ซูฉางอันรู้สึกร่างเบาหวิวไปชั่วขณะเขาถูกโยนออกไปแล้ว หลังกลิ้งไปตามพื้นสีดำอยู่หลายตลบ เขาก็ชนเข้ากับต้นไม้แห้งๆทางด้านหลังอย่างจัง ทำให้หยุดลงได้ในที่สุด
เขารู้สึกตาลายเล็กน้อย ความเ็ปถูกส่งมาจากทั่วกายเขารับรู้ได้ชัดเจนว่าตนกระดูกซี่โครงหักไปหลายจุด และดูเหมือนกระดูกข้อมือซ้ายก็ร้าวด้วยเช่นกันจึงสำแดงพลังออกมาได้เพียงน้อยนิดเหลือเกิน
แต่ถึงกระนั้น มือขวายังคงกระชับดาบเอาไว้มั่นเสมอ
เขารู้ตัวเสมอว่าตนเป็นักดาบ และสำหรับนักดาบแล้วไม่ว่าอย่างไรย่อมละทิ้งดาบมิได้เด็ดขาด
ยิ่งเขา้าจะตัดหัวสตรีผู้นี้ด้วยดาบเล่มนี้เสียด้วย
พวกเขาทำร้ายมั่วทิงอวี่ ทั้งยังสังหารฉู่ซีฟงอีก
ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด
เพราะเหตุนี้ ซูฉางอันจึงคิดว่าต้องฆ่านางให้ได้หากฆ่านางไม่ได้ ก็ให้นางฆ่าเขาเสีย
เช่นนั้น เขายันดาบลงบนพื้นดินแล้วลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากในที่สุด
ทว่าสิ่งที่ปรากฏต่อสายตากลับทำให้เขาชะงักอึ้งไป
ที่นี่เป็โลกที่แปลกประหลาดเหลือเกิน ห้วงเวหาแสนมืดมนไม่มีดวงตะวันทั้งยังไม่มีดวงดาวอยู่ด้วย มีเพียงจันทร์เสี้ยวสีแดงที่แหลมคมราวกับใบมีดเท่านั้นที่ยังลอยเด่นอยู่
รอบด้านเต็มไปด้วยป่าไม้ขนาดใหญ่ ต้นไม้ในป่ามีรูปทรงพิสดารเหนือจินตนาการพวกมันแตกกิ่งก้านออกไปมากมาย แลดูยุ่งเหยิงวกวน ทั้งบนต้นยังมีใบไม้แห้งเหี่ยวเพียงไม่กี่ใบเท่านั้น
จุดที่เขายืนอยู่ในตอนนี้เป็พื้นที่โล่งที่ไม่กว้างมากนัก ซึ่งโอบล้อมไปด้วยป่าไม้แห่งหนึ่ง
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกขนลุกได้มากที่สุดคือที่เบื้องหน้าเขามีฝูงสิ่งมีชีวิตที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่พวกมันมีร่างกายแขนขาเหมือนกับมนุษย์ทุกประการ หากแต่ความกำยำล่ำสันเหนือกว่าเป็เท่าทวีคูณกระดูกสันหลังของพวกมันนูนออกมาสูงมาก กระดูกของบางตนถึงขั้นแทงออกมานอกิัสีเทาอมดำเลยทีเดียวนอกจากนี้ ที่กระดูกสันหลังของพวกเขายังมีหนามแหลมที่ส่องประกายแสงแวววับอันแสนคมเฉียบเรียงรายอยู่ด้วยและในขณะนี้ เ้าพวกนั้นกำลังก้มลงไปเลียบางสิ่งบนพื้นดินไม่หยุดหย่อน ราวกับว่าเ้าสิ่งนั้นเป็ของเลิศรสสำหรับพวกมันเช่นนั้น พวกมันจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินอย่างตั้งใจ ทั้งยังส่งเสียงจึ๊กจั๊กขณะกินออกมาไม่ขาดสายพวกมันไม่ทันสังเกตเห็นซูฉางอันที่มาใหม่ด้วยซ้ำ
ซูฉางอันทอดสายตาผ่านฝูงุ์เ่าั้ไป ที่ด้านหลัง สายธารสีแดงฉานไหลไปกลางฝูงุ์อย่างเชื่องช้าดูเหมือนจะเป็อาหารของุ์พวกนั้นนั่นเอง
และที่ด้านหน้าสุด หรือก็คือแหล่งต้นสายของธารสีเืมีแท่นศิลาแห่งหนึ่งตั้งอยู่ บนนั้นมีสตรีในอาภรณ์ขาวที่ไม่อาจทราบได้ว่าเป็หรือตายนอนทอดกายนิ่งสตรีผู้นั้นมีรูปโฉมงดงามมาก ทว่าบัดนี้ใบหน้าของนางกลับซีดเผือดมือขวาห้อยลงมาเบื้องล่างอย่างไร้เรี่ยวแรง ที่ข้อมือถูกกรีดจนกลายเป็รอยลึกและมีเืไหลออกมาจากนั้นอย่างต่อเนื่อง ธารโลหิตทีุ่์เ่าั้แย่งกันกินก็คือเืของสตรีผู้นี้นั่นเอง
