แม้เวลานั้นบิดาจะทุกข์ทรมานมากเพียงใด แต่สายตาที่มองเขายังคงอบอุ่นและเต็มไปด้วยความหวัง
เย่เฟิงรู้ว่าบิดาเห็นเขาเป็ความหวัง เขาจึงร้องไห้ไม่ได้ จึงพยายามทำตัวให้เข้มแข็ง และรีบยกระดับพลังเพื่อแก้แค้นให้บิดา
เมื่ออารมณ์ของเย่เฟิงถูกกระตุ้น แม้เื่ราวในความฝันจะยังไม่จบดี แต่กลับถูกหยุดอย่างฉับพลัน
นี่เป็ความฝันที่ยาวนานมาก เย่เฟิงรู้ว่าทุกอย่างเป็ของปลอม เป็เพียงความฝันหนึ่งเท่านั้น แต่เขากลับติดอยู่ในนั้นจนมิอาจถอนตัวออกมาได้
เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ประสบในความฝันคือตัวเอง คนอื่น หรือหลอมรวมกับหนึ่งในตัวละครหลัก ซึ่งเขาก็คือตัวละครหลักที่ประสบอยู่ในความฝันนั้น ราวกับสองคนเป็คนคนเดียวกัน
เมื่อตื่นจากความฝัน เย่เฟิงพบว่าตัวเองยังคงอยู่ในมิติประหลาดนั้น ทุกอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แต่สิ่งที่ประสบในความฝันยังคงชัดเจน
สายตาทอดมองท้องฟ้ายามราตรีที่กว้างใหญ่ไพศาล พร้อมกับปรากฏใบหน้าอันอ่อนโยนของบิดาตัวละครหลักในความฝันนั้นบนท้องฟ้า
เย่เฟิงต้องถอนหายใจยาว ไม่ว่าสิ่งที่ประสบก่อนหน้านี้จะเป็ความฝันหรือเคยเกิดขึ้นจริง ๆ ประสบการณ์เช่นนั้นเหมือนตราตรึงในหัวใจของเขา จนชีวิตนี้มิอาจลืมเลือน
นาทีนี้เย่เฟิงรู้สึกว่าตัวเองไม่เพียงแต่เจอประสบการณ์ของตัวละครหลักในความฝัน แต่ยังสืบทอดความทรงจำของเขามาด้วย
ในความทรงจำนั้นมีเื่ราวมากมาย แต่สิ่งที่ปรากฏอย่างเด่นชัดคือคัมภีร์ที่มีชื่อว่า เคล็ดวิชาเก้าวัชรหุนหยวน
เคล็ดวิชานี้ปรากฏเพียงหนึ่งชั้น เย่เฟิงยังคงใสุดขีดหลังจากผ่านขั้นแรกของเก้าวัชรหุนหยวนมาได้
ตามเนื้อหาที่อธิบายไว้ในหน้าแรก เก้าวัชรหุนหยวนมีทั้งหมดเก้าขั้น เหมาะสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นราชัน เมื่อฝึกถึงในระดับหนึ่ง มันจะทำให้ผู้ฝึกยุทธ์มีพลังหยวนเหนือกว่าผู้อยู่ในระดับเดียวกัน ทั้งยังช่วยสนับสนุนเคล็ดวิชาที่ฝึกก่อนหน้านี้และสำแดงพลังที่เหนือความคาดหมาย ไม่ว่าจะเป็พลังธาตุของตน การโจมตี การป้องกัน หรือพลังเคล็ดวิชาอื่น ๆ ก็จะถูกยกระดับให้แข็งแกร่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น ผู้ฝึกยุทธ์สองคนอยู่ระดับเดียวกัน ฝึกเคล็ดวิชาเหมือนกัน แต่หนึ่งในนั้นฝึกเก้าวัชรหุนหยวน หากพูดเื่ด้านพลังยุทธ์ ย่อมเหนือกว่าอย่างแน่นอน
ผู้ที่ฝึกเก้าวัชรหุนหยวนสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย แม้ในตอนไม่สำแดงพลังยุทธ์ก็ตาม กระทั่งอาศัยเก้าวัชรหุนหยวนในการเสริมพลังหยวนให้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นก็เพียงพอ
หากเย่เฟิงฝึกเก้าวัชรหุนหยวนได้ในระดับหนึ่ง มันจะทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่า ถึงเวลานั้นเขาไม่เพียงแต่ใช้สองเคล็ดวิชาบ่มเพาะร่างกายที่หล่อหลอมร่างกายแข็งแรงทนทาน แต่เมื่อฝึกเก้าวัชรหุนหยวน พลังหยวนภายในกายของเย่เฟิงจะเหนือกว่าผู้อยู่ในระดับเดียวกันถึงสองสามเท่า ยามนั้นเย่เฟิงใช้เพียงร่างกายบริสุทธิ์หรือพลังหยวนก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
