ตอนที่พวกเราเดินร่วมทางกันพวกเราไม่อยากเป็ภาระของพี่รองหรอกนะ ที่จริงถ้าเขาไปที่ไหน พวกเราก็ยินดีจะเดินตามหลังของเขาทั้งนั้น....................
ตอนที่พวกเราเดินร่วมทางกันพวกเราไม่อยากเป็ภาระของพี่รองหรอกนะ........................
หัวใจของซูเฟยเฟยสั่นไหวอย่างรุนแรง ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว
พวกเขาไม่ใช่ว่าไม่ยอมร่วมทางไปกับเย่เทียนเซี่ย ไม่ใช่ว่าไม่อยากเดินทางไปกับเขา.......... แต่ว่าหลังจากผ่านพ้นอันตรายในป่าเงาปีศาจมาแล้วพวกเขาก็เข้าใจพลังของเย่เทียนเซี่ยแล้ว สิ่งที่ตัวเองจะนำมาให้เขาในการเดินทางไม่ใช่ความช่วยเหลือ แต่ทำได้เพียงทำให้เขาต้องแบ่งสมาธิมาปกป้องพวกเขา ทำให้เขาต้องระมัดระวังอย่างมาก......... เป็ได้เพียงแค่ภาระของเขา
ดังนั้นต่อให้พวกเขาอยากมากเท่าไร ก็เลือกได้เพียงการปฏิเสธเท่านั้น นี่ไม่ใช่ว่าพวกเขากันเย่เทียนเซี่ยออกไปเป็คนนอก แต่ว่า.............. เป็เพราะพวกเขาคำนึงถึงทุกอย่างของเย่เทียนเซี่ยอย่างแท้จริงด้วยมิตรภาพที่จริงใจ ก็เหมือนที่เย่เทียนเซี่ยไม่เคยคิดว่าพวกเขาเป็ภาระแม้แต่น้อยนั่นแหละ
ดังนั้นเมื่อกี้ตอนที่เย่เทียนเซี่ยเสนอให้พวกเขาไปเก็บเลเวลด้วยกันพวกเขาถึงได้หาข้ออ้างแบบส่งๆไป เมื่อ้าไปทำภารกิจที่มีความท้าทายอันยิ่งใหญ่อย่างเห็นได้ชัดด้วยกัน พวกเขาถึงต้องใช้ข้ออ้างแบบเดียวกัน
แล้ว........ตัวเธอล่ะ.............
ด้วยพลังของเขา............... การเก็บเลเวลกับเขา ตัวเธอจะสามารถช่วยเขาได้จริงๆเหรอ? หรือจะทำได้แค่แบ่งผลประโยชน์ของเขามาแล้วคอยฉุดขาเขาตอนเก็บเลเวลแค่นั้น แล้วไปทำภารกิจที่เสี่ยงอันตรายด้วยกันล่ะ......... ก็คงจะเป็ได้แค่ความกังวลและภาระของเขาเท่านั้น ทำให้เขาต้องแบ่งเวลามาปกป้องและไม่สามารถก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างใจนึก ความสามารถในการช่วยเหลือของตัวเองในตอนนี้สำหรับเขาแล้วมีก็เหมือนไม่มี
คิดไปถึงก่อนหน้านี้ เพราะตัวเธอเองเขาถึงต้องใช้ร่างกายของตัวเองปกป้องเธอจากมอนสเตอร์ชั้นเซียนที่น่ากลัว และก็เป็เพราะเขาถูกการโจมตีอันน่ากลัวเพียงครั้งเดียวของมอนสเตอร์ชั้นเซียนตัวนั้น............ถึงได้เกือบถูกฆ่าตายภายในเสี้ยววินาที ทั้งที่รู้ดีว่ามีความเป็ไปได้สูงมากที่จะถูกฆ่าทันทีภายสถานการณ์แบบนั้น แต่เขาก็ยังคงเลือกที่จะใช้ร่างกายพุ่งเข้ามา......... เพราะหัวใจของเขาไม่ได้เ็าเหมือนรูปลักษณ์ภายนอกของเขา เพื่อเพื่อนของเขา เพื่อคนที่เขาแคร์ เขาสามารถเสียสละได้ แต่ตัวเธอเองในตอนนั้นก็เป็ได้เพียงภาระของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขาแข็งแกร่งมากพอ เขาคงจะถูกมอนสเตอร์ชั้นเซียนตัวนั้นฆ่าตายไปนานแล้ว
อยู่ในบ้านของเขา เพลิดเพลินไปกับการปกป้องของเขา หัวใจของเธอไม่จำเป็ต้องหวาดกลัวอีก แล้วยังมีความรู้สึกพึงพอใจและโชคดีที่ได้อยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับเขาด้วย.............. ได้รู้อดีตของเขา มีความสุขไปกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับมาเพราะเขา ตัวเธอเองยังอยากไปเป็ภาระของเขาแค่เพราะความสุขของตัวเองอีกเหรอ..............
