“พี่ใหญ่ พี่ควรเข้มแข็งให้มากกว่านี้! แม้จะไม่มีฮวาเอ๋อร์แล้ว แต่พี่ยังมีพี่สะใภ้ใหญ่ ยังมีฉี่ชิ่ง ฉี่เสียง... ข้าดูแล้วฉี่ชิ่งก็อายุได้สิบห้า ถึงวัยที่จะแต่งงานได้แล้ว แต่ด้วย...สถานการณ์ของตระกูลอวิ๋นที่เป็เช่นนี้ ตระกูลไหนที่ดีกว่า ก็คงไม่มีใครอยากยกบุตรสาวให้ฉี่ชิ่งหรอก ก็ถือเสียว่าทำเพื่อลูกๆ ทั้งสองคน... พี่ใหญ่ พี่ก็ควรเข้มแข็งขึ้นมาได้แล้ว!”
อวิ๋นโส่วจงไม่พูดอะไรเพิ่มเติมอีก เขารู้ดีว่าพี่ชายเป็คนนิสัยเรียบง่ายและอ่อนแอ ถูกเถาซื่อกดขี่ข่มเหงมาโดยตลอด เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดไม่กี่คำของตนจะสามารถเปลี่ยนแปลงอวิ๋นโส่วกวงได้ แต่ก็หวังว่าพี่ชายจะคิดถึงลูกๆ บ้าง ในใจควรมีแผนการมากกว่านี้ อย่าปล่อยให้เถาซื่อกดขี่ข่มเหงครอบครัวจนตาย!
วันนี้เขาได้เห็นชัดเจนแล้วว่า ตระกูลอวิ๋นอยู่ในหมู่บ้านก็ไม่ได้ยากจนถึงขั้นไม่มีข้าวกิน แต่มีเพียงครอบครัวพี่ชายเท่านั้นที่สีหน้าซีดเซียว เสื้อผ้าก็เต็มไปด้วยรอยปะชุนต่อกันเป็แนว
แม้ว่าบ้านน้องสามอย่างอวิ๋นโส่วเย่า ก็แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ไม่ดีนัก มีรอยปะชุนบ้าง แต่เทียบกับครอบครัวพี่ใหญ่แล้วนับว่ายังดูดีกว่ามาก!
เขาอยากจะช่วยเหลือครอบครัวอวิ๋นโส่วกวง แต่ต้องมั่นใจว่าอีกฝ่ายสามารถพยุงตนเองขึ้นมาได้ มิฉะนั้นต่อให้เขาทำสิ่งใดไป สุดท้ายก็มีเพียงผลลัพธ์เดียว นั่นก็คือตกไปอยู่ในมือเถาซื่อ!
เมื่อได้ยินอวิ๋นโส่วจงพูดเช่นนั้น แววตาของจ้าวซื่อก็พลันมีความหวัง นางหันไปมองอวิ๋นโส่วกวง ในใจแอบคาดหวังอยู่บ้าง
อวิ๋นโส่วกวงถอนหายใจอย่างหม่นหมอง “น้องรอง พี่มันไร้ประโยชน์! พ่อเราอายุมากแล้ว หากข้าไม่ยอมทำตามที่ท่านแม่้า นางคงไปโวยวายใส่ท่านพ่อ หากท่านพ่อโกรธจนเกิดเื่ไม่ดีขึ้นมา ข้าคงกลายเป็ลูกอกตัญญู!”
ทันทีที่เขาพูดจบ ความหวังในดวงตาของจ้าวซื่อก็ดับวูบลงไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งร่างพลันหมดกำลัง
“พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราเพิ่งมาถึง ยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่ หากเป็ไปได้ ท่านให้ฉี่ชิ่งกับฉี่เสียงพาเจียวเอ๋อร์กับพี่ชายทั้งสองคนไปเที่ยวเล่นรอบๆ หน่อยสิ” เมื่อเห็นบรรยากาศอึดอัด ฟางซื่อจึงยิ้มๆ พลางลูบมือจ้าวซื่อเบาๆ
จ้าวซื่อเช็ดน้ำตา ใบหน้าฝืนเผยรอยยิ้มเจื่อนๆ “ได้สิ ทุกวันหลังจากที่พวกเขาทำงานเสร็จ ข้าจะให้พวกเขามาช่วยดูแลน้องๆ แต่พวกเขาสองพี่น้องเป็คนหยาบๆ อาจจะพูดจาไม่ค่อยเก่งนัก ทำอะไรไม่ค่อยเป็ เกรงว่า...”
