ลุงเผยเข้าไปหลังตู้ยาอยู่เป็นานสองนาน ถึงจัดยาออกมาให้สามห่อ หลังจากนั้นก็เก็บเงินนางสามตำลึงห้าเฉียน
อูหลันฮวาเห็นยาสามห่อเล็กนิดเดียว ก็แทบไม่อยากจ่ายเงินให้เขาเลย
หากไม่เพราะกลัวว่าจะเสียเวลาทำให้หลางจวินเสียการใหญ่ นางก็อยากจับท่านลุงเผยมาถามให้รู้เื่ว่าเหตุใดยานี้ถึงได้แพงนัก
เหลียนเซวียนเปิดห่อยา ตรวจสอบอย่างละเอียด หลางต้างจื่อ [1] ดอกเทียนเจีย [2] ดอกชิงหมา [3]
เมื่อแน่ใจแล้วว่าของที่ได้มาถูกต้องไม่มีผิดพลาด เหลียนเซวียนถึงพยักหน้า
อูหลันฮวาถอนหายใจอย่างโล่งอก นางกลัวว่าจ่ายเงินไปก้อนใหญ่จะซื้อของผิดมา
"ผงยาเหล่านี้ใช้ทำอะไรหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นเข้ามาดูใกล้ๆ
เหลียนเซวียนเหลือบมองเธอก่อนจะห่อผงยาให้เรียบร้อย
"เดี๋ยวคืนนี้เ้าก็จะรู้เอง ไหนบอกว่าจะตั้งโต๊ะอาหารแล้วมิใช่หรือ"
เซวียเสี่ยวหรั่นถลึงตาใส่เขา รู้สึกคันเหงือกยุบยิบ ก่อนหมุนตัวเดินกระแทกส้นเท้าไปที่ห้องครัว
เหลียนเซวียนยิ้มมุมปาก เดินกลับเข้าห้องอย่างอารมณ์ดี
เมื่อเห็นพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว ซีมู่เซียงก็หอบเสื้อไหมพรมที่ถักไว้ตอนบ่ายกลับบ้านไป
อูหลันฮวาช่วยยกกับข้าวไปที่ห้องโถง สือโถวยืนอยู่ด้านข้างอย่างกล้าๆ กลัวๆ
"หลันฮวา พาสือโถวไปล้างมือก่อน แล้วค่อยมากินข้าว" เซวียเสี่ยวหรั่นยกน้ำแกงเข้ามา หันไปมองมือดำปี๋ของเด็กชาย
"เ้าค่ะ" อูหลันฮวารับคำ จูงสือโถวซึ่งพวงแก้มแดงระเรื่อไปห้องครัว
หลังจากกลับมาแล้ว แม้จะล้างมือจนสะอาดแล้ว แต่กลับยังคงดำและหยาบกร้านเต็มไปด้วยาแ
เห็นชัดอยู่ว่าเป็เด็กคนหนึ่ง แต่มือกลับเหมือนคนที่ผ่านโลกมามาก
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นแล้วก็รู้สึกสลดใจ
สือโถวความรู้สึกไว พอพบว่าสายตาของนางจ้องมาที่มือของตนเอง ฝ่ามือน้อยก็กำเข้ามาด้วยจิตใต้สำนึก
เมื่อเห็นอูหลันฮวานั่งลงแล้ว เขาถึงนั่งตามอย่างระมัดระวัง
"กินข้าวเถอะ สือโถวน้อย ขอบใจเ้ามากนะ เื่วันนี้มากะทันหัน ในบ้านไม่ทันเตรียมของกินดีๆไว้ รอเื่คืนนี้ผ่านพ้นไปก่อน วันหลังข้าจะซื้ออาหารมาทำของอร่อย แล้วเชิญเ้ามากิน" เซวียเสี่ยวหรั่นคีบหมูทอดเปรี้ยวหวานใส่ถ้วยให้เขา