ทั้งที่เคยพูดไว้อย่างชัดเจนว่าจะทำให้เขามีความสุขขึ้นมาอย่างแท้จริง
เย่เทียนเซี่ยฉีกยิ้มแล้วพยักหน้าให้กับจั้วพั่วจวินและมู่หรงชิวสุ่ย สิ่งที่พวกเขาคิดทั้งหมดเย่เทียนเซี่ยเข้าใจดี แล้วเขาก็พูดออกมาเรียบๆ “งั้นก็เอาเถอะ เจ๊ใหญ่น่าจะอยากได้ความช่วยเหลือมากอยู่ เฟยเฟยพวกเราไปเถอะ”
“ฉัน............” เฟยเฟยหลุดออกจากภวังค์ เธอก้มหน้ามองเวลาบนสายรัดข้อมือจากนั้นก็ส่ายหน้า แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงี้เี “เอาเถอะ ฉันก็ไม่ไปแล้วเหมือนกัน ใกล้จะเที่ยงแล้ว ฉันยังต้องไปทำอาหารเที่ยงให้ตัวี้เีอย่างนาย ไม่งั้นพวกเราทั้งคู่ต้องหิวตายแน่ๆ......... เทียนเซี่ยไปทำภารกิจดีๆล่ะ ถึงเวลาแล้วก็อย่าลืมออฟไลน์ออกมากินข้าวด้วย....... ฉันี้เีเรียกนายแล้ว”
เย่เทียนเซี่ยมองเวลาแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก “โอเค ลำบากคุณหนูซูแล้วจริงๆ”
“บอกให้เรียกว่าเฟยเฟย!”
“..................”
————
————
วัดอู๋ฮวา ทางเหนือของเมืองเทียนเฉิน
มันเป็วัดที่ไม่ใหญ่มาก แต่กลับสะอาดและเงียบสงบมาก ตำแหน่งที่ตั้งของมันอยู่ติดกับประตูเหนือของเมืองเทียนเฉิน ก่อนหน้านี้เย่เทียนเซี่ยไม่เคยมาที่แห่งนี้มาก่อน แต่จริงๆแล้วปกติผู้เล่นก็มาที่นี่น้อยมากอยู่แล้ว เพราะที่นี่ไม่มีภารกิจอะไรให้พวกเขามารับ อีกทั้งบรรยากาศของที่นี่ก็ไม่ใช่แบบที่คนยุคใหม่ชอบซะด้วย ผู้เล่นหลายคนมันจะคาดเดากันไปต่างๆนาๆว่าทำไมถึงมีวัดแห่งนี้อยู่ หรือจะมีอาชีพลับบางอย่างที่เรียกว่านักพรตหรือพระ?
