เหยาโม่หว่านรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เย่จวินชิงทำลงไปล้วนเพื่อนางทั้งสิ้นดังนั้นถึงเวลาที่เขาควรจะหยุดพักเสียที เื่ราวต่อจากนี้นางจะเตรียมการเพื่อเขาเอง
“เ้าอย่าเพิ่งลำพองใจนักเปิ่นหวางจะต้องกระชากหน้ากากเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของเ้าออกมาให้ได้เร็ว ๆ นี้แหละ”แววตาของเย่จวินชิงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเต็มสิบส่วน
“ได้เลยโม่หว่านจะตั้งตาตั้งตารอ” เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นท่านจะมีท่าทีตอบสนองอย่างไรน่ะซีเหยาโม่หว่านทอยิ้มบาง ๆ อย่างน่ารัก เก็บประโยคคำพูดสุดท้ายไว้ในใจ
เหยาโม่หว่านแทบไม่เคยเห็นเย่จวินชิงกินข้าวรวดเร็วขนาดนี้มาก่อนถ้าไม่เพราะเห็นแก่ภาพลักษณ์อยู่บ้าง ตะเกียบคู่นั้นคงกวาดอาหารทุกอย่างบนโต๊ะลงท้องจนหมดเรียบไปแล้วหลังจากกินอิ่มก็วางตะเกียบลงแล้วลุกเดินจากไปทันที อาหารมื้อนั้นเหยาโม่หว่านยังไม่ทันได้เริ่มขยับตะเกียบก็สิ้นสุดลงไปโดยปริยาย
“พระสนมบ่าวว่าท่าทางหวางเยี่ยคงจะหิวจัดจริงๆ เดี๋ยวบ่าวจะไปเตรียมอาหารมาเพิ่มให้สักหน่อยดีหรือไม่”ทิงเยว่มองดูสภาพอันเละเทะของโต๊ะอาหาร ก่อนเดินมาด้านข้างกระซิบถามเหยาโม่หว่าน
“กินได้ก็ดีแล้วไม่ต้องหรอก แค่เห็นเขากินอิ่ม เปิ่นกงก็ไม่รู้สึกหิวแล้วล่ะ ต่อไปเ้าต้องเฝ้าระวังเ้าปุกปุยให้ดีไม่แน่ว่ามันอาจถูกเขาจับตุ๋นกินเข้าสักวัน” เหยาโม่หว่านลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องพักผ่อนอย่างอารมณ์ดี
...
นอกตำหนักฉางเล่อเหยาซู่หลวนเดินวนหาเหยาโม่หว่านอยู่สองสามรอบแต่ไม่เห็นแม้แต่เงาคน
“พระสนมบ่าวหาที่เรือนข้างทั้งสองด้านแล้ว แต่ไม่พบใครเลยเพคะ” ไฉ่อิ๋งเดินออกมาจากเรือนรับรองด้านข้างตรงเข้ามารายงานให้เหยาซู่หลวนรับทราบ
“เ้าแน่ใจหรือว่าพวกนางมายังตำหนักกลาง?”เหยาซู่หลวนมองไฉ่อิ๋งด้วยแววตาสงสัย
“บ่าวได้ยินเพียงว่าพวกนางจะมาตำหนักฉางเล่อค้นหาสมบัติเพคะหรือว่าจะกลับไปกันแล้ว?” ไฉ่อิ่งคาดคะเน
“กลับไปแล้ว?เช่นนั้นพวกเราก็ไปตำหนักกวานจวีกัน!” เหยาซู่หลวนมุ่นคิ้วขมวด ขณะที่ย่างออกมาจากตำหนักฉางเล่อก็พบกับเฉินเฟยที่เดินเข้ามาพอดี
“จุ๊ๆนับั้แ่พระสนมลี่ได้เลื่อนขึ้นเป็หวงกุ้ยเฟยดูเหมือนจะหลงระเริง นับวันยิ่งไม่เห็นพระราชดำรัสของฝ่าาอยู่ในสายตาหากเปิ่นกงจำไม่ผิด ตำหนักฉางเล่อคือสถานที่ต้องห้าม หากไม่มีพระบัญชาจากฝ่าา ห้ามผู้ใดย่างกรายเข้าไปทั้งสิ้น”หวนไฉ่เอ๋อร์เดินนวยนาดจนมาถึงหน้าเหยาซู่หลวน เชิดคางเล็กน้อยแสดงเจตนาท้าทายอย่างเต็มที่
