ข้านำไม้ที่หักร่วงในป่าเล็กๆมาตัดออกเป็ท่อน ท่อนละประมาณหนึ่งเมตรแล้วทำเป็รั้วล้อมบริเวณป่าเป็วงกว้างเพื่อไม่ให้มีพวกงูหรือหนูมาทำลายแผนการเลี้ยงไก่ที่วางไว้หลังจากนั้นก็ขุดบ่อน้ำเล็กๆ ให้มันได้กินแล้วเพียงเท่านี้แผนการเลี้ยงไก่ก็เสร็จสมบูรณ์
ตอนเย็นก็เอาข้าวสารที่กินไม่ได้ไปโปรยให้พวกลูกเจี๊ยบเพียงข้าวสารตกถึงบ้าน เ้าตัวเล็กก็กรูกันเข้ามากินอย่างมีความสุขหลังจากนั้นข้าก็เอาท่อนไม้ที่เหลือมาทำเป็เพิงเพื่อพักผ่อนหย่อนใจเื่แบบนี้มันช่างง่ายกว่าการฝึกฝนวิชาลมหายใจัขั้นที่สองนั่นเสียอีก
...
พอตกดึกเ้าของโรงเกลากระบี่ตัวจริงก็กลับมาพร้อมกับถุงใส่ของใบใหญ่และวางมันลงก่อนจะหยิบของออกมาทีละชิ้นภายใต้แสงไฟตรงลานหน้ากระท่อมแต่ไม่ได้สนใจการเลี้ยงไก่ของข้าเลยสักนิด
กลับเป็ข้าเองที่ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นของที่เขาเอาออกมาจากถุงใหญ่ๆนั่น ของแต่ละอย่างเป็หญ้าหายากที่นำมาทำยาโดยเฉพาะอย่างพวกปะการังเืกับงาโลกันตร์ที่ว่าดีแล้วนึกไม่ถึงว่าจะมีของดีอย่างโสมโลหิตที่ขนาดไม่น้อยไปกว่าที่ซ้งเชียนให้ข้าแต่มีจำนวนมากกว่าถึงสิบเท่าและเทมันออกมาราวกับเทแครอทอย่างไรอย่างนั้น
ข้าย่อตัวนั่งลงข้างๆเขาที่กำลังคัดแยกคุณสมบัติของหญ้าทำยาพวกนั้นออกเป็อย่างๆ
“อาจารย์ ท่านเอาของพวกนี้มาทำอะไร?”
“ขาย” อาจารย์พูดออกมาเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก
“หลังจากขายแล้วล่ะ?”
“ซื้อบ้าน...บ้านหลังใหญ่ๆ” จบคำอาจารย์ก็เงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นยิ้มออกมาจนหน้าบานแล้วพูดขึ้น“รอข้าซื้อบ้านหลังใหญ่ได้เมื่อไร ก็จะยกกระท่อมเล็กๆ นี้ให้เ้าจากนั้นเ้าก็จะเป็ผู้สืบทอดของข้ารุ่นต่อไปและเ้าก็อย่าทิ้งเกียรติของโรงเกลากระบี่นี่เด็ดขาดล่ะ”
ข้าได้ยินแล้วแทบโมโหออกมา“โรงเกลากระบี่ที่มีเกียรติเท่าขนไก่นี่น่ะเหรอ?”
อาจารย์ยิ้มอย่างมีความในก่อนจะพูดขึ้น“ถ้าเ้าเลี้ยงไก่ต่อ มันก็มีเกียรติเท่าขนไก่เท่านั้นแหละ ช้าอยู่ทำไมล่ะรีบเอางาโลกันตร์ใส่ตลับอย่างดีไว้ เป็เงินเป็ทองทั้งนั้นนะเ้ารู้ไหม”
ข้าอดไม่ได้ที่จะถามออกมา“ท่านไปเอาของพวกนี้มาจากไหน?”
อาจารย์หันมามองข้าอีกครั้งแล้วพูดขึ้น“เป็แค่ศิษย์สำรองอันไหนไม่ควรถามก็ไม่ต้องถาม เอ้อแล้วปู้เสวียนยินเอาตำราวิชาลมหายใจัให้เ้าหรือยัง?”