แผนที่ภารกิจของภารกิจระบบทั้งสามล้วนต้องให้นักพรตของวัดอู๋ฮวาส่งตัวไป เมื่อประกาศแจ้งเตือนของระบบออกมาก็ทำให้ผู้เล่นทั่วทั้งหัวเซี่ยสับสนไปหมด เมื่อเย่เทียนเซี่ยมาถึงที่แห่งนี้เขาจึงไม่เห็นผู้เล่นคนอื่นเลยแม้แต่คนเดียว
หลังจากประกาศโลกถูกประกาศออกมา สถานการณ์ที่ควรปรากฏออกมามากที่สุดก็คือ................ ผู้เล่นในเขตาทั่วโลกล้วนรีบมายังเขตแดนภารกิจอย่างรวดเร็วที่สุด และแย่งกันทำภารกิจให้สำเร็จเป็คนแรก แต่เนื่องจากผู้เล่นคนหนึ่งต้องรอถึงสามวันถึงจะสามารถเข้าไปในแผนที่ภารกิจได้สักครั้ง บวกกับภารกิจนี้จะต้องมีระดับความยากมากอย่างแน่นอน ดังนั้นก่อนที่ผู้เล่นจะมายังที่แห่งนี้จึงต้องระมัดระวังอย่างถึงที่สุด ไม่เพียงแต่ต้องเตรียมตัวให้พร้อม แต่ยังต้องรีบสร้างทีมที่มีพลังอันแข็งแกร่งและอาชีพที่เหมาะสมกันด้วย หากรีบร้อนก็อาจจะเป็การเสียโอกาสในการเข้าไปด้านในแผนที่ภารกิจหนึ่งครั้งอย่างสูญเหล่า หากอยากจะเข้าไปอีกครั้งก็ต้องรออีกสามวันให้หลัง
ดังนั้นในตอนที่เหล่าผู้เล่นที่มีความเชื่อมั่นและพลังกำลังเตรียมการทุกย่างอยู่ เย่เทียนเซี่ยถึงได้มาเพียงลำพัง.......... อีกทั้งยังรีบมาโดยที่ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยสักอย่าง และก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
วัดอู๋ฮวาเงียบสงบมาก เมื่อก้าวเข้าประตูวัดมาก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆดังออกมาจากภายในวัดแม้แต่น้อย สวนภายในวันใหญ่โต มันถูกทำความสะอาดจนสะอาดเอี่ยม เมื่อเดินต่อมาเรื่อยๆจนมาถึงใจกลางสวนเย่เทียนเซี่ยถึงได้ยินเสียงเคาะไม้ที่ดังขึ้นมาจากด้านในห้องตรงข้ามและเสียงสวดเบาๆ........... แต่เนื้อหาของมันทำให้ใบหน้าของเย่เทียนเซี่ยกระตุก
เขาเดินเข้าไปด้านในห้องนั้น ด้านในห้องที่กว้างขวางมีเพียงพระพุทธรูปองค์หนึ่งตั้งไว้และนักพรตรูปหนึ่งที่กำลังสวดมนต์อยู่เท่านั้น พระพุทธรูปเหมือนพระพุทธเ้า มันค่อนข้างทำให้เย่เทียนเซี่ย รู้สึกเหมือนเดินเข้าไปในวัดสมัยปัจจุบัน
เมื่อเห็นว่ามีคนเดินเข้ามานักพรตชราก็หยุดสวดภาวนาแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างใ “เ้าหนุ่มผู้มาจากต่างแดน เ้ามาขอร้องให้ข้าส่งเ้าไปงั้นรึ? ที่วางอยู่ตรงหน้าของพวกเ้าก็คือบดทดสอบความสามารถและความกล้าทั้งสามของพวกเ้า เ้าและพวกพ้องของเ้าเตรียมตัวมาดีแล้วหรือยังล่ะ?”
