เซี่ยจื่ออวี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองควรจะบรรยายความรู้สึกนี้อย่างไรดี
เธอมีบิดามารดาแบบนี้ สอนเท่าไรก็ไม่ฉลาดเฉลียวขึ้นแยกแยะความสำคัญไม่ได้อยู่ร่ำไป
สีหน้าของเธอไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรง จางชุ่ยเกรงกลัวเล็กน้อยจึงรีบอธิบายต่อ “แม่กับพ่อรู้ว่าเธอถ่อไปเรียนที่เซี่ยนอีจงต้องไม่ได้มีเจตนาดีคงยังไม่ตัดใจจากหวังเจี้ยนหัวแน่ ถึง้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยแม่วานพ่อเอาของขวัญไปฝากครอบครัวครูใหญ่ซุนอยากให้ครูใหญ่ซุนผลักไสเธอออกจากโรงเรียน แต่...”
“แต่ล้มเหลว”
เซี่ยจื่ออวี้กล่าวต่ออีกประโยคด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“เธอเรียนที่เซี่ยนอีจงนานเท่าไรแล้ว?”
“สองสามเดือนแล้วล่ะ”
เซี่ยจื่ออวี้นิ่งเงียบไปนานมาก
เธอคิดว่าตัวเธอเองคงหมดปัญญาสื่อสารกับบิดามารดาโดยสิ้นเชิง
เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าเรียนที่เซี่ยนอีจง ทว่าพวกเขากลับไม่ได้แจ้งเธอทันทีทันใด
อาจารย์ใหญ่ซุนแค่ช่วยเหลือเธอเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น อีกทั้งเธอไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆของอาจารย์ใหญ่ซุนเสียหน่อย ทำไมคนเขาต้องช่วยไล่เซี่ยเสี่ยวหลานออกไปด้วย? อาจารย์ใหญ่ซุนไม่ใช่สุนัขที่บ้านเซี่ยจ่ายเงินชุบเลี้ยง และถึงแม้จะเป็สุนัขที่บ้านเซี่ยเลี้ยงทว่าตอนนี้บ้านเซี่ยก็ชุบเลี้ยงอาจารย์ใหญ่ซุนไม่ไหวหรอก! เซี่ยจื่ออวี้เองจบการศึกษาจากเซี่ยนอีจงคุณสมบัติในการเข้าเรียนระหว่างภาคเรียนของเซี่ยนอีจงเข้มงวดยิ่งนักการทดสอบเข้าเรียนต้องได้คะแนนสูงกว่ามาตรฐานขั้นต่ำ ‘ต้าจงจวน’ ของเกาเข่าปีที่แล้ว
คะแนนขั้นต่ำต้าจงจวนเมื่อปีกลายจำนวนเท่าไรกันนะ?
เซี่ยจื่ออวี้จำได้ว่าคือ 350 คะแนน
ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานสอบเข้าเซี่ยนอีจงได้ด้วยตนเอง แสดงว่าคะแนนทดสอบเข้าเรียนได้มากกว่า 350 คะแนนน่ะสิ
พอเซี่ยเสี่ยวหลานจบมัธยมต้นก็ว่างอยู่บ้านเฉยๆไม่แตะหนังสือหนังหาไปสามปี ยังสามารถสอบได้คะแนนเช่นนี้หรือ? เซี่ยจื่ออวี้ไม่ยอมถอดใจเธอสงสัยว่าเซี่ยเสี่ยวหลานอาจใช้หนทางอื่นเข้าเรียนหรือลูกพี่ลูกน้องคนดีของเธออาจเคยซุ่มศึกษาเป็พิเศษ
ยังมีใครสามารถสอนเซี่ยเสี่ยวหลานเป็พิเศษได้อีก?
คนแรกที่เซี่ยจื่ออวี้นึกถึงคือหวังเจี้ยนหัว
พื้นฐานความรู้ของหวังเจี้ยนหัวดีทีเดียวหลายปีมานี้ก็ไม่เคยละทิ้งตำราไปจริงๆอย่างไรเสียด้วยสถานการณ์เช่นนั้นของตระกูลหวัง เส้นทางอื่นของหวังเจี้ยนหัวย่อมถูกปิดตายหมดแล้วมีเพียงการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ทำให้ยังมีความหวังที่จะลืมตาอ้าปากและเพราะหวังเจี้ยนหัวพื้นฐานดี ปีก่อนจดจ่อกับการทบทวนเป็เวลาไม่กี่เดือนก็สามารถสอบเข้าวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งได้อย่างราบรื่น
คะแนนเกาเข่าของหวังเจี้ยนหัวสูงกว่าเธอพอสมควรทว่าคนคนนี้ก็อ่านสมุดบันทึกทบทวนของเซี่ยจื่ออวี้เหมือนกัน
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็ผู้ออกหน้าขอยืมสมุดบันทึกทบทวนจากเซี่ยจื่ออวี้เพื่อไปมอบให้หวังเจี้ยนหัวหรือตอนนั้นนอกจากหวังเจี้ยนหัวจะใช้ทบทวนเองแล้ว ยังสอนเซี่ยเสี่ยวหลานด้วย?
