ทุกคนทำความเคารพโดยไม่หรี่ตาขึ้นมามอง จนกระทั่งอวิ๋นอี้หายออกไป แต่ละคนจึงพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
วิธีที่พระชายาเจ็ดจัดการกับพวกอันธพาลสองคนทำให้ผู้เห็นเืพลุ่งพล่าน
พวกเขารู้สึกทั้งใทั้งตื่นเต้น
นี้ไม่เหมือนกับข่าวลือที่เขาว่ากัน
เมืองหลวงเป็สถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดมาโดยตลอด ผู้คนในเมืองพลุกพล่านไปด้วยม้าและรถ
ที่ใดมีผู้คนมากมาย ที่นั่นย่อมมีการสื่อสาร ตราบใดที่มีการสื่อสาร ย่อมมีการซุบซิบนินทาอย่างแน่นอน
ในบรรดาข่าวซุบซิบจำนวนนับไม่ถ้วน ข่าวลือเกี่ยวกับราชวงศ์เป็ที่นิยมมากที่สุดในหมู่ประชาชน
เดิมทีอวิ๋นอี้ไม่ใช่ตัวละครหลักในหัวข้อสนทนา แต่เป็สวามีของนาง
เรียกได้ว่าเป็กระแสขึ้นั้แ่นางอภิเษกกับหรงซิว มีข่าวลือเป็ร้อยเกี่ยวกับนาง
แม้ว่าทุกคนจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่เมื่อพูดถึงนิสัยของอวิ๋นอี้ ก็มีความสอดคล้องกันอย่างน่าประหลาดใจนั่นคือนางเป็คนยอมคน
แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นด้วยตาตนเองวันนี้ พระชายาขี้ขลาดยอมคนเสียที่ไหน?
นี่มันเป็เื่สุดยอดเสียจริง!
นางควบคุมบรรยากาศด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง น้ำเสียงและอำนาจของนางไม่แพ้ผู้ใด
หลายคนยังคงคิดว่าเกิดกระไรขึ้นกันแน่ในตอนนี้ พวกเขารู้สึกเพียงราวกับอยู่ในความฝัน
ห้องโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยมยังคงรกอยู่ในขณะนี้ พวกคนใช้กำลังจัดให้เป็ระเบียบอย่างช้าๆ จ่างกุ้ยยืนอยู่ข้างๆ ดูแลควบคุม เขายังอยู่ในสภาพที่ใบหน้าโดนตบจนบวมแดง แต่สภาพจิตใจเปลี่ยนไปแล้วราวฟ้ากับเหว
ตอนที่อวิ๋นอี้บอกว่าจะคุ้มครองเขา เขาไม่คิดเชื่อจริงๆ
พระชายาที่ยอมคนเช่นนั้น ดูแลตัวเองได้ก็เก่งแล้ว!
จนกระทั่งเขาได้ตีสองอันธพาลด้วยตนเอง เขาถึงรู้สึกได้ว่ามันจริง
พระชายาองค์นี้น่าสนใจนัก
รับใช้นางไปเรื่อยๆ มั่นใจได้เลยว่าจะไม่ถูกทำร้าย!
จ่างกุ้ยคิดได้เช่นนั้น ก็ะโใส่คนใช้ให้ทำความสะอาดซากโต๊ะและเก้าอี้ให้เร็ว ทันใดนั้นโรงเตี๊ยมก็พลุกพล่านจนแม้แต่พวกนักเรียนที่มองดูอยู่ ต้องเข้ามาช่วย
หน้าต่างบนชั้นสองปิดดังเอี๊ยด กันเสียงดังข้างนอกออกไป
หรงหลินเดินมาที่โต๊ะกลมแล้วนั่งลงอย่างช้าๆ เขาได้ดูการแสดงดีๆ พูดอย่างตื่นเต้นกับคนที่อยู่ตรงข้ามว่า “ท่านพี่ พี่สะใภ้ของข้าเป็ผู้ที่น่าสนใจจริงๆ เมื่อครู่การตาต่อตาฟันต่อฟันของนางช่างวิเศษนัก มิแปลกใจเลยที่เมื่อก่อนท่านพี่มิพานางออกจากเรือน ที่แท้ก็กลัวว่านางออกจากเรือนมา จะทำให้มีคนคิดแค้นนี่เอง!”