“ครับ เตรียมตัวมาเรียบร้อยแล้ว ช่วยส่งผมไปที่สุสานเทพ์ด้วยครับ” ในเมื่อนักพรตชราพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาเย่เทียนเซี่ยก็ไม่ต้องอ้อมค้อมอะไรอีก
“สุสารเทพ์.........โอ้! ที่นั่นเคยเป็สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง เคยมีกลุ่มทหารรับจ้างจำนวนนับไม่ถ้วนไปที่นั่นเพื่อเคารพาาทหารรับจ้างในตอนนั้นอยู่บ่อยๆ แต่ที่นั่นห่างจากหอคอยแห่งโชคชะตาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อห้วงเวลาแห่งโชคชะตาหายไปเมื่อสามปีก่อน ที่แห่งนั้นก็ถูกไอปีศาจคุกคาม รวมกับไอแห่งความตายในที่แห่งนั้นก็ทำให้เกิดมอนสเตอร์ิญญาที่น่ากลัวขึ้นมามากมาย ั้แ่นั้นมาจึงมีน้อยคนนักที่จะกล้าเข้าใกล้สถานที่แห่งนั้น......... โอ้! ระดับของเ้าในเวลานี้เพียงแค่เลเวล 16 เท่านั้น จะไปที่ไหนก็ล้วนอันตรายเกินไปทั้งนั้น เ้าแน่ใจที่จะไปที่นั่นรึ?” นักพรตชราถามออกมา
“แน่ใจครับ”
“เอาเถิด นี่เป็ทางเลือกของเ้า เอ๋? พวกพ้องของเ้าเล่า?”
“ไม่มีเพื่อนร่วมทางครับ แค่ส่งผมไปคนเดียวก็พอ” เย่เทียนเซี่ยยักคิ้วแล้วพูดออกมา
“เ้าคนเดียวงั้นรึ?” แม้ว่านักพรตชราจะไม่ได้แสดงสีหน้าใออกมา แต่น้ำเสียงของเขาก็สูงขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด เขารีบพูดออกมา “เ้าหนุ่มผู้มาจากต่างแดน ความหล้าหาญของเ้านั้นน่าชื่นชมยิ่งนัก แต่ที่แห่งนั้นไม่ใช่สถานที่ที่เ้าในตอนนี้จะสามารถย่างกรายเข้าไปได้ เ้าไปกับเพื่อนร่วมทางของเ้าน่าจะดีกว่า อย่างนั้นพวกเ้าคงจะมีความหวังที่จะทำมันให้สำเร็จได้”
“แค่ผมคนเดียวนี่แหละครับ ส่งผมไปก็พอแล้ว” เย่เทียนเซี่ยพูดออกมาอย่างไม่ลังเล
“เอ่อ......... เอาเถอะ มันเป็ทางเลือกของเ้า หากเป็เช่นนั้นข้าจะส่งเ้าไปยัง ‘สุสานเทพ์’ เพียงคนเดียว หวังว่าเมื่อเ้าได้พบกับอันตราย เ้าจะเลือกที่จะวิ่งหนีแทนที่จะวิ่งไปข้างหน้านะ ยืนให้ดีๆล่ะ โอ้ใช่แล้ว ข้ายังไม่ได้แนะนำตัวเองเลยสินะ............ อาตมามีชื่อว่า.......... อู๋ฮวา”
“...............” เย่เทียนเซี่ย
นักพรตอู๋ฮวาท่องบทสวดออกมาจากปากหลังจากนั้นไม่นานใต้เท้าของเย่เทียนเซี่ยก็ปรากฏวงแหวนเวทย์ขึ้นมาวงหนึ่งโดยมีร่างของเขาเป็จุดศูนย์กลาง หลังจากที่วงแหวนเวทย์หมุนวนไปไม่กี่รอบทันใดนั้นแสงสีขาวสว่างจ้าก็ส่องสว่างขึ้นมาบดบังร่างกายของเย่เทียนเซี่ย และเมื่อแสงสีขาวหายไปเย่เทียนเซี่ยก็หายไปจากที่แห่งนั้นแล้ว
“โอ้ เ้าหนุ่มผู้กล้าและหยิ่งทระนง หวังว่าเ้าจะรู้ถึงความยากและเลือกที่จะถอยกลับมานะ”
นักพรตอู๋ฮวาถอยหายใจต่ำแล้วนั่งลงอีกครั้ง ดวงตาชราปิดลงแล้วเริ่มท่องบทสวดเหมือนก่อนหน้านี้ จังหวะต่ำๆของเสียงบทสวดออกมาจากปากของเขา เขาต้องสวดมันทุกวันเป็วันละหลายพันรอบ “แรก........เริ่ม..........คือ............ เ้า...........ต้อง........การ...............จาก........ไป.........จาก............ไป........ก็...........จาก.......ไป.............”