เซี่ยจื่ออวี้และหวังเจี้ยนหัวต่างหลีกเลี่ยงไม่กล่าวถึงเื่ของเซี่ยเสี่ยวหลานตอนนี้เธอไม่มีทางแน่ใจได้เลย
เซี่ยจื่ออวี้กลับหวังว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะพึ่งพาเส้นสายอื่นถึงสามารถเข้าเรียนในเซี่ยนอีจงได้มากกว่า...หากเซี่ยเสี่ยวหลานพิชิตคะแนนได้ด้วยตนเองจริง แบบนั้นก็ยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่
เซี่ยจื่ออวี้สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลงจางชุ่ยจึงปิดปากสนิทด้วยความระมัดระวังไม่กล้าเอ่ยข่าวคราวเื่เซี่ยเสี่ยวหลานได้คะแนนสอบปลายภาคเมื่อไม่กี่วันก่อนไป 514 คะแนน และเป็อันดับสองของชั้นปี
เซี่ยจื่ออวี้เพิ่งกลับบ้าน เื่นี้ต้องบอกเธออย่างค่อยเป็ค่อยไป
เซี่ยจื่ออวี้มีเื่ลำบากใจอันหนักหน่วงไร้กะจิตกะใจในการเตร็ดเตร่ซื้อของ หลังจากเคยไปปักกิ่ง ถนนไม่กี่สายของเขตเล็กๆอย่างอันชิ่งใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินจนหมดแล้ว เซี่ยจื่ออวี้ซื้อของลวกๆไม่เท่าไร และเดินกลับพร้อมจางชุ่ย
หวังเจี้ยนหัวตื่นนอนแล้ว กำลังนั่งรับประทานบะหมี่เนื้อแพะอยู่ในร้าน
บะหมี่จานนั้นของเขามีเนื้อแพะเยอะทว่าเส้นบะหมี่น้อยทำให้ลูกค้าบางคนในร้านที่รับประทานบะหมี่เนื้อแพะเช่นกันรู้สึกริษยาเหลือเกินแต่ริษยาไปก็ไร้ประโยชน์ นี่คือลูกเขยของจางจี้นี่
“จื่ออวี้ ทำไมเธอไม่รอฉันเล่า?”
เซี่ยจื่ออวี้สะกดกลั้นภาระใจที่เต็มอกเอาไว้ ยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน “ฉันเห็นเธอนอนหลับสบาย ก็เลยอยากให้เธอพักผ่อนเสียหน่อย”
หวังเจี้ยนหัวจึงถามเธออีกรอบว่ารับประทานอาหารหรือยัง พอรับประทานบะหมี่จานนั้นของตนจนหมดในชั่วอึดใจก็จะช่วยเก็บล้างทว่าพวกจางชุ่ยไม่ยอมท่าเดียว
เซี่ยหงเซี๋ยคิดในใจ พี่เขยดีเด่นเช่นนี้มีเพียงพี่จื่ออวี้เท่านั้นที่คู่ควร
จางชุ่ยพึงพอใจมากเหมือนกัน หากหวังเจี้ยนหัวยังเป็จือชิงยากไร้ผู้ถูกส่งไปหมู่บ้านต้าเหอต่อให้รูปลักษณ์หล่อเหลาสะดุดตา จางชุ่ยก็ไม่มีทางยกลูกสาวให้อีกฝ่ายแน่หน้าตาดีกินแทนข้าวไม่ได้ คนอนาถาจะเหมาะสมกับจื่ออวี้ที่ไหนกัน
ทว่าหวังเจี้ยนหัวในปัจจุบันเป็ที่นิยมชมชอบ เซี่ยจื่ออวี้มองคนไม่เคยผิดจางชุ่ยจึงมั่นใจต่อหวังเจี้ยนหัวเต็มเปี่ยม
สิ่งเดียวที่ไม่ดีคือเขายอดเยี่ยมเหลือเกินมักมีหมู่ผีเสื้อหลากสีสันเข้าหาเสมอ เมื่อครู่เซี่ยจื่ออวี้ได้เล่าระหว่างทางแล้วว่าหวังเจี้ยนหัวได้รับความนิยมในมหาวิทยาลัยยิ่งนักแม้แต่บุตรสาวของอาจารย์ก็้าตามคว้าหัวใจของเขาไป
จางชุ่ยรู้สึกหวาดหวั่น
เซี่ยจื่ออวี้โดดเด่นไปเสียทุกด้าน แต่ตระกูลเซี่ยจะเอาอะไรไปเทียบเทียมกับอาจารย์มหาวิทยาลัยกัน?