พอเห็นเนื้อชิ้นใหญ่สีเหลืองทองเป็มันย่อง สือโถวก็แทบน้ำลายหก
"สือโถวรีบกินเถอะ ต้าเหนียงจื่อทำอาหารอร่อยมากเลยนะ" อูหลันฮวาไม่เกรงใจ คีบหมูทอดเปรี้ยวหวานเข้าปาก ความกรุบกรอบผนวกกับรสชาติเปรี้ยวอมหวานทำให้ดวงตาของนางทอประกายอย่างพึงพอใจ
สือโถวไม่รอช้า หยิบตะเกียบคีบเนื้อใส่ปากทันที
เนื้อกรุบกรอบชุ่มไปด้วยน้ำปรุงรสที่มีกลิ่นหอมเข้มข้นกรุ่นอวลอยู่ในโพรงปาก รสชาติเปรี้ยวอมหวาน เผ็ดนิดๆ ถูกปากเป็อย่างยิ่ง
นี่คือเนื้ออร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยกินมา สือโถวน้อยซาบซึ้งจนน้ำตาแทบไหล
"มา กินเนื้อเยอะหน่อย มิเช่นนั้นจะไม่โตนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นคีบเนื้อหมูใส่ชามให้เขาไม่หยุด
"เมื่อก่อนข้าก็ไม่มีเนื้อกิน แต่ก็ไม่เห็นเตี้ยเลย" อูหลันฮวาอาหารกำลังเต็มปาก เอ่ยเสียงอู้อี้ออกมาหนึ่งประโยค
ส่วนสูงของนางเมื่อเทียบกับหญิงสาวคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็นับว่าสูงมาก
"เ้ากินข้าวเยอะ มีแรงออกไปล่าสัตว์มากินเป็อาหาร แต่สือโถวน้อยยังเด็ก ตัวเล็กนิดเดียว ความสามารถมีขีดจำกัด จำเป็ต้องเพิ่มการบำรุงให้มากหน่อย"
เซวียเสี่ยวหรั่นมองเด็กชายที่กำลังเคี้ยวตุ้ยๆ ก็ขยับมือคีบเนื้อใส่ชามให้เขาไม่หยุด
พอเห็นว่าเนื้อในชามยิ่งกองสูงขึ้นเรื่อยๆ สือโถวก็เบิกตากว้างเงยหน้ามองปราดหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้ากินต่ออย่างหิวกระหาย
"กินช้าหน่อย ไม่ต้องรีบ กินเร็วเกินไป เดี๋ยวท้องไส้จะรับไม่ไหว" เซวียเสี่ยวหรั่นคีบอาหารให้เขาไป ก็บ่นไป
"หลันฮวา เ้าเองก็อย่ากินเร็วนัก ทั้งข้าวทั้งกับยังมีอยู่ อย่าติดนิสัยกินแบบสวาปามมันไม่ดี"
ห้องที่อยู่ติดกัน เหลียนเซวียนมือถือชาม เส้นเืที่หน้าผากก็เต้นตุบๆ อย่างมิอาจสะกดกลั้น
ผู้อื่นกำลังกินข้าว มีแต่นางที่บ่นไม่หยุด
"สือโถว รอคืนนี้จัดการกับเ้าบัดซบพวกนั้นเรียบร้อยแล้ว ข้าจะให้หลันฮวาไปซื้อเนื้อกลับมา พรุ่งนี้ตอนกลางวันเ้าก็มากินข้าวด้วยกันเถอะ"
หลังจากอาหารบนโต๊ะพร่องไปมากแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นก็เอ่ยปากเชื้อเชิญอีกครั้ง
สือโถวกินจนเกลี้ยงชาม ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้นว่า