————
————
สุสานเทพ์
บริเวณโดยรอบเงียบสงัด เมื่อเย่เทียนเซี่ยเพิ่งมาปรากฏกายที่นี่ ไอเย็นและกลิ่นเหม็นเน่าที่ลอยปกคลุมพื้นที่โดยรอบก็ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วแน่น
เขาเงยหน้าขึ้น เบื้องบนมืดสนิท เย่เทียนเซี่ยเข้าใจได้ในทันทีว่าที่แห่งนี้คือชั้นใต้ดินด้านในของสุสาน! นั้นก็หมายความว่า ที่นี่จะไม่มีแสงสว่างใดๆเข้ามาได้ เป็พื้นที่สีดำสนิทอย่างแท้จริง
แม้ว่านี่จะเป็ภารกิจที่ง่ายที่สุดใบบรรดาภารกิจทั้งสาม ระดับความยากของมันก็ยังเกินกว่าที่จะคาดเดาได้ และภารกิจนี้.......... ยังต้องดำเนินไปภายใต้สภาพแวดล้อมที่มืดสนิท สำหรับผู้เล่นธรรมดาการเอาชนะสภาพแวดล้อมที่มืดมิดโดยรอบก็เป็ปัญหาที่น่าปวดหัวมากแล้ว ผู้เล่นที่เข้ามาถึงที่แห่งนี้เป็ครั้งแรกคงยิ่งรู้สึกขนลุกเข้าไปใหญ่
แต่สำหรับเย่เทียนเซี่ยที่มีดวงตาัปีศาจ ปัญหานี้ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
“ว๊ายๆๆ! กลิ่นเหม็นมากเลยเ้าค่ะ............ เอ๋ๆๆ? ถึงตอนเย็นแล้วเหรอเ้าคะ?” กั่วกัวที่ปรากฏตัวขึ้นมาบนไหล่ของเย่เทียนเซี่ยขยี้ตางัวเงียพร้อมกับมองไปด้านหน้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย......... เธอจำได้ชัดเจนว่าตัวเองหลับไปหลังจากกินข้าวเช้าอิ่มแล้ว หรือว่าเธอจะนอนหลับจนถึงเย็นกัน?