ลูกๆ ทั้งสามคนของน้องสะใภ้หน้าตางดงามราวกับสลักออกมาจากหยก เหมือนเดินออกมาจากภาพวาด ส่วนลูกๆ ของนางเป็เพียงเด็กบ้านนอก...
“พี่สะใภ้ใหญ่ ดูท่านพูดเข้าสิ พวกเราเป็ครอบครัวเดียวกัน ฉี่ชิ่งกับฉี่เสียงยินดีช่วยข้าดูแลลิงน้อยทั้งสาม เช่นนั้นพวกเขาก็ช่วยข้าได้มากแล้ว”
ฟางซื่อดูออกว่าพี่ใหญ่คงไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองในเวลาอันสั้น พวกนางจึงได้แต่แอบช่วยเหลือลูกๆ ของเขาไปก่อน
อันที่จริงฟางซื่อเข้าใจอวิ๋นโส่วกวงเป็อย่างดี ในโลกใบนี้มีเพียงคำว่า ‘กตัญญู’ เท่านั้นที่สามารถกดขี่ข่มเหงผู้คนได้
ฮ่องเต้สั่งให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ต้องตาย! บิดาสั่งให้บุตรชายตาย บุตรชายก็ต้องตาย!
เพียงเพราะคำว่า ‘กตัญญู’ คำเดียว ทำให้อวิ๋นโส่วกวงและภรรยาต้องทนทุกข์กับความเ็ปจากการสูญเสียบุตรสาว แต่ก็ยังต้องฝืนเรียกเถาซื่อว่า ‘ท่านแม่’!
และคำว่า ‘กตัญญู’ เพียงคำเดียว ทำให้ครอบครัวอวิ๋นโส่วกวงต้องทนทุกข์กับการกดขี่ข่มเหงจากเถาซื่อ!
ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางก็เช่นกันมิใช่หรือ แม้ในใจจะไม่พอใจเพียงใด แต่ต่อหน้าคนอื่นก็ต้องเรียกเถาซื่อว่า ‘ท่านแม่’!
“ลุงใหญ่ ป้าใหญ่ ลุงสอง ป้าสอง ทานข้าวแล้วเ้าค่ะ!” เสียงดังมาจากนอกประตู ทุกคนในห้องจึงหยุดพูดคุย ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป
คนที่เข้ามาเรียกพวกเขาให้ไปกินข้าวก็คืออวิ๋นหลานเอ๋อร์ บุตรสาวคนเล็กของอวิ๋นโส่วเย่า น้องชายคนที่สาม อวิ๋นโส่วเย่าแต่งงานมานานหลายปี มีบุตรสาวเพียงสองคน
อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ บุตรสาวคนโตอายุสิบสามปี หน้าตาละม้ายคล้ายบิดา แลดูอ่อนหวานกว่า ส่วนอวิ๋นหลานเอ๋อร์ บุตรสาวคนเล็กหน้าตาละม้ายคล้ายเฉาซื่อ ดูหยาบกระด้างไปสักหน่อย
นางสวมเสื้อที่มีแต่รอยปะชุนจนมองไม่ออกว่าสีเดิมของมันคือสีอะไร ทั้งคอเสื้อและปลายแขนเสื้อเลอะคราบสกปรกจนมันวาว เส้นผมของนางก็ยุ่งเหยิงรุงรัง ยิ้มทีก็เห็นฟันเหลืองทั้งปาก
ตอนนี้นางกำลังยืนอยู่ที่โถงทางเดินพร้อมกับอวิ๋นเจียวและพี่ชายทั้งสองคน
“น้องสาว เ้างดงามจริงๆ !”