“เมื่อเฉินเฟยตระหนักได้ว่านายของพวกเราคือหวงกุ้ยเฟยก็ควรจะคุกเข่าคำนับถึงจะถูกต้องตามธรรมเนียมมิใช่หรือ” ไฉ่อิ๋งซึ่งอยู่ด้านข้างเดินเข้ามาขวางพลางเอ่ยเตือนสติ
“ให้เปิ่นกงคุกเข่าคำนับ?ยามที่หวงโฮ่วยังอยู่ พบกันส่วนตัวเปิ่นกงยังไม่เคยต้องคารวะสักครา สกุลเหยาของพวกเ้ามีความสามารถไม่เบานี่เริ่มจากมีหวงโฮ่วคนหนึ่ง ต่อมาก็มีหวงกุ้ยเฟยอีกคน มาบัดนี้แม้แต่สตรีโง่เขลายังขึ้นมาถึงตำแหน่งเฟยแต่มีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่ายืนในที่สูง ยามร่วงลงมามักจะเจ็บอนาถ เ้าจับตาดูน้องสาวปัญญาอ่อนของเ้าไว้ให้ดีเถิดดีชั่วอย่างไรก็เป็ถึงพระสนมชั้นสูง อย่าให้ไปมุดช่องลอดสุนัขเล่นเอาได้เล่า” หวนไฉ่เอ๋อร์แค่นเสียงเยาะก่อนหมุนตัวจากไป แต่กลับถูกเหยาซู่หลวนรั้งตัวไว้ก่อน
“เ้าเห็นเหยาเฟยหรือ?”เหยาซู่หลวนแววตาเย็นะเื เอ่ยถามด้วยท่าทางเคร่งขรึม
“จื่อซวงเอ๋ยเ้าว่าเปิ่นกงควรจะทูลหวงกุ้ยเฟยดีหรือไม่ ว่านังเด็กโง่เขลาผู้นั้นแล่นไปถึงกระท่อมท้ายตำหนักฉางเล่อแล้ว?เฮอะ!” หวนไฉ่เอ๋อร์หัวเราะเยาะ ปรายหางตามาที่เหยาซู่หลวนปราดหนึ่ง ก่อนให้จื่อซวงประคองไปจากที่นั่น
เหยาซู่หลวนจดจ้องความโอหังหยิ่งผยองที่แผ่กำจายออกมาจากเงาหลังของหวนไฉ่เอ๋อร์ด้วยแววตาแข็งกร้าว
“พระสนมเฉินเฟยผู้นี้ไม่เคยเห็นท่านอยู่ในสายตามาแต่ไหนแต่ไร เดี๋ยวนี้ยิ่งเหิมเกริมหนักข้อขึ้นทุกวันสมควรจะให้จมน้ำตายไปั้แ่ครานั้น” ไฉ่อิ๋งก่นด่าสาปแช่งด้วยความหงุดหงิด
“อย่าเพิ่งไปสนใจนางไปกระท่อมท้ายตำหนักกันก่อน” เหยาซู่หลวนคล้ายไม่ได้ยินวาจาของไฉ่อิ๋ง รีบสาวเท้าไปยังที่หมายอย่างรวดเร็วการซ่อนของสำคัญไว้ในสถานที่ที่คนคาดไม่ถึง ค่อยดูสมกับเป็ความคิดของเหยาโม่ซิน
หวนไฉ่เอ๋อร์ที่เพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าวเมื่อเห็นเหยาซู่หลวนเดินไปยังกระท่อมท้ายตำหนัก รอยยิ้มที่ประดับมุมปากยิ่งหยักโค้งมากขึ้น
“พระสนมเมื่อครู่คนที่เราเห็นคืออันกงกงชัดๆ ไฉนท่านถึงบอกหวงกุ้ยเฟยไปว่าเป็สตรีโง่งมผู้นั้นเล่า”จื่อซวงเอ่ยถามอย่างนึกฉงน
“เปิ่นกงคิดว่าอันปิ่งซานคงจะคันไม้คันมืออยากจะทรมานนางกำนัลอีกแล้วมิเช่นนั้นคงไม่มาในสถานที่ลับหูลับตาคนเช่นนี้แน่ ก็เลยจัดให้เหยาซู่หลวนไปพบเื่สกปรกโสมมของเขาเสียเลยดูซิว่านางจะจัดการอย่างไร?” หวนไฉ่เอ๋อร์ตอบด้วยน้ำเสียงเอ้อระเหย