“เพราะเหตุใดจึง้าพบมู่เอ๋อร์ ท่านพูดสิ่งใดกับนาง!”
ในวังเฉิงเฉียน ซั่งกวนเซ่าเฉินเผชิญหน้ากับบุรุษที่อยู่ในเสื้อคลุมัสีเหลือง เค้นถามด้วยน้ำเสียงโมโห หากหลิงมู่เอ๋อร์อยู่ที่นี่จะต้องพูดว่า ไม่เคยเห็นพี่ใหญ่ที่ความโกรธสูงเทียมฟ้าเช่นนี้
“เพื่อเด็กสาวที่ยังไม่โตคนหนึ่ง เ้าถึงกลับกล้าพูดกับข้าเช่นนี้ ในสายตาของเ้ายังมีข้า เสด็จพ่อผู้นี้อยู่หรือไม่!”
ฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก สายตาที่คมกริบเช่นกันราวธารน้ำแข็งหมื่นปี หนาวเหน็บเสียดกระดูก
ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมิได้สนใจว่าเขาจะโมโหหรือไม่ ยิ่งไม่สนใจฐานะที่แตกต่าง อย่างไรเสีย ที่เขากลับเมืองหลวงมาเป็ผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงก็เพราะถูกเขาบีบบังคับ “ลูกชายของท่าน ‘ฉินเฉินยี่’ เมื่อสามปีก่อนได้ตายไปพร้อมกับเสด็จแม่ของเขาแล้ว ข้าคือซั่งกวนเซ่าเฉิน เป็เพียงผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงเท่านั้น ส่วนมู่เอ๋อร์ก็ไม่ใช่เด็กสาวที่ยังไม่โต แต่เป็คนที่ข้าให้ความสำคัญมากที่สุด เป็คู่หมั้นของข้า”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวแต่ละถ้อย แต่ละคำอย่างหนักแน่นเปี่ยมพลัง
“ต่อให้เ้าไม่เห็นข้าเป็เสด็จพ่อ ข้าก็ยังเป็ฮ่องเต้ นี่เป็ท่าทีที่เ้าใช้พูดกับกษัตริย์ของเ้าหรือ เพื่อสตรีเพียงนางเดียวเ้าถึงกับสูญเสียการควบคุมเช่นนี้ ช่างเป็สตรีหายนะจริงๆ!”
ฮ่องเต้ทรงพิโรธอย่างหนัก ทุบหมัดลงบนโต๊ะอย่างแรง ดวงเนตรที่เต็มไปด้วยความพิโรธที่ลุกโชนราวกับจะพ่นไฟออกมา
ความหมายในคำพูดของเขาง่ายมาก หากซั่งกวนเซ่าเฉินยังคงงมงายไม่ได้สติเช่นนี้อีก เขาจะโทษทุกสิ่งนี้ไปบนตัวของหลิงมู่เอ๋อร์ เขาผิดต่อซั่งกวนเซ่าเฉิน แต่มิได้ผิดต่อหลิงมู่เอ๋อร์ ขอเพียงเขาออกคำสั่งเพียงคำเดียว เด็กสาวคนนั้นก็จะสิ้นชีพไปอย่างไร้สุ้มเสียง
“ท่านกล้า!” ดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินแปรเปลี่ยนเป็เย็นะเื “หากท่านกล้าแตะต้องมู่เอ๋อร์แม้เพียงเส้นขน ข้าจะให้ท่านต้องชดใช้ค่าตอบแทน”
“บังอาจ! จะอย่างไรข้าก็เป็เสด็จพ่อของเ้า การแต่งงานของเ้าจะทำเป็เื่เล่นได้อย่างไร? ต่อให้เ้าไม่ยอมรับข้า ข้าก็เป็นายแห่งแผ่นดินนี้ ข้ามีอำนาจตัดสินความเป็ตายของทุกคนไม่ว่าผู้ใด” ฮ่องเต้ถอนใจทีหนึ่ง เดิมยังคิดจะสั่งสอนซั่งกวนเซ่าเฉินต่อไปอีก แต่ก็กลัวจะเหมือนในปีนั้น ทำให้เขาจากเมืองหลวงไปเพราะความโมโห ไปเป็นายพรานอะไรนั่น “สตรีนางนั้นข้าตรวจสอบแล้ว เป็หญิงสาวที่ไม่ธรรมดาจริงๆ เมื่อเห็นเจิ้น ถึงกลับสามารถสงบนิ่งอย่างมั่นคง ไม่แข็งกร้าวไม่ถ่อมตน ยังมีทักษะทางการแพทย์นั้น ก็ทำให้คนต้องมองอย่างชื่นชมจริงๆ แต่นางอาศัยเพียงเื่เหล่านี้ ยังไม่พอให้ยืนอยู่เคียงข้างกายเ้า”
ผู้หนึ่งเป็โอรสที่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันโปรดปราน อีกคนเป็สามัญชนที่พอมีความสามารถเล็กน้อยผู้หนึ่ง แต่ต่อให้ทักษะทางการแพทย์ของนางจะเก่งกาจกว่านี้ เหลาอาหารจะเป็ที่นิยมมากกว่านี้ แล้วอย่างไร? ความแตกต่างของชาติตระกูลเป็อุปสรรคที่ไม่มีวันข้ามผ่านไปได้ตลอดกาล
“หากเจิ้นเดาไม่ผิด เ้ามิได้บอกฐานะที่แท้จริงของเ้ากับนางกระมัง?” น้ำเสียงเบาเรียบเรื่อยของฮ่องเต้เผยการข่มขู่ออกมารางๆ
ซั่งกวนเซ่าเฉินกังวลขึ้นมาทันที “ท่านจะทำสิ่งใด?”