“อืม แล้วนี่ท่านรู้ได้ยังไง?”
“เฮอะๆ คนอย่างนังหนูนั่นข้ามองแวบเดียวก็รู้ว่านางจะทำอะไร”
“...”
เดาทางไม่ได้เลยจริงๆว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรอยู่ ตามหลักแล้วข้าควรจะไปฟ้องเ้าสำนัก แต่คิดๆดูแล้วก็ช่างมันเถอะเพราะเขาก็ไม่ได้ไปฟ้องเื่ที่ข้าเลี้ยงไก่เหมือนกัน...ก็ถือว่าหายกันไปแล้วกัน
...
ในวันถัดมาเมื่อข้าลืมตาขึ้นท่านอาจารย์ก็หายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงกระดาษที่มีข้อความเขียนด้วยลายมือแย่ๆ แผ่นหนึ่ง‘เส้นปราณ์ของเ้าเสียหายอย่างหนัก ข้าเอากระเทียมวางไว้ที่หน้าเตาตื่นมาแล้วกินมันเข้าไปด้วย ส่วนเื่ที่เ้าไม่ได้เปิดโปงข้านั้นจะตอบแทนให้อย่างงาม’
กระเทียม?
มองดีๆก็มีก้อนดำๆ วางอยู่ตรงนั้นจริงๆ แต่มองยังไงก็ไม่เหมือนกระเทียมเลยสักนิด พอปอกเปลือกก็มีกลิ่นหอมจางๆด้านในเป็ผลอะไรสักอย่างลักษณะหกแฉกและสีขาวแวววาว เมื่อพินิจอย่างตั้งใจข้าก็รู้ทันทีว่าเป็ผลบัวหกแฉกที่มีราคาที่ไม่ต่ำกว่าแสนเหรียญหลงหลิง!
ผลบัวหกแฉกมีสรรพคุณที่มหัศจรรย์ซึ่งช่วยรักษาเส้นลมปราณที่เสียหายได้ จริงๆ แล้ว่การฝึกฝนสองสามวันมานี้ข้าฝืนร่างกายของตัวเองอยู่นิดหน่อยทำให้มีอาการเจ็บตรงเส้นลมปราณขณะที่ไม่มีใครรู้เื่นี้แต่กลับเป็เขาที่รู้เื่นี้จนได้
อาจารย์ท่านนี้เป็ใครกันแน่นึกไม่ถึงว่าจะกล้าทิ้งผลบัวหกแฉกที่ราคาสูงแบบนี้ไว้ให้ข้า
ช่างเถอะในเมื่อพี่เสวียนยินให้ข้าเข้ามาอยู่ในโรงเกลากระบี่นี้แล้วแสดงว่านางก็ต้องรู้จักนิสัยใจคอของอาจารย์ท่านนี้อยู่ไม่น้อยนางถึงได้ไว้ใจที่จะฝากข้าไว้กับเขา และที่สำคัญที่สุดสำหรับข้าตอนนี้คือการนำผลบัวหกแฉกมารักษาเส้นปราณ์ให้หายก่อน
หลังจากปอกเปลือกแล้วข้าก็กลืนมันทั้งลูกพักเดียวก็รู้สึกเย็นวาบในท้อง อาการเจ็บที่เส้นปราณ์ก็ค่อยๆหายไปในอีกไม่กี่นาทีต่อมา
ข้าปรายตามองไปที่กระบี่เหล็กเพียงไม่กี่เล่มในโรงเกลาหมายถึงพวกศิษย์ในสำนักยังมีกระบี่ใช้อยู่ ข้าจึงไม่จำเป็ต้องนำกระบี่ไปส่งเพิ่มจึงเป็โอกาสดีที่ข้าจะใช้เวลาว่างนี้เพื่อฝึกฝนวิชาลมหายใจัต่อ!
...