ขณะที่อวิ๋นเจียวกำลังพิจารณานาง นางก็กำลังพิจารณาอวิ๋นเจียวเช่นกัน นางไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงที่หน้าตางดงามเช่นนี้มาก่อน ผิวขาวดุจหิมะในฤดูหนาว ดวงตาทั้งสองกลมโตราวกับจะสื่อคำพูดได้ และเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม
อวิ๋นเจียวสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีชมพูอ่อน ทั้งคอเสื้อ แขนเสื้อ และสาบเสื้อปักลวดลายดอกไม้สีเหลืองอ่อนที่พันสลับกันไปมา
ผมเกล้าเป็มวยสองข้าง ประดับด้วยปิ่นเงินรูปผีเสื้อ บนปิ่นนั้นยังประดับด้วยโมราสีแดงสองเม็ด แกว่งไปมาตามจังหวะการเคลื่อนไหว และภายใต้การแต่งกายอย่างประณีตนี้ ยิ่งขับให้อวิ๋นเจียวดูน่ารักยิ่งขึ้น
ตอนที่อยู่ในห้องโถงก่อนหน้านี้ นางก็แอบมองอวิ๋นเจียวอยู่บ่อยๆ ตอนนี้พอได้มาอยู่ใกล้ๆ กัน นางก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม
“แน่นอนอยู่แล้ว เจียวเอ๋อร์ของพวกเราสวยที่สุด!” อวิ๋นฉี่ซานพูดอย่างภาคภูมิใจ
อวิ๋นฉี่เยว่เพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วดึงน้องสาวไปหลบข้างหลังอย่างแเี อวิ๋นเจียวรู้ดีว่าพี่ชายคนโตจอมหยิ่งของนางเกิดอาการโรคกลัวความสกปรกแล้ว
ผู้ใหญ่หลายคนเดินออกมาเห็นเด็กๆ ยืนอยู่ด้วยกัน ผู้ใหญ่ยังไม่ทันเอ่ยปาก อวิ๋นหลานเอ๋อร์ก็ะโขึ้นว่า “รีบไปเร็วๆ เดี๋ยวไปช้าเนื้อหมดพอดี!” กล่าวจบก็วิ่งปรู๊ดหายไปทันทีเมื่อมองตามหลังอวิ๋นหลานเอ๋อร์ที่หายไปจากสายตา จ้าวซื่อจึงเอ่ยขึ้น “เด็กคนนี้นี่ มีแต่ใจคิดอยากจะกินอย่างเดียว เพื่ออาหารหนึ่งคำ ถูกย่าเขาตีจนนับครั้งไม่ถ้วน!”
ฟางซื่อเอ่ยยิ้มๆ “เด็กคนนี้ก็ดูแข็งแรงดี”
ทุกคนมุ่งหน้าเดินไปที่ห้องโถง ปรากฏว่ายังไม่ทันจะไปถึง ก็ได้ยินเสียงดุด่าของเถาซื่อดังลั่น “เ้าเด็กสารเลวน่าตายนัก! เป็ิญญาผีโหยมาเกิดหรือยังไง? เ้าเชื่อไหมว่าพรุ่งนี้ยายเฒ่าเช่นข้าจะถีบเ้าออกไปขายทิ้งซะ! สมองคิดถึงแต่เื่กิน ทรัพย์สมบัติในบ้านสักวันหนึ่งคงถูกเ้ากินจนสิ้นเนื้อประดาตัว เ้าเด็กที่ทำให้บ้านล่มจม! ขอให้แกสำลักตายซะ!”
“ทั้งวันเอาแต่พูดพล่าม เด็กมันกินเนื้อสักสองชิ้นจะเป็ไรไปเล่า?”
“กินสิ เอาสมบัติทั้งบ้านมากิน กินให้หมดเกลี้ยง สุดท้ายพวกเราคงอดตายกันหมด!”
“เ้านี่นะยายแก่ จะเงียบปากบ้างได้ไหม?”
พอทุกคนเข้าไปในห้อง ก็เห็นเถาซื่อถือไม้ขนไก่ไล่ตีอวิ๋นหลานเอ๋อร์จนวิ่งพล่านไปทั่วห้อง อวิ๋นหลานเอ๋อร์ปากมันเยิ้มไปด้วยคราบน้ำมัน ยัดอาหารเต็มปาก มือดำๆ ยังถือกระดูกหนึ่งอันกับแป้งอีกแผ่น
ไม้ขนไก่ตีลงมาบนตัวนาง แต่นางก็ไม่ร้องสักแอะ ไม่รู้ว่าไม่เจ็บ หรือกลัวว่าอาหารในปากจะหล่นออกมา
เด็กคนอื่นๆ มองอวิ๋นหลานเอ๋อร์ด้วยความอิจฉา ในปากก็กลืนน้ำลายลงคอ แต่ไม่กล้าขยับตัว
เมื่อเห็นอวิ๋นโส่วจงและคนอื่นๆ เดินเข้ามา ผู้เฒ่าอวิ๋นจึงรีบเอ่ยเรียก “เ้ารองมาแล้วเหรอ ทุกคนนั่งสิ กินข้าวกัน!”