ยิ่งไปกว่านั้นคือเด็กสาวอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานผู้ไม่เคยยอมแพ้บางทีอาจลงมือแย่งชิงหวังเจี้ยนหัวไปเมื่อไรก็ได้
ลูกเขยยอดเยี่ยมเกินไป จางชุ่ยกลุ้มใจเหลือเกิน!
----------------------------------------
เซี่ยเสี่ยวหลานและคังเหว่ยนั่งรถไฟลงใต้ด้วยกัน เธอจึงรู้สึกสบายใจขึ้นในระหว่างการเดินทาง
คังเหว่ยผู้นี้ลักษณะไม่สุขุมเท่าโจวเฉิง อีกทั้งมีความเหลาะแหละของเด็กชายวัยรุ่นด้วยซ้ำแต่เขาจริงใจต่อผู้อื่นมาก เนื่องจากเขาเคารพและเชื่อมั่นในโจวเฉิง ดังนั้นสตรีที่โจวเฉิงเลือกคังเหว่ยจึงปฏิบัติดั่งพี่สะใภ้จริงๆ
เมื่อรู้ว่าร้านเสื้อผ้าเปิดกิจการวันที่ 25 และจะจัดพิธี ‘ตัดริบบิ้น’ คังเหว่ยก็รู้สึกประหลาดใจทีเดียว “ฉันเคยได้ยินแต่พวกสถานที่อย่างฮ่องกงถึงจะจัดงานตัดริบบิ้นแบบนั้นพี่สะใภ้นี่ทันสมัยเสียจริง!”
“ก็แค่ครึกครื้นสักหน่อยน่ะ ถือว่าเป็การโฆษณาวิธีหนึ่ง”
เซี่ยเสี่ยวหลานอยากจ้างคณะเชิดสิงโตด้วย ทว่าติดต่อค่อนข้างยากแสดงให้คึกคักขณะพิธีเปิดกิจการสักรอบเดิมทีผู้คนในเวลานี้ก็ไม่จัดกิจกรรมมหรสพอะไรนักหากมีความสนุกสนานเต็มที่ย่อมเป็เื่แปลก ผู้คนต้องประทับใจต่อ ‘หลานเฟิ่งหวง’ ไม่รู้ลืมแน่นอน
คังเหว่ยทราบว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเชิญรองผู้อำนวยการโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามหยวนหงกังมาร่วมงานตัดริบบิ้นด้วยก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าเซี่ยเสี่ยวหลานได้ประโยชน์ใหญ่หลวงแล้ว
“บางทีรองผู้อำนวยการโรงงานคนนี้อาจใกล้เลื่อนขั้นเป็ผู้อำนวยการแล้ว”
จะเลื่อนขั้นหรือไม่ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ใส่ใจคังเหว่ยยิ่งกระตือรือร้นขึ้นอีก
“ผู้อำนวยการโรงงานคงไม่มีความน่าเกรงขามเท่าไร เช่นนั้นฉันวานเสี่ยวกวงให้ลองคุยกับลุงของเขาเชิญลุงเขามาดีไหม?”