“สตรีของข้า ผู้ใดจะกล้าคิดแค้น?” หรงซิวถือถ้วยชาด้วยสองนิ้วแล้วเขย่าเบาๆ
เขาเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน เห็นน้ำใสในถ้วยสีฟ้ามีใบชาสองใบลอยอยู่บนนั้น ก้มหน้าลงจิบ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็ความเ็า
หรงหลินทำงานกับหรงซิวมานาน คุ้นเคยกับเขาดี เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้นถามด้วยความสงสัย “ท่านพี่เป็กระไรไป? มีเื่กระไรที่ข้าพูดผิดไปหรือพ่ะย่ะค่ะ?"
เขาวางถ้วยน้ำชาลง โบกนิ้วไปมา "เ้าไม่ผิดหรอก ที่ผิดไปน่ะเป็นาง"
"นางหรือ?"
หรงซิวไม่พูดกระไรต่อ
“นางผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ?” หรงหลินงง ไม่ทันสังเกตว่ามีกระไรผิดปกติ จึงถามต่อ
ไม่ได้ยินคำตอบ เขาเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าหรงซิวเท้าคางไว้ที่มือข้างหนึ่ง อีกมือที่ว่างก็เคาะโต๊ะ เสียงนั้นเบามาก ในห้องที่เงียบงัน ทำให้มันฟังดูชัดเจนเป็พิเศษ
เขากำลังคิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ
ไม่รู้ว่านานเท่าใด หรงหลินเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศน่าอึดอัด เมื่อเขากำลังจะพูดสิ่งใดสักอย่าง จู่ๆ เขาก็ได้ยินหรงซิวถามเบาๆ ว่า “เ้าคิดว่ามีความเป็ไปได้หรือไม่ที่ หลังจากที่คนคนหนึ่งความจำเสื่อม จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับ..."
"พ่ะย่ะค่ะ?"
"ราวกับเปลี่ยนไปเป็คนละคน" หรงซิวพูดอย่างลังเล
ไม่ว่าหรงหลินจะตอบสนองช้าเท่าใด ก็รู้ว่าเขากำลังพูดถึงผู้ใด หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูด “ตามหลักเหตุผลล่ะก็ ความจำเสื่อมเป็การเกิดปัญหาที่ความทรงจำ หายไปหรือสับสนขึ้น แต่นิสัยและความชอบเดิมควรจะยังคงอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ"
"นั่นน่ะสิ" หรงซิวปรบมือเข้าหากันมองเขา "ทว่าอวิ๋นอี้ในเพลานี้ ผิดแปลกไปหมด ข้าลองทดสอบมาหลายครั้ง พบว่านางไม่มีความทรงจำใดเกี่ยวกับอดีตเลย ท่าทีของนางดูไม่ได้แกล้งทำ ไม่เพียงเท่านั้น นางเปลี่ยนไปหมด ประเภทที่เรียกว่ากลับตาลปัตร ราวกับว่า...ร่างของนางมีิญญาใหม่"
หรงหลินได้ฟังสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เพิ่งรู้สึกได้ถึงความรุนแรงของเื่นี้ พูดอย่างใ “ถึงเช่นนั้นเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“เมื่อก่อนนางเคยชอบเสื้อผ้าเรียบๆ เพลานี้นางชอบเสื้อผ้าสีสดใส นางเคยชอบของหวาน เพลานี้นางชอบอาหารรสเผ็ดจัด นางไม่เคยแม้แต่จะเข้าครัวมาก่อน ทว่าเพลานี้นางกลับทำอาหารได้อร่อย ทั้งยัง..." หรงซิวสีหน้าแปลกไปและน่าเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ "เ้าคงััได้ถึงนิสัยของนางแล้ว..."