ระหว่างที่ฝึกเก้าวัชรหุนหยวน เมื่อตัวผู้ฝึกบรรลุขั้นาา และจากขั้นาาสู่ขั้นราชันจะต้องประสบกับการเกิดใหม่หนึ่งครั้ง ดังนั้นในขั้นตอนการเกิดใหม่ผู้ฝึกจะต้องประสบกับการเปลี่ยนกายเนื้อใหม่ ซึ่งหยวนตันจะก่อเกิดในร่างใหม่ หยวนตันนี้ก็คือสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นราชันใช้กักเก็บพลังหยวน แต่หากผู้ฝึกยุทธ์ฝึกเก้าวัชรหุนหยวนอยู่ก่อนแล้ว และฝึกถึงขั้นสมบูรณ์ ตอนทะลวงขั้นราชันจะต้องประสบกับการเกิดใหม่เก้าครั้ง และสร้างหยวนตันทั้งหมดเก้าดวง
กระบวนการอาจล่าช้าและลำบากยากเข็ญ ในการเกิดใหม่เก้าครั้ง ทุกครั้งจะเกิดเปลี่ยนแปลงกับร่างกายเสมอ อีกอย่างหลังจากทำครบเก้าครั้งจะสร้างหยวนตันได้เก้าดวง ยิ่งหยวนตันมากเท่าไรก็ยิ่งกักเก็บพลังหยวนได้มากขึ้นเท่านั้น นั่นหมายความว่าหากสำเร็จการเกิดใหม่เก้าครั้งและบรรลุเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นราชัน พลังหยวนในร่างกายก็จะเหนือกว่าผู้ฝึกยุทธ์ในระดับเดียวกัน กระทั่งผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะเหนือกว่าอาจด้อยกว่าเขา
เพียงอาศัยพลังหยวนที่แข็งแกร่งนั่น ก็เอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกันหรือสูงกว่าหนึ่งขั้นได้อย่างง่ายดาย
หากสำเร็จการเกิดใหม่เก้าครั้งและบรรลุเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นราชันได้จริง ๆ เช่นนั้นหลังจากที่เย่เฟิงบรรลุขั้นราชัน พลังต่อสู้คงแข็งแกร่งกว่าตอนนี้หลายเท่า และทุกอย่างนี้ก็ยากที่จะอธิบายออกมาเป็คำพูด
ความผันผวนเกิดขึ้นในใจของเย่เฟิง เมื่อมีเก้าวัชรหุนหยวน เขาจะฝึกเป็เคล็ดวิชาหลักั้แ่ขั้นรวมชี่ถึงขั้นราชัน แม้ตอนนี้เย่เฟิงจะััได้แค่ขั้นแรกของเก้าวัชรหุนหยวน แต่เคล็ดวิชาที่ฝืนลิขิตเช่นนี้ ต่อไปเย่เฟิงจะพยายามสุดความสามารถเพื่อสำเร็จในอีกแปดขั้นที่เหลือ
“ตามที่ผู้าุโฉินว่ามา ในมิติประตูหินนี้สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ เช่นนั้นก็คงเป็เก้าวัชรหุนหยวนนี่แล้ว!” เย่เฟิงพึมพำกับตัวเองพลางยิ้มอย่างพึงพอใจ
“ข้ายังอยู่ในมิตินี้ นั่นหมายความว่ายังไม่ครบสามวัน ไม่สู้ฝึกเก้าวัชรหุนหยวนต่อในเวลาที่เหลืออยู่ไปเลยละ” เย่เฟิงกล่าวเสียงแ่พร้อมสูดหายใจ จากนั้นเก้าวัชรหุนหยวนขั้นแรกเริ่มโคจรในหัว
เขาหลับตาลงพร้อมสองฝ่ามือร่ายไปมาในอากาศด้านหน้า ก่อนจะมีพลังประหลาดมารวมตัว แล้วเข้าปกคลุมร่างเย่เฟิงพลางเรืองแสง
ขั้นแรกของเก้าวัชรหุนหยวนคือขั้นพื้นฐาน เื่หลักคือปรับเปลี่ยนร่างกายของผู้ฝึก ทำให้เส้นชีพจรในร่างของผู้ฝึกสามารถเข้าถึงได้ง่าย ทุกองค์ประกอบสามารถดูดซับพลังหยวนได้ดียิ่งขึ้น
พลังหยวนจึงไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของเย่เฟิงได้อย่างอิสระ และเส้นเืยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ภายนอกยังมีพลังหุนหยวนระหว่างฟ้าดินมารวมตัวกัน ก่อนจะแทรกซึมผ่านรูขุมขน เข้าสู่ร่างกายของเขาเพื่อปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น
หอวิชาชั้นที่ 4 ฉินเจิ้นถิงเฝ้ารออยู่ด้านนอกไม่ห่างหาย แต่สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาร้อนใจและเดินกลับมาที่หน้าประตูหิน