พอตั้งท่าและเริ่มการฝึกฝนก็เริ่มรู้สึกร้อนไปทั่วร่างเนื่องจากพลังจากลมปราณที่ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากเคลื่อนพลังไปได้สามรอบไอลมปราณก็แผ่ออกมาจากร่างกายรวมตัวกันคล้ายกับรูปทรงของเกล็ดัและแปรเปลี่ยนเป็ความร้อนราวกับตกอยู่ในทะเลเพลิงที่ร้อนระอุจนเหงื่อไหลออกมาท่วมตัว
รูขุมขนเปิดกว้างเพื่อระบายไอร้อนภายในร่างกายความร้อนทำให้ลมหายใจติดขัดและฝืดเคืองราวกับัตัวใหญ่ที่กำลังเคลื่อนไหวและคำรามโดยไร้เสียง
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะต้องเป็การคำรามไร้เสียงอย่างแน่นอน!
ข้ายิ้มกระหยิ่มในใจเมื่อปล่อยให้พลังไหลเวียนในร่างกายเพียงห้ารอบแรกก็สามารถฝึกฝนกระบวนท่าการคำรามไร้เสียงได้ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้โชคดีธรรมดาเพราะพี่เสวียนยินเขียนไว้ในตำราว่าคนธรรมดาที่มีพลัง์ต้องเคลื่อนพลังลมปราณถึงร้อยรอบถึงจะสามารถมองเห็นการคำรามไร้เสียงของัได้ส่วนผู้ที่มีพลัง์เก่งกล้าต้องเคลื่อนพลังถึงหกรอบแต่ข้ากลับเคลื่อนพลังเพียงห้ารอบเท่านั้นถ้าเป็แบบนี้ก็แสดงว่าข้าฝึกฝนได้เร็วกว่าผู้ที่มีพลัง์เก่งกล้าที่ว่านั้นเสียอีก!
เมื่อพลังลมปราณถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วฤทธิ์ของยาก็หมดเร็วมากเช่นกัน ผ่านไปเพียงครึ่งวันข้าก็กินปะการังเืไปเกือบครึ่งกิโลใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็กินปะการังเืไปเกือบครึ่งกิโลรวมทั้งโสมโลหิตไปอีกคำในตอนบ่ายจึงจะกลับมาฝึกต่อได้
กระทั่งแดดร่มลมตกพลังิญญาในร่างกายก็ทะลักล้นออกมาจากส่วนลึกของร่างกายและแผ่ซ่านไล่ไปตามแขนทั้งสองข้าง ก่อนจะมีเสียงลมหายใจที่รุนแรงและดวงตาอันน่าเกรงขามบังเกิดขึ้นเหนือหัวไหล่ราวกลับ้าจุติยังโลกมนุษย์
ภาพนั้นเริ่มชัดเจนขึ้นกว่าครึ่งซึ่งหมายความว่าข้าได้ฝึกขั้นที่สามของวิชาลมหายใจัคืบหน้าไปกว่าครึ่งแล้วเหมือนกันและหากภาพหัวัปรากฏชัดเจนมากกว่านี้ ก็จะการันตีได้ว่าข้าฝึกฝนขั้นที่สามไปถึงระดับเซียนแล้วนั่นเอง!
จู่ๆก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังลอดมาจากด้านนอก...
“นั่นไง ที่เลี้ยงไก่อยู่ตรงนั้นแหละ”
“เฮอะ ที่ตรงนี้เป็ที่ที่สำนักลงมือลงแรงปลูกต้นไม้และหญ้าิญญาเอาไว้แต่มาวันนี้กลับโดนล้อมกลายเป็ที่เลี้ยงไก่ อย่าได้ปล่อยปละละเลยไปเชียวนะขอรับท่านอาจารย์หลัว”
...
ข้ามีลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่ากำลังจะมีเื่ไม่ดีเกิดขึ้นจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปดูก็เห็นว่ามีศิษย์สิบกว่าคนซึ่งส่วนใหญ่เป็ศิษย์ของห้าสำนักใหญ่ที่ต่างก็มีสีหน้าแสดงออกถึงความไม่พอใจนอกจากนั้นก็ยังมีอาจารย์ที่อายุราวๆ ยี่สิบห้ายี่สิบหกปียืนหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ด้วย
“เกิดเื่อะไรขึ้น?” ข้าเดินเข้าไปถาม
“เ้าก็คือศิษย์สำรองที่ชื่อปู้อี้เชวียนนั่นสินะ”อาจารย์ท่านนั้นปรายตามองแล้วถามขึ้น
“ใช่ แล้วท่านคือ?”