“ในเมื่อเ้าก็รู้ว่า ทันทีที่กล่าวฐานะของเ้าออกมา ก็จะทำให้นางไกลจากเ้าออกไปอีก แล้วเ้าจะทำให้เื่ราวมาถึงจุดนี้เพื่อเหตุใด เ้าชอบผู้หญิงคนหนึ่ง เจิ้นย่อมไม่ขัดขวาง แต่หากเ้าคิดเพ้อฝันจะให้นางเป็พระชายาของเ้า นั่นเป็ไปไม่ได้อย่างแน่นอน! กระดาษมิอาจห่อไฟ ช้าเร็วจะต้องมีวันที่ความจริงปรากฏ เ้ารู้ดีถึงนิสัยของสาวน้อยนางนั้น เ้าลองเดาดูว่า หากให้นางรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของเ้า หรือพูดถึงสิ่งที่เ้าปิดบังนางมานานขนาดนี้ นางยังจะรอเกี้ยวแปดคานหามที่อันยิ่งใหญ่ของเ้าอย่างเชื่อฟังอยู่หรือไม่?”
มิอาจปฏิเสธว่า คำพูดนี้ได้กล่าวเข้าไปถึงส่วนลึกในจิตใจของซั่งกวนเซ่าเฉินแล้ว
หลายวันมานี้เขาได้ใคร่ครวญถึงปัญหานี้อย่างจริงจังเช่นกัน เขาเสียใจ หากรู้เช่นนี้แต่แรก ในยามที่พบมู่เอ๋อร์ในเมืองหลวงอีกครั้งก็ควรจะบอกนางถึงฐานะที่แท้จริงของเขา
เวลายิ่งผ่านยิ่งยาวนานสะสม แต่ละวันถูกถ่วงออกไปวันแล้ววันเล่า มู่เอ๋อร์ไม่ชอบการต่อสู้แย่งชิงในราชสำนัก ้าเป็เพียงหมออย่างสงบ แต่หากให้นางรู้ว่าตนเองเป็บุตรนอกสมรสของฮ่องเต้ และมีความเป็ไปได้ที่ในอนาคตยังจะ…นางเลือกอย่างไร?
“ไม่ว่านางจะอภัยให้ข้าหรือไม่ เื่นี้ข้าจะเป็คนจัดการเอง แต่ท่านจำไว้ ข้าไม่อนุญาตให้ท่านแตะต้องนาง!” สะบัดแขนเสื้อ ซั่งกวนเซ่าเฉินจากไปอย่างโมโห
เห็นเงาหลังของเขาค่อยๆ เลือนหายไป ฮ่องเต้ถอนใจยาวครั้งหนึ่ง “นิสัยนี้ เหมือนเจิ้นในยามที่ยังเป็หนุ่มไม่มีผิด”
ความดื้อรั้นที่เหมือนกัน ความเย่อหยิ่งที่เหมือนกัน ความที่เมื่อเลือกแล้ว ก็ไม่มีทางปล่อยมือไปอีกที่เหมือนกัน
ปีนั้น หากมิใช่เพราะเขาไปเจียงหนานและไปพบมารดาของเขาเข้า เื่จะพัฒนาจนกลายมาเป็เช่นวันนี้ได้อย่างไร หรือจื่อหนิงมิใช่ราษฎรธรรมดาคนหนึ่ง ก็เป็เพราะคลอดบุตรชายให้เขาคนหนึ่งอย่างไม่สนใจสิ่งใด ผลลัพธ์เล่า? จบลงที่แม้แต่ร่างและกระดูกก็ยังไม่เหลือไว้
สายตาของฮ่องเต้ทอดยาว ภาพเบื้องหน้าราวย้อนกลับไปยังภาพเหตุการณ์อเนจอนาถในปีนั้น หลับตาลง เมื่อเปิดขึ้นมาอีกครั้ง ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความฉ่ำชื้น
เขาจะคิดสังหารสาวน้อยที่มีพร์ทางการแพทย์ผู้หนึ่งได้อย่างไร เขาเพียงไม่้าให้ซั่งกวนเซ่าเฉินต้องเ็ปอีกครั้ง!