“เห็นทีเย่เฟิงผู้นี้จะไม่ใช่ผู้สืบทอดที่เหมาะสมของาาเสวียน” ฉินเจิ้นถิงถอนใจขณะมองประตูหินที่ไม่มีทีท่าจะเปิดออก แม้เขาจะเป็ศิษย์ของเ้าสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เป็ผู้ดูแลสำนักยุทธ์ แต่เขาจำภารกิจของตนได้เสมอมาว่ามันคืออะไร
าาเสวียนคือผู้ก่อตั้งสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เขาทิ้งมรดกไว้ก็เพื่อตามหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมกับตัวเอง รวมถึงมรดกของเขา
ทว่าหลายปีผ่านไป ทางสำนักรับศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียนเข้ามากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า แต่ผู้สืบทอดคนนั้นก็ยังไม่เคยปรากฏตัว นี่ทำให้ฉินเจิ้นถิงรู้สึกว่า ภารกิจที่ท่านอาจารย์ให้ไว้อาจไม่สำเร็จลุล่วง
ภายในมิติประตูหิน เย่เฟิงยังคงจมอยู่กับการฝึกเก้าวัชรหุนหยวนขั้นแรก ด้วยสติปัญญาอันล้ำเลิศของเย่เฟิง หลังจากฝึกมาระยะหนึ่งก็เข้าใจพื้นฐานของมัน และการปรับเปลี่ยนร่างกายก็เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย
ผ่านไปสักพัก เย่เฟิงค่อย ๆ ออกจากการฝึก รู้สึกว่าพลังหยวนในร่างกายมีความหนาแน่นและบริสุทธิ์ขึ้นกว่าเดิม และการฝึกเก้าวัชรหุนหยวนขั้นแรกนี้ก็ถึงระดับเบื้องต้นแล้ว แต่ไม่คิดว่าผลลัพธ์จะเกินคาดเช่นนี้ จนอดทำให้เย่เฟิงปลื้มปีติไม่ได้ และยิ่งรอคอยอีกแปดขั้นของเก้าวัชรหุนหยวนที่เหลืออยู่
“ครืน!” ตอนนั้นเองมีเสียงกระหึ่มดังขึ้น พลังประหลาดเปลี่ยนไปกระสับกระส่าย นาทีนี้เย่เฟิงรู้สึกว่าวิสัยทัศน์ที่ปรากฏในสายตาค่อย ๆ เกิดการบิดเบี้ยว และเริ่มว่างเปล่าจนกระทั่งหายไปในที่สุด แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเย่เฟิงคือห้องธรรมดาห้องหนึ่ง ไร้ซึ่งภาพอันน่ามหัศจรรย์เฉกเช่นก่อนหน้านี้ราวกับว่าทั้งหมดนี้เป็เพียงภาพลวงตา แต่เก้าวัชรหุนหยวนที่เขาฝึกกลับเป็ความจริง
“ครบกำหนดสามวัน ถึงเวลาที่ข้าจะออกไปได้แล้ว” เย่เฟิงพึมพำ จากนั้นเดินออกไปข้างนอก
ที่โลกภายนอก ฉินเจิ้นถิงเห็นประตูหินเปิดออกก็รีบเดินมาหาอย่างร้อนใจ พร้อมความผิดหวังฉายในดวงตาอยู่ลึก ๆ แต่เมื่อเขาััได้ถึงกลิ่นอายจากตัวเย่เฟิง เขากลับดูใแทน
“เป็ไงบ้าง แล้วเรียนรู้สิ่งใดมา?” ฉินเจิ้นถิงเอ่ยถามด้วยท่าทีร้อนใจ และเผยสีหน้าคาดหวัง
“เก้าวัชรหุนหยวน” เย่เฟิงกล่าวเสียงเบา
“เ้าเรียนรู้เก้าวัชรหุนหยวนได้จริง ๆ หรือ?”
ฉินเจิ้นถิงได้ยินเช่นนั้นก็ตัวสั่นสะท้าน และเผยสีหน้าเหลือเชื่อ
“จริงแท้แน่นอน” เย่เฟิงพยักหน้า ไม่คิดว่าฉินเจิ้นถิงจะมีปฏิกิริยามากเพียงนี้
“ดี ดีมาก!”
เมื่อเย่เฟิงยืนยันอย่างมั่นใจก็ทำให้ฉินเจิ้นถิงตื่นเต้น ก่อนจะแหงนหน้าแล้วส่งเสียงะโว่า “าาเสวียน ในที่สุดข้าฉินเจิ้นถิงก็ทำภารกิจสำเร็จลุล่วงแล้ว ข้าตามหาผู้สืบทอดเจอแล้ว ความพยายามที่ลงแรงไปไม่สูญเปล่า!”
ฉินเจิ้นถิงดูดีใจมาก ขณะกล่าวตัวก็สั่นสะท้าน จากนั้นเขาหันมามองเย่เฟิงแล้วกล่าวว่า “นับจากวันนี้ไป เ้าก็คือผู้สืบทอดของาาเสวียน สืบทอดมรดกของเขา เข้าใจไหม?”
ท่าทีของฉินเจิ้นถิงทำให้เย่เฟิงสับสนงงงวย แต่เขาก็พอจะเดาบางอย่างได้ว่าเก้าวัชรหุนหยวนที่ตนฝึกน่าจะเป็มรดกของาาเสวียนที่ฉินเจิ้นถิงเอ่ยถึง และสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับาาเสวียนไม่มากก็น้อย