ในห้องโถงมีโต๊ะแปดเซียน [1] ตั้งอยู่สองชุด ผู้ชายนั่งโต๊ะหนึ่ง นำโดยผู้เฒ่าอวิ๋น เขาให้อวิ๋นโส่วจงนั่งข้างๆ ถัดมาคืออวิ๋นโส่วกวง อวิ๋นโส่วเย่า อวิ๋นโส่วจู่ อวิ๋นฉี่ชิ่ง อวิ๋นฉี่เสียง อวิ๋นฉี่เยว่ และอวิ๋นฉี่ซานก็ถูกลากไปนั่งเบียดอยู่ที่โต๊ะนั้น
ส่วนผู้หญิงและเด็กๆ นั่งอีกโต๊ะหนึ่ง นำโดยเถาซื่อและอวิ๋นเหมยเอ๋อร์ ถัดมาก็คือหลิ่วซื่อ ภรรยาของอวิ๋นโส่วจู่ พร้อมด้วยบุตรชายคนเดียวของพวกเขานามว่าอวิ๋นฉี่รุ่ย ต่อมาก็คือจ้าวซื่อ เฉาซื่อ และอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ บุตรสาวคนโตของเฉาซื่อ จากนั้นก็คือฟางซื่อและอวิ๋นเจียว
อวิ๋นหลานเอ๋อร์กินอาหารในปากหมดแล้วก็วิ่งมานั่งเบียดข้างๆ อวิ๋นเจียว นางหันมายิ้มกว้างให้อวิ๋นเจียว ฟันเหลืองๆ ที่มีเศษต้นหอมติดอยู่มองดูแล้วรู้สึกคลื่นไส้
เฉาซื่อรู้ดีว่าบุตรสาวของตนเป็คนอย่างไร นางหน้ามืดลงทันที รีบดึงหูอวิ๋นหลานเอ๋อร์ให้ลุกออกจากอวิ๋นเจียว
ตอนที่อวิ๋นเจียวเดินเข้ามาในห้อง นางก็แอบมองอาหารบนโต๊ะทั้งสองตัวแล้ว อาหารบนโต๊ะของบิดานั้นดูดีกว่าเล็กน้อย มีแป้งแผ่นหยาบหนึ่งตะกร้า โจ๊กข้าวโพดหนึ่งชาม ผักตามฤดูกาลผัดกับเนื้อสองจาน แต่เนื้อ... มีไม่มากเท่าไรนัก จากนั้นก็คือผักดองอีกหลายจาน ส่วนอาหารปรุงสุกที่บิดามารดานางซื้อมาจากในตำบลนั้นไม่มีอยู่บนโต๊ะ
อาหารบนโต๊ะของญาติผู้หญิงเรียบง่ายกว่ามาก มีเพียงโจ๊กข้าวโพดที่เกือบจะเหมือนน้ำเปล่าอยู่หนึ่งชาม แป้งหยาบหนึ่งตะกร้า และผักดองสองอย่าง มีเพียงเถาซื่อกับอวิ๋นเหมยเอ๋อร์เท่านั้น ที่มีเนื้อจานเล็กๆ วางอยู่ตรงหน้า
อวิ๋นเจียวพูดไม่ออก นี่มัน... พวกนางซื้อเนื้อจากในตำบลมาตั้งยี่สิบกว่าจิน [2] เชียวนะ ไม่เหลือไว้เองเลยสักนิด เอาให้ตระกูลอวิ๋นทั้งหมดแล้ว!
เชิงอรรถ
[1] โต๊ะแปดเซียน 八仙桌 คือ โต๊ะอาหารทรงสี่เหลี่ยมมีม้านั่งสี่ด้าน สามารถนั่งได้ 8 คน
[2] จิน 斤 คือหน่วยชั่งน้ำหนักของจีน มีค่าประมาณ 500 กรัม หรือครึ่งกิโลกรัม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้