เมื่อวาน เ้าเด็กนี่พลันพูดกับเขาว่าเขาจะแต่งงานแล้ว เขาจึงไล่ถามอย่างสงสัย ว่าใช่หญิงสาวในหมู่บ้านสกุลหลิงที่เขาส่งคนไปคอยคุ้มครองอยู่ตลอดในปีนั้นหรือไม่? แม้ซั่งกวนเซ่าเฉินจะมิได้ตอบ แต่เขามองเห็นคำตอบในดวงตาของเขา
เขาสงสัยมาตลอด ว่าเป็คนเช่นใดที่ทำให้โอรสที่ไม่ยิ้มแย้ม เคร่งขรึมจริงจังของเขาเปิดใจได้เช่นนี้ ดังนั้น จึงให้ซูเช่อไปประกาศราชโองการพาตัวคนมา หากนางเป็เพียงหญิงธรรมดาก็ช่างแล้ว แต่กลับเป็ผู้ที่มีความสามารถและความกล้าหาญเช่นนี้
น่าเสียดายนัก
โรงหมอ เหล่าชาวบ้านที่มารับการรักษามาติดต่อกันไม่หยุด ราวจะเหยียบธรณีประตูของพวกเขาจนพัง แม้แต่เหล่าขุนนางและผู้สูงศักดิ์ที่เมื่อก่อนดูถูกนาง ก็พากันมารับการตรวจรักษาโรค ภายในคืนเดียว โรงหมอราวกับกลายเป็ตลาดนัด ที่มาตรวจโรคนั้นเหมือนไม่ต้องใช้เงิน ต่างพากันเบียดเข้าไปภายใน
“เป็เพราะ์เมตตาให้มู่เอ๋อร์ของพวกเรามีฝีมือเช่นนี้ บัดนี้ก็มีลายพู่กันทองที่ฝ่าาทรงเขียนด้วยพระองค์เองอีก วันหน้ากิจการนี้ย่อมไม่มีสิ่งใดผิดพลาดแน่นอน”
ถังซื่ออยู่ในร้านอาหาร ก็ได้ยินอยู่ตลอดว่าโรงหมอของหลานสาวครึกครื้นเพียงใด ด้วยความอยากรู้จึงให้หยางซื่อมาเป็เพื่อนนาง ไม่เห็นยังดี เมื่อเห็นแล้วก็พลันตกตะลึงอย่างมาก หากมิใช่ได้เห็นด้วยตาของตน นางยังไม่รู้ว่าในเมืองหลวงมีผู้ป่วยจำนวนมากเช่นนี้
หยางซื่อจะไม่มีความสุขได้อย่างไร บุตรสาวร้ายกาจเช่นนี้นางก็พลอยมีหน้ามีตาไปด้วยเช่นกัน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจของนางกลับมักจะรู้สึกไม่สงบนัก
คืนนั้น หลังจากที่มู่เอ๋อร์จากไปกับซูเช่อ สีหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ดีเป็อย่างมาก ก่อนจากไปเขายิ่งประกาศไว้ว่า “จะต้องปกป้องมู่เอ๋อร์อย่างแน่นอน” ที่แท้เป็เื่ใดทำให้เขากังวลถึงเพียงนี้ หากมู่เอ๋อร์มีอันตรายจริงๆ แล้วละก็ นางเต็มใจที่จะไม่ให้พวกเขารู้จักกันมากกว่า