"คนกลุ่มนั้นร้ายกาจมาก" เขากลัวว่าพวกนางจะจัดการไม่ได้
"ไม่มีปัญหา มีเหลียนเซวียนอยู่ทั้งคน เ้าพวกหยาบช้าสามานย์เ่าั้หนีไม่รอดหรอก"
เซวียเสี่ยวหรั่นกลับไม่นำพา เหลียนเซวียนบอกว่าจัดการได้ ก็ต้องมีทางรับมือแน่ แม้เขาจะทำเหมือนมีความลับไม่ยอมบอกรายละเอียดของปฏิบัติการ แต่ไม่ส่งกระทบต่อความเชื่อมันอย่างไร้เงื่อนไขที่มีต่อเขา
เมื่อถ้อยคำนี้ผ่านเข้ามาในหูของเหลียนเซวียน ความตื้นตันพลันเกิดขึ้นในอกอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกขอบคุณในความเชื่อมั่นที่นางมีต่อเขา
สือโถวกลับวางใจเหมือนอย่างพวกเขา
หัวคิ้วน้อยๆ ย่นเข้าหากัน
"ไอ้หยาฟ้าใกล้มืดแล้ว เส้นทางบนูเาคงจะเดินลำบาก สือโถว ไม่อย่างนั้นคืนนี้อย่ากลับไปเลย ข้าจะหาเสื่อมาปูให้เ้านอนสักคืน" เซวียเสี่ยวหรั่นมองไปยังท้องฟ้าขมุกขมัวด้านนอก
สือโถวส่ายหน้า "ข้าจำทางได้"
เซวียเสี่ยวหรั่นคิดดู คืนนี้จะมีเหตุการณ์ปะทะกัน ไม่เหมาะที่เด็กคนหนึ่งจะมาเห็นเหตุการณ์นี้ ดังนั้นจึงไม่ฝืนใจ
นางให้อูหลันฮวาไปส่งเขา
แต่ไม่ช้าอูหลันฮวาก็กลับมา
"เขาไม่ให้ข้าไปส่ง บอกว่าที่หลังเขาแห่งนั้นต่อให้หลับตาเขาก็ยังเดินกลับถูก"
เซวียเสี่ยวหรั่นอึ้งงัน เอาเถอะ แม้ว่าจะยังเด็ก แต่เขาใช้ชีวิตเพียงลำพังมานาน เธอไม่จำเป็ต้องวิตกกังวลเกินไป
อูหลันฮวารีบเก็บถ้วยชามเข้าไปล้างในครัว
รัตติกาลย่างกรายเข้ามาทุกขณะ แสงจันทร์สุกกระจ่างถูกบดบังอยู่หลังหมู่เมฆซึ่งลอยอยู่ไกลๆ
แสงสว่างจากตะเกียงในหมู่บ้านขู่หลิ่งถุนเริ่มจะดับลงไปทีละดวงสองดวง ทั่วทั้งหมู่บ้านเริ่มตกอยู่ในความมืดของราตรีเงียบสงัด
"จี๊ดๆ จี๊ดๆ"
เสียงจักจั่นร้องระงมจากพงหญ้า
เสียง "แกรบ" เพียงเบาๆ แต่กลับได้ยินชัดเป็พิเศษท่ามกลางความมืด
"มารดาเถอะ เหล่าซาน เ้าช่วยระวังกว่านี้ได้หรือไม่" เสียงกระซิบแว่วมาจากเส้นทางบนูเา
"มืดขนาดนี้ บิดาไม่มีสายตาที่มองเห็นยามค่ำคืน ผีที่ไหนจะรู้ว่าเหยียบถูกอะไร" อีกเสียงกระซิบตอบกลับมา
"ชู่ หุบปากให้หมด ไม่ได้ยินซีติ้งบอกหรือว่า ชายผู้นั้นเป็ผู้ฝึกยุทธ์ ช่วยระวังให้ข้าหน่อยเถอะ" เสียงชายคนที่สามดังขึ้น
"พี่สยง เห็นบอกว่าชายผู้นั้นทั้งตาบอด ขากะเผลกด้วยมิใช่หรือ จะกลัวไปทำไม"