“ลุงของเขาแซ่เส้าเหมือนกันสินะ... คงไม่ใช่เส้าลี่หมินหรอกนะ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานถามไปตามเื่ตามราว คังเหว่ยกลับพยักหน้ารับ
“ใช่เขาเลย”
“อย่าล้อเล่นน่า ร้านเล็กๆ ของฉันนี่จะเชิญผู้บริหารใหญ่มาทำไมกัน”
จิตใจของเซี่ยเสี่ยวหลานสับสนขึ้นมาทันใด
เส้ากวงหรงมีลุงเป็คนใหญ่คนโตเช่นนี้ พวกเขาเข้ากันได้ดีเห็นได้ชัดว่าสถานะครอบครัวของคังเหว่ยก็ไม่ธรรมดา
คังเหว่ยเชื่อฟังโจวเฉิงไม่น้อย ถ้าอย่างนั้นครอบครัวของโจวเฉิงจะเป็เช่นไร? แม้คบหาดูใจกัน แต่เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าตนเองไม่รู้พื้นเพครอบครัวของคนรักเลยสักนิดเดียวช่างไม่มีหัวคิดเอาเสียเลย! ทว่าเธอก็ไม่ได้คร่ำครวญอยู่นานการโดนคนก่อกวนคราวนี้ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานตระหนักถึงความอ่อนด้อยของตัวเองชัดเจนยิ่งขึ้น...เธอคิดเสมอว่าตัวเธอคือสตรียุคใหม่ผู้มีอิสระเสรี ไม่ยินดีเอาเปรียบโจวเฉิงอันที่จริงหากคราวนี้ไม่มีโจวเฉิง คังเหว่ยกับเส้ากวงหรงก็คงไม่มาที่ซางตูไร้ซึ่งเส้นสายจากคุณลุงของเส้ากวงหรง ปัญหาครั้งนี้ต้องทำให้เธอเดือดร้อนอย่างหนักแน่ขนาดในตอนนี้ คังเหว่ยเดินทางติดตามเธอไปไกลโพ้นถึงหยางเฉิงมิใช่เพื่อแก้ไขปัญหาของเธอหรือ?
ความตระหนักรู้นี้ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานยากที่จะยอมรับพอสมควร
เธอเพิ่งบอกโจวเฉิงในจดหมายฉบับที่แล้วว่า้าความสัมพันธ์อันดีที่ ‘เคารพเท่าเทียมกัน’ ถ้าเธอพึ่งพาความช่วยเหลือของโจวเฉิงอยู่เสมอแม้จะพูดถึงเื่เท่าเทียมอีกสักเพียงใด ก็ไม่ใช่การเอาเปรียบโจวเฉิงหรือ
ชาติก่อนเธอยุ่งวุ่นวายกับการสู้ชีวิต ไม่มีประสบการณ์ด้านความรักฉันชายหญิงสักเท่าไรปรับสมดุลของเหตุผลและความรู้สึกไม่ค่อยได้ประสบการณ์ซึ่งสั่งสมจากการงานบอกเซี่ยเสี่ยวหลานว่า ถ้าอยากได้รับก็ต้องสละก่อนผลลัพธ์ที่ได้มาจากฟากฟ้าโดยไม่ผ่านการมุมานะของตนล้วนเป็พิษโจวเฉิงใช้เครือข่ายของเขาในการช่วยเธอหนแล้วหนเล่าอย่างไม่ลังเล ส่วนเธอจะสามารถทำอะไรเพื่อโจวเฉิงได้บ้างเล่า?
เื่หน้าที่การงานย่อมไม่สามารถช่วยโจวเฉิงได้อยู่แล้ว เธอไม่โชคดีขนาดที่เกิดใหม่ได้เป็บุตรสาวนายทหารใหญ่เสียด้วย
ส่วนเื่การเงินทุกวันนี้ทรัพย์สมบัติของเธอยังห่างไกลจากโจวเฉิงอีกโขล่ะนะ
เซี่ยเสี่ยวหลานกระวนกระวายใจ...ถ้าความคิดพวกนี้ของเธอถูกโจวเฉิงรับรู้เข้า ต้องหดหู่จนแทบกระอักเืแน่การชอบใครสักคนหนึ่งก็คือการดีต่อเขาหรือเธอคนนั้นโดยมิอาจหักห้ามใจสิ่งตอบแทนหนึ่งเดียวที่คาดหวังคงเป็การที่อีกฝ่ายตอบรับความรู้สึกนี้ได้
คังเหว่ยเห็นว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเงียบงันกะทันหันเขายิ่งเดาความคิดของว่าที่พี่สะใภ้ไม่ถูก ทำได้แค่คาดการณ์ไปเองเท่านั้น
“เชิญลุงเส้าร่วมพิธีตัดริบบิ้นไม่เหมาะสม เลขาของเขาเป็อย่างไร? เ้าคนแซ่โหวมองฉันโดนกระบองตีโดยไม่เข้ามาห้ามปรามการตอบแทนน้ำใจฉันก็เป็เื่ที่ควรทำนะ...”