“ท่านแม่ ท่านยาย เหตุใดพวกท่านจึงมาที่นี่เล่า อย่าได้ยืนอยู่แล้วรีบเข้ามาเถิดเ้าค่ะ” หลังจากตรวจอาการคนไข้คนสุดท้ายใน่เช้าเสร็จ หลิงมู่เอ๋อร์ออกมาสูดอากาศหายใจ สามวันมานี้โรงหมอของนางคนแน่นขนัด มีหลายครั้งแม้แต่ที่ยืนก็ไม่มี หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่า พวกเขาเพียงสงสัยว่าผู้ที่สามารถได้รับพระราชทานอักษรของฮ่องเต้เป็คนเยี่ยงไร แต่ที่นี่จะอย่างไรก็เป็โรงหมอ เช่นนี้มีแต่จะเสียเวลาของผู้ที่มีความจำเป็จริงๆ
ดังนั้น นางจึงให้ซางจือทำป้ายออกมาอีกชุดหนึ่ง และซื้อสาวใช้มาอีกคนหนึ่งเพื่อรับผิดชอบการลงทะเบียน ผู้ป่วยมีอาการป่วยเช่นใดให้เขียนไว้อย่างละเอียด ที่มีความซับซ้อนให้รับป้ายหมายเลขมาต่อแถวทางหลิงมู่เอ๋อร์ ที่ธรรมดาหรือไม่หนักก็รออยู่ที่ฝั่งนี้ของซางจือกับเจี้ยงเซียง ส่วนพวกที่ไม่มีโรคนั้นให้ไล่ออกไปทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าวันนี้มีผลลัพธ์ปรากฏออกมาแล้ว มิเช่นนั้น นางอาจจะเหนื่อยตายทั้งเป็ได้
“มู่เอ๋อร์ กิจการทางนี้ของเ้าดีเสียจริง ทำให้แม้แต่กิจการของร้านอาหารก็ครึกครื้นไปด้วย ไม่รู้ว่าครอบครัวของพวกเราเผาธูปยาวเช่นใดจริงๆ จึงได้มีผู้ที่มีความสามารถเช่นเ้า” ถังซื่อหัวเราะจนปากปิดไม่ลง แต่เมื่อคิดถึงว่านางจะแต่งให้กับซั่งกวนเซ่าเฉินแล้ว ในใจก็รู้สึกไม่แจ่มใสอยู่บ้าง “ยังคงเป็เ้าหนุ่มเฉินที่มีวาสนา สามารถแต่งกับสตรีที่เก่งกาจถึงเพียงนี้เช่นเ้าได้ แต่ว่ามู่เอ๋อร์ ต่อให้แต่งงานแล้ว ภายหน้าจำไว้ว่า จำต้องกลับมาเยี่ยมพวกเราบ่อยๆ”
เหตุใดจึงพูดเื่นี้ขึ้นมากะทันหันได้ สีหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์เปลี่ยนเป็แดงระเรื่อ “ท่านยาย ท่านวางใจเถิด ไม่ว่าข้าจะแต่งไปที่ใดหรือแต่งกับใคร ก็ไม่มีทางจากท่านกับท่านพ่อท่านแม่ไปตลอดกาล ข้าไปที่ใดก็จะพาพวกท่านไปด้วย”
หยางซื่อใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากของนาง “เ้าสาวน้อยคนนี้พูดจาเหลวไหลอีกแล้ว ออกเรือนคล้อยตามสามี หากเ้าแต่งงานกับเ้าหนุ่มเฉินแล้วจริงๆ วันหลังเื่ที่ออกมาเปิดเผยหน้าตาอยู่ด้านนอกเช่นนี้ก็ต้องทำให้น้อยลง”
จะให้นางปล่อยมือจากโรงหมอและร้านอาหาร? เช่นนั้นจะได้อย่างไร?