"สามารถปามีดกล้อนผมคนไปครึ่งศีรษะ เ้าทำได้ไหมล่ะ เหมียวเหล่าซาน"
"หากทำไม่ได้ก็หุบปากซะ แล้วก็ระวังตัวด้วย"
เส้นทางูเามืดสลัว เงาไม้ตะคุ่มแกว่งไกวเบาๆ ไปมาตามสายลมราตรี
เงาร่างสีดำจำนวนหนึ่งมาถึงนอกรั้วไม้ไผ่
มวลเมฆบนนภาเคลื่อนคล้อยไปอย่างช้าๆ ไม่มีแสงตะเกียงสักดวง ดูเหมือนว่าคนในบ้านจะหลับสนิทกันแล้ว
เงาคนผู้หนึ่งปีนข้ามรั้วอย่างคล่องแคล่ว เดินไปที่ประตูรั้วแล้วเปิดออก
เงาคนเจ็ดคนย่องเข้ามาในเรือนอย่างเงียบเชียบ
พวกเขาเดินผ่านต้นชุน กิ่งก้านของมันขยับน้อยๆ
"ดูเหมือนจะมีกลิ่นแปลกๆ" เงาของคนผู้หนึ่งหยุดชะงัก กดเสียงต่ำกระซิบบอก
"ข้าก็ได้กลิ่นเหมือนกัน" เงาของอีกคนที่อยู่ด้านข้างก็หยุดยืนเช่นกัน
"เ้าพวกโง่ บอกแล้วไงว่าไม่ให้เปล่งเสียง" เงาคนที่เดินนำอยู่หน้าสุดกดเสียงต่ำด้วยความโมโหและร้อนใจ ชูมีดขึ้นมา "ซื่อโก่ว รีบเข้าไปเป่าควันยาสลบ"
ชายร่างผอมที่อยู่ด้านหลังของเขาก็ย่องไปในเรือนชาน
ล้วงกระบอกไม้ไผ่ออกมาจากแขนเสื้อ ใช้นิ้วเจาะรูกระดาษหน้าต่างเล็กๆ แล้วสอดกระบอกไม้ไผ่เข้าไป
ขณะที่กำลังจะเป่า ก็มีเสียงหัวเราะเย็นะเืดังขึ้นท่ามกลางความมืด
เสียงหัวเราะดุจดั่งสายฟ้ายามวสันตฤดูผ่าลงมาข้างหูของคนกลุ่มนั้น
...
[1] หลางต้างจื่อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hyoscyamus niger เป็พืชในวงศ์ Solanaceae มีต้นกำเนิดในแถบยูเรเซีย (Eurasia) พบตามที่รกร้างทั่วไปในยุโรป ลำต้นหยาบเหนียว มีขน ดอกสีเหลือง มีเส้นสีม่วง ผลเป็แคบซูลมีกลีบเลี้ยงคล้ายกระดาษหุ้ม มีฤทธิ์หลอนประสาท ทำให้เซื่องซึม ใช้ในทางเภสัชกรรมเป็หลัก
[2] ดอกเทียนเจีย เป็อีกชื่อเรียกหนึ่งของดอกม่านถัวหลัวขาว หรือดอกลำโพง จัดอยู่ในวงศ์มะเขือ ต้นลำโพงหลัก ที่นำมาใช้เป็ยาพื้นบ้าน มี 2 ชนิด คือ ลำโพงขาว ต้นเขียว ดอกสีขาว และลำโพงกาสลัก ต้นสีแดงเกือบดำ ดอกสีม่วงเป็ชั้น แพทย์แผนไทยโบราณ จะใช้ลำโพงเพื่อรักษาโรคได้มากมาย แต่ขณะเดียวกันถ้าหากใช้เกินขนาดก็เป็พิษมีอันตรายถึงชีวิต
[3] ดอกชิงหมา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L เป็พืชดอกมีพิษแต่ก็มีสรรพคุณทางยารักษาเกี่ยวกับอาการทางประสาท มือเท้าชา อาการคันตามร่างกาย และรอบเดือนไม่ปรกติของสตรี