“อาจารย์ผู้ช่วยสำนักขั้นกลาง หลัวเหวิน เ้าเป็คนทำเล้าไก่นี่ขึ้นมาสินะ”
“ใช่” ข้าตอบรับก่อนจะอธิบาย“แต่ข้าก็ไม่ได้ทำลายต้นไม้และของส่วนรวมพวกนั้นสักหน่อย”
“ยังจะเฉไฉอีก?”
หลัวเหวินแสยะยิ้มก่อนใช้เท้าเตะรั้วเล้าไก่ออกไปไกลลูกเจี๊ยบพากันวิ่งร้องออกมาอย่างใ ข้าก็เลยรีบเข้าไปจับแขนเขาไว้แล้วถามขึ้น“ท่านทำแบบนี้มันหมายความว่ายังไง?”
“แล้วเ้าคิดว่ายังไงล่ะ?”
เขามองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยข้อมือแกร่งซึ่งรอการปะทุของพลังสะบัดมือของข้าออกสิ่งที่เห็นเมื่อสักครู่คือวิชาลมหายใจัขั้นที่หนึ่ง ปราณัหมื่นปี!
ส่วนข้าเองก็แสดงพลังัพันศิลาออกมาอย่างไม่รู้ตัวมีเพียงข้อมือที่ได้รับแรงสะท้อนจากพลัง แต่ร่างกายกลับยืนสงบนิ่งไม่ไหวติง
“หืมน่าสนุกดีนี่...”
หลัวเหวินยิ้มมุมปาก“เป็แค่ศิษย์สำรองกระจอกๆ กลับกล้าลงไม้ลงมือกับข้า ช่างบังอาจซะจริงๆดูเหมือนว่าเ้าก็คงจะฝึกวิชาลมหายใจัอยู่เหมือนกันสินะข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าศิษย์สำรองอย่างเ้าที่วันๆเอาแต่อาศัยโชคชะตาจะเก่งสักแค่ไหน!”
ศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็ปรบมือเสียงดังลั่นเหมือนทนรอเห็นข้าโดนซัดจนน่วมไม่ไหวก่อนจะหัวเราะเสียงดังแล้วพูดขึ้น “ท่านอาจารย์สู้ๆสั่งสอนให้เ้าศิษย์สำรองมันรู้ซะบ้างว่าท่านเก่งขนาดไหน!”
จริงๆแล้วในกลุ่มนั้นก็มีพวกศิษย์สำรองอยู่หลายคนเหมือนกันทว่าตอนนี้กลับอยากดูข้าอัดจนเละเป็โจ๊ก
...
“ข้าจะไม่ใช้อาวุธิญญาแล้วกันเ้าจะได้ไม่หาว่าข้ารังแกศิษย์สำรองอย่างเ้า!”
เมื่อครู่ที่ไม่สามารถใช้พลังผลักข้าให้ถอยห่างได้เขาก็รู้สึกขายหน้าอยู่แล้วและถึงแม้ว่าจะไม่ใช้อาวุธิญญาแต่เขาก็มีพลังอันน่าเกรงขามอยู่ไม่น้อยเสียงร้องดังขึ้นก่อนอากาศด้านหลังจะแตกฟุ้งด้วยพลังที่ปลุกออกมาภาพหัวัสีฟ้าครามพุ่งทะยานขึ้นเหนือไหล่ทั้งสองข้างด้วยความน่าเกรงขามและรวบรวมพลังไว้ในหมัดก่อนจะซัดขึ้นไปกลางอากาศจนฝุ่นตลบ และนี่ก็คือกระบวนท่าในวิชาลมหายใจัขั้นที่สาม...ักลืนคชา!
พลังของเพลงหมัดดุจดั่งัที่กลืนกินช้างตัวใหญ่ได้แผ่ซ่านออกมาสนั่นสั่นไหว ถึงแม้จะมีตำแหน่งเป็เพียงอาจารย์ผู้ช่วยแต่พลังของวิชาลมหายใจักลับน่าเกรงขามเข้าขั้นสูงได้ขนาดนี้แล้ว!