ไม่เพียงแต่รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง ได้เห็นกับตาเลยนะสิ
“หากว่าเป็นางคนเมื่อก่อน นางจะไม่มีวันทำเื่เช่นนี้ได้แน่ เ้าน่าจะเคยได้ยินร้านสองร้านของลู่จงเฉิง ที่่ก่อนหน้านี้ได้รับความนิยมมาก คนนอกล้วนคิดว่าเป็ฝีมือของลู่จงเฉิง แต่จริงๆ แล้วนางเป็คนบงการอยู่เื้ั” หรงซิวพูดตามจริง
“กระไรนะพ่ะย่ะค่ะ?” หรงหลินอุทานด้วยความประหลาดใจ “ท่านพี่สะใภ้เป็คนคิดเื่พวกนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“มิเช่นนั้นจะผู้ใดได้” หรงซิวตอบเ็า คนลงทุนกระไรก็เจ๊งแบบลู่จงเฉิง หากเขาคิดแผนการที่เยี่ยมยอดเช่นนั้นได้ พระอาทิตย์คงขึ้นมาจากประจิมแล้ว
ในห้องเงียบไปชั่วครู่ ไม่รู้ว่าเพราะความใหรือสับสน
ผ่านไปอยู่นานหรงหลินจึงกระแอมออกมาเบาๆ “ท่านพี่เจ็ด ข้าว่าการที่นิสัยนางเปลี่ยนยังมีความเป็ไปได้ ข้าเดาว่าหลังจากที่พี่สะใภ้ประสบกับเหตุการณ์เช่นนั้น หรือไม่ก็เป็เพราะนางตกจากหน้าผา ทำให้กระทบกระเทือนจิตใจนางอย่างมาก ่เวลาไม่กี่เดือนที่นางหายตัวไป นางจึงละทิ้งอดีตและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ตั้งใจมีบุคลิกที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง"
"สมเหตุสมผล พูดต่อสิ"
“มิเช่นนั้นอาจจะเป็ใบหน้าที่แท้จริงของพี่สะใภ้เป็เช่นนี้ นิสัยที่นางเป็ก่อนตกหน้าผา ล้วนแสร้งทำ” หรงหลินพูดถึงตรงนี้ กรามของเขาก็รัดแน่นขึ้นทันใด “ท่านพี่เจ็ด เมื่อก่อนตอนที่ท่านอยู่กับนาง ได้สังเกตหรือไม่ว่านางดูแสร้งทำหรือ...”
"เมื่อก่อนข้าเคยสนใจนางที่ไหนกัน?" หรงซิวรู้สึกหงุดหงิด “มิใช่ว่าเ้าไม่รู้ ว่าข้าอภิเษกกับนางด้วยเหตุใด!”
หรงหลินเงียบไป เหตุผลจริงๆ หรงซิวอภิเษกกับอวิ๋นอี้ เขาต้องรู้อยู่แล้วสิ
ข่าวลือที่แพร่หลายในเมืองว่าพวกเขารักกันอย่างสุดซึ้ง เป็เพียงแค่เื่ที่หรงซิวอยู่เื้ั เพื่อบิดเบือนความคิดเห็นของสาธารณชนเพียงเท่านั้น หากว่าไม่ใช่เพราะเื่นั้น เกรงว่าเขาคงจะไม่แม้แต่จะเชยตามองอวิ๋นอี้ อีกทั้งเขายังเป็ถึงองค์ชายเจ็ด ในใจของเขามีผู้อื่น...
"ในความคิดของข้า" หรงหลินยังคงมึนงง เมื่อได้ยินเสียงที่เข้ามาข้างหู เขาตื่นใ เลิกคิ้วถาม "พ่ะย่ะค่ะ?"
“ไม่ว่านางจะเป็ผู้ใด ข้าจะรู้แน่ชัดให้ได้ ไม่ว่านางจะมีหน้าเดียว หรือร้อยหน้า ข้าจะถลกออกมาทีละชั้น!" หรงซิวตบโต๊ะ ถ้วยน้ำชาก็หกเป็วงกว้าง รอยแยกระหว่างนิ้วมือของเขาเปียกโชก "ไม่ต้องรีบร้อน มันเพิ่งเริ่มต้น ข้ารอมาเจ็ดปีแล้ว ข้าไม่สนใจว่าต้องรออีกนานเท่าใด นางจะแสร้งทำก็ปล่อยนางไป ข้าเล่นไปกับนางได้"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้