“ใช่ ถึงตอนเย็นแล้ว เธอไปนอนได้แล้ว” เย่เทียนเซี่ยพูดออกมาอย่างไม่มีท่าทีไม่พอใจ ยัยตัวจิ๋วนี่ชอบกิน แล้วก็ยังเลือกกินมากด้วย เธอชอบนอนหลับ แล้วยังหลับได้สุดยอดเหมือนกัน........ จากนั้นก็ไม่สามารถทำอย่างอื่นได้อีกแล้ว
“อั๊ยหยา! นายท่านราตรีสวัสดิ์เ้าค่ะ!” กั่วกัวกลายเป็แสงสว่างสีขาวหายไปในห้วงเวลาแห่งโชคชะตาทันทีเพื่อนอนต่อ เย่เทียนเซี่ยได้แต่นิ่งงันอย่างอับจนคำพูด
พื้นดินสีดำ อากาศอับชื้น บรรยากาศกดดัน นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตที่เย่เทียนเซี่ยได้เข้ามาในสุสาน เพื่อเป็การเคารพกลุ่มทหารรับจ้างเทพ์ในตอนนั้น สุสานนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาอย่างหรูหรา พื้นที่ก็กว้างใหญ่มหาศาล ท่ามกลางความมืดดวงตาของเย่เทียนเซี่ยกลับเปล่งประกายราวกับดวงดาวสองดวง ดวงตาของเขากวาดมองไปทั่วทุกที่ ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด
ด้านหลังและ้าเป็ผนังดิน แต่ด้านหน้ากลับเป็เส้นทางทอดยาวที่ทองไม่เห็นปลายทาง
เย่เทียนเซี่ยก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าวท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ เสียงเท่าของเขาก้าวเดินไปบนพื้นชื้นๆท่ามกลางความกว้างใหญ่ไร้รูปแบบนับไม่ถ้วน เย่เทียนเซี่ยรู้สึกได้ถึงเสียงฝีเท้าของตัวเองที่กำลังกระทบลงไปในใจของเขา สภาพแวดล้อมของสถานที่แห่งนี้น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าถ้ำหัวกะโหลกที่เขาเคยเข้าไปก่อนหน้านี้ซะอีก คาดว่าพวกผู้หญิงเพียงเข้ามาถึงที่แห่งนี้ก็คงคิดอยากจะรีบหนีไปเป็อย่างแรกแน่นอนไม่ว่ามันจะเป็ภารกิจอะไรก็ตาม
ทีละก้าวๆ เย่เทียนเซี่ยเดินไปด้านหน้าเป็ระยะหลายสิบเมตร สภาพแวดล้อมอันมืดมิดทำให้เสียงฝีเท้าของเขาเกือบจะรบกวนจังหวะการเต้นของหัวใจ เส้นทางด้านหน้าไม่ได้เป็เส้นตรง ทว่ากลับเป็ทางคดเคี้ยว ในที่สุดหลังจากสองนาทีผ่านไปดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง เส้นทางข้างหน้าไม่ได้คดเคี้ยวอีกต่อไปแล้ว แต่มัน......... เป็ห้องโถงอัน กว้างขวาง เมื่อเดินต่อไปด้านหน้าก็เป็ทางตัน
ถึงปลายทางแล้ว?
พื้นที่แห่งนี้กว้างขวางจนเกือบจะถึงหนึ่งพันตารางเมตร เมื่อกวาดตามองไปท่ามกลางความว่างเปล่า สายตาของเขาที่หลุบต่ำเล็กน้อยก็พบขอบเขตของสถานที่แห่งนี้และโลงศพสิบสามโลงที่ตั้งอยู่กระจายกันไปในสถานที่แห่งนี้ โลงศพสิบสองโลงเป็สีเงิน แต่ด้านหน้าใจกลางโลงศพเ่าั้กลับปรากฏโลงศพอีกหนึ่งโลงที่ไม่เพียงมีขนาดใหญ่กว่า แต่มันยังเป็สีทองโดดเด่นสะดุดตาอีกด้วย ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมือสนิทแห่งนี้แสงสีทองนั้นก็ส่องสว่างกระทบเข้ามาในดวงตาของเขา มันตั้งอยู่ท่ามกลางการห้อมล้อมไปด้วยโลงศพสีเงินสิบสองโลงราวกับพระจันทร์ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยหมู่ดาว
เย่เทียนเซี่ยใจเต้นตึกตัก เขาเดินเข้าไปยังโลงสีทองนั้น และเมื่อเขาเดินเข้าไปถึงใจกลางของพื้นที่แห่งนั้น เสียงน่าขนลุกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา
มันคือ................. เสียงของฝาโลงศพที่ถูกเปิดออกมาจากด้านใน!