“ท่านแม่ นั่นเป็ความคิดแบบเก่าของพวกท่าน นั่นเป็บรรทัดฐานเดิมๆ ที่ล้าสมัย พวกท่านยังจำท่านอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้ข้าในความฝันได้หรือไม่ เขาบอกข้าว่า สตรีในโลกนั้นอยากทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น กระทั่งยังโดดเด่นกว่าบุรุษด้วย นั่นเป็ชายหญิงเท่าเทียม ข้าก็อยากเป็สตรีเช่นนั้น” หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่า หากยืนกรานกับหยางซื่อว่านางจะอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่ก้าวออกจากประตูบ้าน นางจะต้องโต้แย้งกับตนแน่ ดังนั้น จึงยกอาจารย์ที่ไม่มีอยู่จริงออกมาเสียเลย
“ในเมื่อข้ามีทักษะเช่นนี้ ช่วยกำจัดโรคภัยให้ชาวประชามีสิ่งใดไม่ดีหรือ? ให้ข้าอยู่ในบ้านมีแต่จะทำให้ข้าเบื่อจนป่วย นั่นจึงจะเป็การเอาคนมีความสามารถมาใช้งานเล็กๆ อย่างแท้จริง” นางด้านหนึ่งกล่าววาจา อีกด้านเทชาให้ท่านแม่และท่านยาย “แน่นอน ข้าเชื่อว่าพี่ใหญ่สนับสนุนการตัดสินใจของข้า ไม่มีทางขัดขวางอย่างแน่นอน หากเขารักข้าจริง ก็มีแต่จะสนับสนุนข้า เคารพข้า”
หยางซื่อถูกกล่าวจนไร้คำพูด หลายครั้งที่อ้าปากก็ไม่รู้ว่าควรจะโต้ตอบอย่างไร สุดท้ายจึงได้แต่ค้อนคำหนึ่งว่า “เ้ามันฉลาดนัก” แล้วปล่อยไป
คิดถึงวัตถุประสงค์ที่สองที่มาที่นี่ หยางซื่อรีบจับมือของนางกล่าวว่า “มู่เอ๋อร์ ตอนนั้นเ้าบอกว่าเ้าหนุ่มเฉินเป็ลูกกำพร้า เช่นนั้น เขาเคยบอกเ้าหรือไม่ว่า บนโลกนี้เขายังมีญาติอีกหรือไม่? หากไม่มีแล้วละก็ เื่การเลือกฤกษ์ยามวันมงคลนี้เป็พวกเราจัดการหรือมอบให้เขาเล่า อีกอย่าง วันนั้นฝ่าาเรียกตัวเ้าเข้าวัง ไม่ได้พูดเื่อื่นจริงๆ หรือ? เ้าหนุ่มเฉินเป็ผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวง เป็คนที่ถวายการรับใช้ฝ่าา มิใช่ว่าทรงไม่เห็นด้วยหรอกนะ?”
ไม่เสียทีที่เป็มารดาของหลิงมู่เอ๋อร์ ระหว่างแม่ลูกยังมีสายััอยู่เล็กน้อยจริงๆ
การเคลื่อนไหวของหลิงมู่เอ๋อร์ชะงัก แต่เพื่อไม่ให้ทุกคนต้องกังวลไปด้วย นางจึงยิ้มแย้มและส่ายศีรษะทันที “ไม่มีเ้าค่ะ ฝ่าาทรงขอบคุณที่ข้าช่วยองค์ชายเจ็ด มิเช่นนั้นก็คงไม่ประทานอักษรให้ข้าแล้ว ส่วนพี่ใหญ่ ถึงเขาจะทำงานให้ฝ่าา แต่เื่สำคัญในชีวิตนั้นมีบิดามารดาเป็ผู้ตัดสิน ยังไม่ถึงรอบให้เขา ซึ่งเป็เพียงเ้านายคนหนึ่งเป็ผู้ตัดสิน”
คำพูดนี้พึ่งพูดจบ หยางซื่อรีบอุดปากของนาง “พูดไม่ได้ พูดไม่ได้ นั่นเป็ฮ่องเต้ เป็โอรส์ ัที่แท้จริง หากให้ผู้อื่นได้ยินเ้าพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ พวกเราเตรียมจุดจบไว้ได้เลย มู่เอ๋อร์ ภายหน้าเมื่ออยู่ข้างกายของเ้าหนุ่มเฉิน คำพูดเช่นนี้ต้องของระมัดระวังตลอดเวลา”
หยางซื่อแม้จะขี้กลัว แต่หลายเดือนที่อยู่ในเมืองหลวงนี้ก็ได้ฝึกฝนออกมาแล้ว นางรู้ว่าผู้ใดไม่อาจล่วงเกินได้ ผู้ใดต้องคอยเอาใจ ส่วนฮ่องเต้นั้น เป็การคงอยู่ที่ทั้งไม่อาจล่วงเกินและต้องคอยเอาอกเอาใจอีก หากบุตรสาวเพราะคำพูดเดียวชักนำภัยพิบัติที่ถึงตายมา นางยอมให้ทุกคนกลับไปที่หมู่บ้านสกุลหลิง ถึงอย่างไรเงินที่หามาได้ในตอนนี้ พวกเขาสองครอบครัวอีกหลายชาติก็ใช้ไม่หมดแล้ว
“เ้าค่ะ ท่านแม่ผู้ยิ่งใหญ่ของข้า ข้าล้วนฟังท่าน” หลิงมู่เอ๋อร์กอดแขนของหยางซื่ออย่างเชื่อฟัง พิงศีรษะไว้บนไหล่ของนางเบาๆ “วางใจเถิดเ้าค่ะท่านแม่ มู่เอ๋อร์ทำเื่ใดล้วนรู้ความเหมาะสม ข้าจะไม่ให้พวกท่านต้องาเ็ หากให้ไปถึงจุดนั้นจริงๆ ข้าก็จะวางมือก่อน”