายเข้าสิง!”
เสิ่นม่านผู้ซึ่งถูกเข้าใจผิดว่าเป็ิญญาชั่วร้าย “...”
นางเอ่ยถามสิ่งที่กังวลที่สุด “พวกเขาคงไม่คิดจะลากข้าไปเผาไฟหรอกนะ?”
ม่านตาของนางเจียงหดเล็กลง พร้อมกับขยับร่างถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว “เ้าถูกิญญาร้ายเข้าสิงจริงหรือ?!”
-----