ลั่วหยิ่งส่งเสื้อคลุมกันลมให้ตัวหนึ่ง “เหนียงเหนียง เสื้อนี้ให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ!”
“นี่คือ...” เฟิ่งเฉี่ยนจำเสื้อคลุมกันลมตัวนี้ได้ในปราดเดียว เมื่อครั้งที่กลับมาจากป่าหมอกดำ เซวียนหยวนเช่อเคยให้นางสวมมาก่อน
ลั่วหยิ่งพูดยิ้มๆ “ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็พระบัญชาของฝ่าาที่ให้กระหม่อมนำมามอบให้พ่ะย่ะค่ะ! ได้ยินว่าเหนียงเหนียงกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ฝ่าาทรงห่วงใย กำชับให้กระหม่อมนำมาส่งด้วยตัวเอง เหนียงเหนียงดูสิพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งเฉี่ยนรับเสื้อคลุมกันลมไป นางยื่นมือออกมาััความอ่อนนุ่มของผ้าสักหลาด ความรู้สึกอุ่นซ่านไหล่บ่าเข้ามาในหัวใจ มุมปากยกขึ้นยิ้มโดยไม่รู้ตัว
ลั่วหยิ่งเก็บรายละเอียดทุกอย่างไม่มีตกหล่นแล้วกล่าวเสริมอีกประโยคหนึ่ง “ฝ่าาทรงใส่พระทัยกับการประลองหมากล้อมในวันนี้มากพ่ะย่ะค่ะ ทรงเปลี่ยนการประชุมในท้องพระโรงในวันนี้เป็การร่วมชมการประลองหมากล้อมพร้อมกับขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊พ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาของเฟิ่งเฉี่ยนเบิกโตด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าเซวียนหยวนเช่อจะให้ความสำคัญกับหมากกระดานนี้ถึงเพียงนี้ ถึงกับสร้างความประหลาดใจให้กับขุนนางทั้งหลาย หากกล่าวว่านางไม่ตื้นตันใจย่อมเป็การพูดปด โลหิตอุ่นร้อนเดือดพล่านอยู่ในอก ร่างกายอันอ่อนล้าอิดโรยราวกับได้รับการฉีดยาโด๊ปเข้าไปในร่างกายเข็มหนึ่ง ส่งผลให้ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยพละกำลัง!
ในขณะเดียวกันนั้น ภาระและหน้าที่บนบ่าของนางก็หนักขึ้นด้วย หมากกระดานนี้นางจะเอาชนะให้ได้ ไม่เพียงแต่ทำเพื่อตัวนางเอง แต่ทำเพื่อเขาด้วย...เซวียนหยวนเช่อ!
ขณะที่นางกำลังใจลอยไปไกลนั้น ลั่วหยิ่งมอบกาสุราผลไม้ให้นางอีกกาหนึ่ง “ยังมีสิ่งนี้อีกพ่ะย่ะค่ะ องค์ไท่จื่อน้อยทรงบัญชาให้กระหม่อมนำมาด้วย ไท่จื่อตรัสว่า เขาเป็กำลังใจให้เหนียงเหนียงเสมอพ่ะย่ะค่ะ!”
ได้ฟังความในใจของบุตรชาย เฟิ่งเฉี่ยนเต็มไปด้วยความสุขใจ นางรับมาแล้วเปิดฝาออกลองชิมคำหนึ่ง สุราผลไม้ทั้งหอมและหวาน เหมือนเช่นอารมณ์ของนางในตอนนี้ ทั้งหวานทั้งซาบซึ้งตื้นตัน!
ดวงตาของนางโค้งลง เผยรอยยิ้มราวกับสายลมที่เชยบุปผา “เ้ากลับไปบอกพวกเขา เสื้อคลุมกันลมอุ่นมาก สุราผลไม้หวานมาก ข้าจะไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังแน่นอน!”
สวมเสื้อคลุมกันลมที่ทั้งอุ่นทั้งนุ่มบนร่างของตน ในปากยังมีกลิ่นหอมจางๆ จากสุราผลไม้หลงเหลืออยู่ เฟิ่งเฉี่ยนเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง นางรวบรวมสมาธินั่งมองหมากบนกระดานอีกครั้ง ทุกอย่างค่อยๆ กระจ่างอยู่เบื้องหน้า
ที่จริงแล้วเวลาก่อนหน้านี้่หนึ่ง นางกำลังใคร่ครวญและคิดหาวิธีทำลายค่ายกลนี้ แต่ทุกครั้งที่คิดมาถึงจุดสำคัญ ความคิดมักจะถูกรบกวนเสมอ ตอนนี้หลังจากสมองของนางปลอดโปร่ง สิ่งสำคัญที่ก่อนหน้านี้นางคิดไม่ถึง ตอนนี้ล้วนกระจ่างแจ้ง นางหยิบหมากขาวขึ้นมาตัวหนึ่งแล้ววางลงบนกระดานหมาก!
