เมื่อเลิกคิดเื่ต่างๆ ที่อยู่ในใจ เย่เฟิงจึงลงไปชั้นล่างพร้อมใช้จิตหยั่งรู้กวาดมองบริเวณโดยรอบและก็พบว่าเด็กหนุ่มสวมหน้ากากแห่งตำหนักไท่จี๋ยังไม่ฟื้นขึ้นมา
ส่วนหนานฟางก็ยังนอนกรนเสียงดังอยู่ข้างเด็กหนุ่ม
เคล็ดวิชาอิ่นเซียนที่หนานฟางฝึก ตอนนี้วิถีโคจรของเขาเป็ไปด้วยความราบรื่นแล้ว ด้วยพร์เช่นนี้
อีกไม่นานคงสามารถบรรลุเคล็ดอสูรร่ำไห้ได้
เวลานี้ เย่เฟิงจะสอนย่างก้าวเงาปีศาจของเคล็ดวิชาซิวหลัวให้หนานฟาง
และอีกฝ่ายจะกลายเป็มือสังหารชั้นหนึ่งแน่นอน
อย่างน้อยการมีเย่เฟิงอยู่ด้วยก็แปลว่า
ศักยภาพของหนานฟางต้องสูงกว่าศิษย์คนไหนของสำนักอิ่นเซียน
สำหรับเื่ผู้ฝึกวิถีเซียนนั้น เย่เฟิงยังไม่ได้บอกคนตรงหน้า เพราะเื่นี้เป็ความลับใหญ่ที่สุดของเขา
เย่เฟิงผลักประตูเข้าไปตรวจสอบเด็กหนุ่ม
และพบว่าเด็กหนุ่มคนนี้อายุราวๆ
สิบแปดถึงสิบเก้าปี แต่มีระดับพลังลมปราณถึงสิบปี ความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มดีเยี่ยม
แต่น่าเสียดายที่ต้องมาเจอกับคนไร้เหตุผลเช่นหลี่เฟิง จนเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น
เย่เฟิงใคร่ครวญครู่หนึ่ง
เขาอยากช่วยให้เด็กหนุ่มไม่ต้องสวมหน้ากากอีกต่อไป
ขณะมองใบหน้าที่ถูกไฟไหม้ ดังนั้นไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ ชายหนุ่มก็ใช้เคล็ดแสงศักดิ์สิทธิ์รักษาอีกฝ่ายทันที
ประกายแสงสีทองปกคลุมทั่วร่างกายของเด็กหนุ่มที่เพิ่งโดนกระบี่อสนีบาตจู่โจมอย่างจังท่ามกลางพายุฝน ทำให้ทั่วร่างกายและใบหน้าเต็มไปด้วยเซลล์เนื้อที่ตายแล้ว แต่ขณะนี้าแตามร่างกายของเด็กหนุ่มเริ่มฟื้นคืนสภาพอย่างรวดเร็วจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!
สิบนาที ยี่สิบนาที
ครึ่งชั่วโมง…
เวลาผ่านไปจนกระทั่งพลังชี่ในร่างกายของเย่เฟิงถูกใช้จนหมดอีกครั้ง
เขาจึงหยุดการรักษา สภาพของเด็กหนุ่มสวมหน้ากากดีขึ้นมาบ้าง
เพียงเด็กหนุ่มได้อาบน้ำ ใบหน้าที่เคยถูกไฟไหม้และเซลล์เนื้อที่ตายจากการโดนกระบี่อสนีบาตก็จะหลุดออกไป
จากนี้อีกฝ่ายก็ไม่ต้องสวมหน้ากากเมื่อต้องพบเจอผู้คนอีก ถือเป็รางวัลตอบแทนเล็กน้อยที่เด็กหนุ่มช่วยชีวิตชูชู
สำหรับผู้ฝึกวิถีเซียน คำว่า ‘เสียโฉม’ ไม่มีอยู่ในพจนานุกรม เพราะไม่มีใครมีใบหน้าอัปลักษณ์ได้เท่าโม่จิ่วเกออีกแล้ว
ในความคิดของเย่เฟิง แม้แต่ประเทศที่มีเทคโนโลยีการทำศัลยกรรมที่ยอดเยี่ยมอย่างประเทศเกาหลีใต้ก็คงไร้ประสิทธิภาพทันทีหากต้องศัลยกรรมใบหน้าของโม่จิ่วเกอ...