ศิษย์ที่อยู่รอบๆเมื่อเห็นหลัวเหวินแสดงพลังออกมาต่างก็ส่งเสียงตกตะลึงเมื่อได้เห็นพลังอันน่าเกรงขามและคิดว่าข้าจะต้องพ่ายแพ้แน่ๆ
เข้ามาหาเื่ถึงที่แบบนี้จะไม่ต้อนรับอย่างดีได้ยังไงก็เหมือนกับที่อาจารย์ท่านนั้นเคยพูดไว้ว่าข้าจะทิ้งเกียรติของโรงเกลากระบี่ไม่ได้!
คนเราเกิดมาแค่ตายใครทำร้ายข้าก่อน ก็ต้องเอาคืนอย่างสุดกำลัง!
ข้าตั้งกระบวนท่าโดยยกขาข้างหนึ่งลอยค้างฟ้าเหยียบขาเดียวลงบนพื้นรวบรวมพลังิญญาให้เหมือนกับัสีครามพันตัวบนท่าศิลาและแผ่พลังอันแข็งแกร่งราวกับว่าตนเองคือแม่น้ำสายใหญ่และขุนเขาที่ตั้งตระหง่านอากาศด้านหลังตลบอบอวลด้วยพลังที่กำลังปะทุกระทั่งส่วนหางของัได้เผยออกมาให้ได้เห็น
พลังัพันศิลา!
ตูม!!!
ถึงแม้กระบวนท่าักลืนคชาของหลัวเหวินจะมีพลังมหาศาลแต่ยังไงข้าก็เป็เพียงศิษย์สำรองคนหนึ่งดังนั้นเขาก็น่าจะใช้พลังเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นเมื่อกระบวนท่าทั้งสองเข้าปะทะกันก็เกิดเสียงดังเหมือนดั่งเสือั์พุ่งชนขุนเขา
หลังการปะทะข้ายังยืนนิ่งไม่ไหวติงแต่เขากลับถอยรุดไปหลายก้าวหมัดที่เต็มไปด้วยพลังเมื่อครู่แดงก่ำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“เป็...เป็ไปได้ยังไง? เ้ามันก็แค่ศิษย์สำรองคนหนึ่งแต่ทำไมกลับฝึกฝนขั้นที่สองของวิชาลมหายใจัได้ถึงระดับสมบูรณ์แล้วงั้นเหรอ?”
“เ้าศิษย์สำรองนั่นเก่งจนใช้พลังซัดท่านอาจารย์กระเด็นได้เลยเหรอ?...”
เหล่าศิษย์ที่สังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆต่างก็ลืมตาอ้าปากค้างกับภาพที่เห็น ซึ่งหลัวเหวินเองก็ไม่ต่างกัน
เขาก้มมองหมัดตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพลังัพันศิลาของปู้อี้เชวียนที่ยังแผ่ออกทั่วร่างกายหางัและเกล็ดสีครามที่เผยออกมานั่นบ่งบอกว่าคนตรงหน้าได้ฝึกจนเข้าถึงแก่นแท้แล้ว
และในตอนนี้เองก็ได้ยินเสียงของพี่สวี่ลู่ดังมาแต่ไกล“อาจารย์หลัวเหวิน ท่านมาทำอะไรที่นี่?!”
พอได้ยินหลัวเหวินก็แสดงความเคารพต่อคนที่มาใหม่ก่อนจะพูดขึ้น“ท่านปรมาจารย์นักรบิญญาสวี่ลู่ พอดีมีศิษย์ไปรายงานข้าว่าเ้าศิษย์สำรองปู้อี้เชวียนคนนี้ ใช้ที่สาธารณะของสำนักมาทำเป็เล้าไก่ข้าก็เลยมาตรวจดู และมันก็เป็แบบนั้นจริงๆ”
สวี่ลู่มองข้ากับเขาสลับกันก่อนจะพูดขึ้น“เ้าทั้งสองไปที่ฝ่ายปกครอง!”
“ขอรับ...”
“ได้...”