กระดานหมากใหญ่ที่หยุดนิ่งมาเนิ่นนานเคลื่อนไหวอีกครั้ง หมากขาวเดินแล้ว!
ชั้นล่างของชุมนุมหมากล้อมส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง
“เดินแล้ว! เดินแล้ว! ในที่สุดหมากขาวก็เดินแล้ว!”
“ความโชคร้ายผ่านไปแล้วอย่างไรเล่า อย่างไรก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ขององค์ชายสาม!”
“รอดูว่านางจะทำลายค่ายกลขององค์ชายสามอย่างไร!”
หานไท่ฟู่และคนอื่นๆ ที่อยู่แถวหน้าใจจดใจจ่อกับตำแหน่งที่หมากขาวเดิน ฟางเสียตบเข่าดังฉาดอย่างทอดถอนใจ “ที่แท้เป็เช่นนี้! ข้าเพิ่งจะมองออกในตอนนี้เองว่า โลกทัศน์ของข้าและพวกเขาห่างกันมากมายเหลือเกิน มิน่าเล่า ข้าจึงพ่ายแพ้ให้กับพวกเขา!”
จ้าวฉียังมองไม่ออกถึงพิรุธอันใด จึงถามอย่างประหลาดใจ “ท่านพี่ฟาง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไฉนข้าจึงมองอะไรไม่ออกเลย”
เขาเป็นักเดินหมากระดับเก้า กลับมองอะไรไม่ออก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงผู้อื่น แต่ละคนล้วนเงียบงันไม่พูดจา ทว่าคอยืดคอยาวรอฟังคำอธิบายจากฟางเสีย
ฟางเสียกระแอมกระไอให้คอโล่ง แล้วยกมือขึ้นชี้ไปที่กระดานหมาก “พวกเ้าดูสิ หมากดำบริเวณมุมขวาบนเหล่านี้ หากนำพวกมันมาเชื่อมต่อกัน มีลักษณะเหมือนหน้าผาขาดใช่หรือไม่”
คนทั้งหมดมองตามทิศทางที่มือของเขาชี้ไป ยิ่งมองยิ่งเหมือนจริงๆ ด้วย แต่ละคนพยักหน้าเห็นด้วย
“เหมือนจริงๆ ด้วย เหตุใดเมื่อสักครู่ข้าจึงมองไม่ออกนะ”
“หากถูกพวกเ้ามองออก พวกเ้าไม่กลายเป็ยอดฝีมือระดับแนวหน้าแล้วหรือ”
“แต่นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน”
ฟางเสียอธิบายต่อ “ที่จริงนี่เป็ค่ายกลใหม่ที่ซือคงเซิ่งเจี๋ยคิดค้น ค่ายกลนี้ซับซ้อนยุ่งยากมาก อีกทั้งยังเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา สามารถเดินหมากได้หลายตำแหน่ง แต่ละตำแหน่งล้วนอันตรายยิ่งยวด เพราะค่ายกลชนิดนี้มีความเปลี่ยนแปลงมากมายเกินไป เ้าไม่มีทางคำนวณความเป็ไปได้ทั้งหมดของมันออกมาอย่างแม่นยำ ดังนั้นแม่นางเฟิงจึงใคร่ครวญนานเช่นนี้ นางไม่เดินหมากเสียที เพราะหมากก้าวนี้สำคัญเกินไป มันส่งผลกระทบต่อการเดินหมากข้างหลังหลายก้าว สิบกว่าก้าว หรืออาจจะหลายสิบก้าวก็เป็ได้!”
ทุกคนฟังเขาอธิบายแล้วจึงพอจะแจ่มแจ้ง
“ที่แท้เป็ค่ายกลชนิดใหม่หรือ มิน่าเล่าข้าจึงไม่เคยเห็นมาก่อน!”
“ไม่เสียแรงที่เป็ เซียนหมากล้อมผมเงิน ซือคงเซิ่งเจี๋ย ถึงกับคิดค่ายกลที่ยุ่งยากซับซ้อนและล้ำลึกเช่นนี้ออกมาได้ ช่างเป็อัจฉริยะจริงๆ!”
“เช่นนั้นหมากก้าวนี้ของแม่นางเฟิงเล่า เป็หมากที่เยี่ยมยอดหรือไม่”
ฟางเสียตั้งสติแล้วพูดต่อว่า “หมากก้าวนี้ของแม่นางเฟิงเยี่ยมยอดมากเช่นกัน แม้จะยังไม่อาจทำลายค่ายกลของซือคงเซิ่งเจี๋ยชั่วคราว แต่มันได้ตอกตะปูฝังเพื่อสกัดหน้าผาขาดเอาไว้แล้ว นางฟื้นคืนชีพจากการตกหน้าผาหรือจะตกลงไปลึกกว่าเดิม ต้องดูการปะทะกันหลังจากนี้! เราจะได้เห็นการห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดเพียงใด...”