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม เย่เฟิงััได้ถึงระดับน้ำที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจากทางชายฝั่งซึ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระแสน้ำไหลเข้าสู่หมู่บ้านจนสูงถึงข้อเท้า หากยังเพิ่มด้วยความเร็วนี้อย่างต่อเนื่อง
ไม่เกินเช้ามืดวันพรุ่งนี้ ก็คงท่วมชั้นแรกของบ้านทุกหลัง
ถ้าตอนนี้พวกเขากลับใจกลางเมืองเซี่ยงซานก็จะสะดุดตาเกินไป หากถูกตระกูลหลงหรือสำนักหมัดเทวาเจอเข้าล่ะก็ ผลที่ตามมาคงแย่กว่าที่คิดแน่นอน
ดังนั้นคงจะดีกว่าหากพวกเขาพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว
หลังจากชูชูพูดคุยกับหลงหว่านเอ๋อร์แล้ว ก็ลงมาหาอาหารเพื่อทำมื้อเย็นง่ายๆ
เนื่องจากน้ำท่วมชั้นล่างแล้ว
พวกเขาจึงเลือกกินอาหารที่ชั้นบนของบ้าน
นอกจากเด็กหนุ่มสวมหน้ากากที่ยังไร้สติ
อีกสี่คนก็มานั่งรวมกันเพื่อกินอาหารบนโต๊ะ
“ผมหิวจะตายแล้วพี่!”
เมื่อหนานฟางเห็นอาหารอยู่เต็มโต๊ะ ตาของเขาก็เป็ประกายราวภูตผีหิวโหยได้มาเกิดใหม่
“กินเยอะๆ เลยนะ แล้วคืนนี้ก็พักผ่อนให้เต็มที่” เย่เฟิงกล่าวขณะกินอาหารเย็น
“หว่านเอ๋อร์ เย็นนี้เธอช่วยระวังรอบบ้านด้วยนะ
หากมีอะไรเกิดขึ้นให้รีบปรึกษาหนานฟางทันที”
หลงหว่านเอ๋อร์มีทักษะจิตหยั่งรู้แล้ว
ผู้บุกรุกที่เข้าใกล้รอบบริเวณบ้านย่อมหนีไม่พ้นมือเธอแน่นอน
ส่วนหนานฟางมีไหวพริบดีเยี่ยม หากมีอีกฝ่ายอยู่ด้วย
ไม่ว่าจะเป็ศัตรูที่แข็งแกร่งเพียงไหน
เขาก็สามารถคิดหาวิธีจัดการได้เสมอ
“หืม แล้วนายล่ะ?” หลงหว่านเอ๋อร์ได้ยินเขาพูดแบบนั้นก็เกิดกังวลขึ้นมา
“นายจะไปไหน?”
“ฉันว่าจะไปแย่งชิงาาปะการัง” เย่เฟิงเอ่ยเสียงหนักแน่น
“อะไรนะ!”
ทั้งสามคนบนโต๊ะอาหารต่างใ เย่เฟิงยังคิดไปแย่งชิงาาปะการัง? ในมุมของคนทั้งสาม พวกเขาควรหาโอกาสออกจากทะเลตะวันออกให้เร็วที่สุด
แต่เย่เฟิงกลับทำตรงข้ามเสียอย่างนั้น
“ฉันจะไปเอาาาปะการัง พวกเธอก็อยู่กันที่นี่แหละ ฉันจะรีบไปรีบกลับ” เย่เฟิงย้ำอีกครั้ง
“พี่เย่แน่ใจใช่ไหม?” หนานฟางขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้คัดค้าน เพียงถามเพื่อความแน่ใจ
“ยิ่งกว่าแน่ใจ” เย่เฟิงพยักหน้า
“งั้นผมก็สบายใจแล้ว” หนานฟางยิ้มไม่ได้ซักไซ้อีกฝ่ายเพิ่มเติม จากนั้นก้มหน้ากินข้าวต่อ
เย่เฟิงบอกได้เลยว่า
ทักษะการทำอาหารของชูชูไม่เลวเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ทุกคนหิวโซราวกับหมาป่าผู้หิวโหย เพียงไม่นาน
โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรสก็หายวับราวกับถูกพายุพัด
แม้เขาไม่อยากเปรียบเทียบเช่นนั้น แต่เย่เฟิงก็ต้องยอมรับว่า เมื่อเทียบอาหารของชูชูกับอาหารที่ซูเมิ่งหานทำแล้ว
ความอร่อยยังห่างชั้นเกินกว่าจะนำมาเปรียบเทียบกัน...
“งั้นก็ระวังตัวด้วยนะ” ชูชูรู้ว่าเธอไม่สามารถโน้มน้าวให้เย่เฟิงเปลี่ยนใจได้
จึงทำได้เพียงย้ำเตือนอีกฝ่าย
“จำไว้ว่า หว่านเอ๋อร์ยังรอนายอยู่ที่นี่ ฉะนั้นขอให้ดูแลตัวเองด้วย
ชีวิตนายสำคัญที่สุด”
หลงหว่านเอ๋อร์หน้าแดงทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ก็เอ่ยอย่างเห็นด้วย “ใช่ ถ้านายไม่กลับมาล่ะก็ ฉันจะตามนายไปแน่”
ตอนแรกเธอ้าไปกับเย่เฟิง แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจ นอกจากเย่เฟิง เธอเป็คนเดียวที่มีทักษะจิตหยั่งรู้
หากเธอตามเขาไป ก็จะไม่มีใครคุ้มครองความปลอดภัยคุณน้าของเธอ
ยิ่งไปกว่านั้น เย่เฟิงไม่ยอมให้เธอไปด้วยแน่นอน หญิงสาวจึงล้มเลิกความคิดนี้
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่มีทางทิ้งเธอแน่
แม้ว่าจะไม่ได้าาปะการัง ฉันก็จะรีบกลับมา” เย่เฟิงปลอบหญิงสาวตัวเล็กอย่างหลงหว่านเอ๋อร์
เพราะคำพูดของเธอที่บอกว่าจะตามเขาไปเป็ลางไม่ดีนัก
อีกอย่างเย่เฟิงคนนี้ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเสียหน่อย
หลังอาหารเย็น
เย่เฟิงได้พักผ่อนชั่วครู่ เขามองท้องฟ้าที่เริ่มมืด
เวลานี้เหมาะที่จะออกเดินทางยิ่ง!
หลงหว่านเอ๋อร์อิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของเขาขณะเอ่ยปาก “รีบกลับมานะ”
“รับทราบ” เย่เฟิงกอดเธอแแ่ ก่อนลงไปชั้นล่างและสวมหน้ากากสีดำ
หลงหว่านเอ๋อร์มองตามแผ่นหลังของชายหนุ่ม ชูชูที่ยืนอยู่ด้านข้างวางมือบนไหล่เธอ
ก่อนยิ้มอบอุ่น “ไม่ต้องกังวลหรอก หลงโม่หรานทำอะไรพวกเราไม่ได้แล้ว
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในคืนนี้หรอก”
“ค่ะ...” หลงหว่านเอ๋อร์พยักหน้าและโน้มตัวกอดชูชูด้วยสีหน้าไม่สู้ดี นับจากนี้พวกเธอสองคนจะไม่กลับไปตระกูลหลงอีกแล้ว
ตัวเธอเองยังดีเพราะยังมีเย่เฟิงเป็ที่พึ่ง แต่คุณน้าของเธอล่ะ?
หนานฟางที่ไม่คิดอะไรให้ปวดหัวเช่นคนอื่น
เดินหาวออกมา “ผมไปนอนก่อนนะ คุณหนูหลงถ้ามีอะไรก็เรียกผมได้เลย”
“หมูที่กินแล้วนอนอย่างนาย
ไปไหนก็ไปเลย” หลงหว่านเอ๋อร์ไล่อีกฝ่าย
“แต่ฉันไม่ใช่คุณหนูแบบที่นายว่าแล้ว”
“ครับพี่สะใภ้ เรียกแบบนี้โอเคไหม?” หนานฟางโบกมือให้สตรีทั้งสองคน
แม้ชายหนุ่มดูเหมือนไม่สนใจไยดี
แต่ท่าทีผ่อนคลายของเขาก็ทำให้หลงหว่านเอ๋อร์และชูชูคลายกังวลได้บ้าง
ทั้งสองคนจับมือกันอธิษฐานให้เย่เฟิงกลับมาอย่างปลอดภัย
เย่เฟิงสวมหน้ากากแล้วก้าวลงบันไดมา ทันทีที่เท้าัักับน้ำที่สูงเกือบข้อเท้า เขาก็รู้สึกหนาวเย็นถึงกระดูก
หัวใจของเขาสั่นไหวขึ้นมา
ั้แ่เช้าที่พวกเขาะโจากหน้าผาลงทะเล ดูเหมือนทะเลในบริเวณใกล้เคียงจะเย็นลงเรื่อยๆ
และตอนนี้ยิ่งชัดเจนจนผิดปกติ อย่างน้อยในความทรงจำของเย่เฟิง
ยุคนี้ไม่เคยมีเหตุการณ์พิศวงแบบนี้เกิดขึ้น
“หรือเกี่ยวข้องกับท่านอาจารย์?” เขาอดคิดไม่ได้ บางครั้งหลักวิทยาศาสตร์ก็อธิบายเื่ราวในโลกเทวะไม่ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ซูเฟยหยิ่งมีระดับพลังลมปราณถึงหนึ่งร้อยปี แต่ก็เป็ไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะสร้างความหนาวเย็นเป็วงกว้างขนาดนี้...
เขาส่ายหัวเพื่อไล่ความคิดนี้ทิ้งไป ไม่ว่าอย่างไรขอเพียงได้าาปะการังมาไว้ในมือก่อน! แต่เขาไม่รู้เช่นกันว่าค่ำคืนนี้จะมีกี่คนเข้าร่วมศึกแย่งชิงาาปะการัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้