ได้ยินเขาวิเคราะห์ จ้าวฉีถึงกับกระจ่างแจ้ง “ที่แท้เป็เช่นนี้! มิน่าเล่าข้าจึงเห็นแล้วรู้สึกหวาดกลัวไปหมด ทั้งๆ ที่ดูเหมือนทุกอย่างปกติดี ทว่ากลับเต็มไปด้วยกับดักลอบสังหาร ที่แท้เป็ค่ายกลใหม่ที่ซือคงเซิ่งเจี๋ยคิดค้นขึ้นมา! ค่ายกลนี้ยุ่งยากเกินไป เปลี่ยนแปลงมากเกินไป หากเปลี่ยนเป็ข้า ข้าไม่มีทางทำลายได้ หวังว่าแม่นางเฟิงจะทำลายค่ายกลได้ ได้แต่อาศัยนางแล้ว!”
ไม่รู้ว่าหานไท่ฟู่เอาความมั่นใจมากจากที่ใดกัน เขาลูบเครากล่าวว่า “วางใจเถิด! ซือคงเซิ่งเจี๋ยร้ายกาจ เ้าเด็กคนนั้นร้ายกาจยิ่งกว่า นางจะต้องทำลายได้แน่นอน!”
ณ ห้องพิเศษ เทียน ซือคงเซิ่งเจี๋ยที่นั่งดื่มช้าอยู่อย่างสบายอกสบายใจด้วยรอหมากขาวเคลื่อนไหว ค่อยๆ วางถ้วยน้ำชาในมือลงช้าๆ เขาจับจ้องสายตามองไป ริมฝีปากสีชมพูอ่อนอันเย้ายวนนั้นยกขึ้นข้างบนเล็กน้อย ปรากฏให้เห็นรอยยิ้ม ในแววตาเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น “น่าสนใจ! นางถึงกับเดินมาตำแหน่งนี้! เหตุใดจึงเดินตำแหน่งนี้นะ”
เขาใคร่ครวญไปพร้อมกับพูดกับตัวเอง “ั้แ่ข้าคิดค้นค่ายกลนี้มา ยังไม่มีใครเดินตำแหน่งนี้มาก่อน นี่เป็จุดที่น่าสนใจมาก เหตุใดนางจึงกล้าวางหมากขาวตรงนี้ นางจะกล้าหาญเกินไปหรือไม่!”
ทันใดนั้น เขาส่ายหน้าอีก “ไม่ถูกต้อง! นี่ไม่ใช่วิธีการเดินหมากของศิษย์พี่! หากเป็ศิษย์พี่ เขาจะต้องวางหมากลงในตำแหน่งนี้ แต่ไม่ใช่ตำแหน่งที่นางเดิน! หรือข้าเดาผิดเสียแล้ว ศิษย์พี่ไม่ได้สอนนางเดินหมาก ทั้งหมดล้วนเป็นางที่สั่งสมประสบการณ์เอง”
ต่อมาเขาส่ายหน้าอีก เขาหักล้างความคิดของตนเอง “ศิษย์พี่อาจไม่ได้สอนวิธีการทำลายค่ายกลนี้ แต่วิธีการเดินหมากสี่ต่อหกนั้นเป็ศิษย์พี่สอนนางแน่นอน บนโลกนี้นอกจากศิษย์พี่แล้ว ไม่มีคนที่สองที่จะมีความคิดเช่นนั้น!”
มุมปากของเขาพลันยกขึ้นปรากฏให้เห็นรอยยิ้มพึงพอใจ “แต่นางกล้าวางหมากขาวลงในตำแหน่งนี้ นางย่อมต้องมีแผนการรองรับ! ชอบแหกกฎ ไม่ทำตามกฎเกณฑ์ น่าสนใจ เหมาะกับนิสัยของข้ามาก!”
จิตใจของซือคงเซิ่งเจี๋ยถูกหมากขาวก้าวนี้ดึงดูดไปเสียสิ้น เขามองกระดานหมากอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง ในสายตาของเขา น้ำเสียงของเขาล้วนปนเปไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ตื่นเต้นที่ได้พบคู่ต่อสู้!
นับั้แ่เริ่มประลองมา เป็ครั้งแรกที่ซือคงจวินเย่เห็นน้องชายจริงจังกับสถานการณ์บนกระดานหมากเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เห็นเขาวางหมากอย่างไม่ลังเล แทบจะไม่ต้องใคร่ครวญ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเล่นๆ เคยเห็นเขาทุ่มเทจิตใจเช่นนี้เมื่อใดกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้