“เซี่ยนจวิน!” เมื่อได้เห็นรูปโฉมของสตรีผู้นั้นอย่างเต็มตาซูฉางอันก็สะดุ้งใแล้วร้องะโออกมาอย่างลืมตัว แต่สตรีบนแท่นศิลากลับไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆทั้งสิ้น ราวกับว่านางคล้อยหลับไปแล้วเช่นนั้น
ซูฉางอันะเิความกังวลขึ้นภายในหัวใจเขาจับดาบเอาไว้แน่น แล้วเตรียมจะพุ่งเข้าไปที่แท่นทันที แม้การกระทำเช่นนั้นย่อมส่งผลกระทบถึงอาการาเ็อย่างแสนสาหัสในร่างก็ตามทันใดนั้น ทุกส่วนของร่างกายต่างส่งความเ็ปอย่างแสนสาหัสขึ้นไปที่สมองราวเป็การต่อต้านขัดขืนต่อการกระทำของเขาเช่นนั้น แต่เขาก็ทำราวไม่รับรู้ถึงมันยังคงกัดฟัน แล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆแสงอันแสนเย็นะเืก็พุ่งผ่านหน้าไป กริชเล่มหนึ่งร่วงลงในจุดที่อยู่ห่างจากร่างของเขาเพียงไม่ถึงคืบเท่านั้น
“เป็อะไรไป? อยากช่วยนางรึ?” เสียงที่เต็มไปด้วยการกลั่นแกล้งของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นกะทันหัน
ซูฉางอันหันมองไปยังที่มาของเสียง จึงได้พบกับสตรีในชุดรัดรูปสีม่วงเข้มนางหนึ่งทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนไปเป็แดงก่ำในเสี้ยววินาทีแต่ซูฉางอันก็ยังเก็บกลั้นความโกรธในจิตใจเอาไว้ แล้วถามขึ้น “ที่นี่มันที่ไหนกัน?”
เขาจำได้ว่าตนถูกสตรีผู้นั้นจับตัวเอาไว้ แล้วสตรีผู้นั้นก็ะโเข้าไปในประตูสีดำขนาดใหญ่หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกตาลายวาบ และก็มาอยู่ที่นี่แล้ว สำหรับซูฉางอันสิ่งที่เกิดขึ้นช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง เพราะเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจถามออกไปแต่ในขณะเดียวกันก็ยังยกมือซ้ายที่ขยับไม่ถนัดเพราะกระดูกหักมาแกะผ้าที่พันมือขวากับด้ามดาบเข้าด้วยกันออกอย่างเชื่องช้า
ดูเหมือนสตรีผู้นั้นจะไม่สนใจกับการกระทำที่สุดแสนจะเด่นชัดของเขาเลยแม้แต่น้อยกลับกัน นางเพียงอธิบายอย่างใจเย็นขึ้น “ที่นี่คือเมืองเฟิงตู”
“เฟิงตู?” ซูฉางอันพยักหน้าน้อยๆเขาไม่รู้หรอกว่าเฟิงตูคือที่ไหนกันแน่ และไม่สนใจด้วยว่ามันจะเป็ที่ไหนในฐานะของคนที่กำลังจะตาย สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือทำอย่างไรถึงจะตัดหัวของหญิงคนนั้นลงมาจากบ่าก่อนตายได้
หากว่ากันด้วยความเป็จริง ดูเหมือนจะเป็ไปไม่ได้เลยแต่ซูฉางอันก็ยังอยากลองดูสักตั้ง
“พวกนั้นเป็ตัวอะไร?” ซูฉางอันถามขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้เขาปลดผ้าที่พันรอบมือขวาออกจนหมด จากนั้นก็กัดด้านหนึ่งของผ้าเอาไว้พลางกล่าวด้วยเสียงคลุมเครือ
“พวกเขารึ?” สตรีผู้นั้นปรายตามองไปยังฝูงุ์ที่ราวกับไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างคนทั้งสองครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้น “พวกมันเป็ทายาทแห่งเทพเ้า ที่ถูกโลหิตเทพกลืนกินความสำนึกรู้ไป”
“อ่อ” ซูฉางอันพยักหน้าอีกครั้ง เขาพันผ้าลงบนมือที่กำลังจับดาบของตนอีกคราครั้งนี้เขาพันมันแน่นมาก แต่ก็ยังกลัวว่าจะแน่นไม่พอเขาตัดสินใจมัดเงื่อนตายซ้ำอีกครั้ง จึงจำเป็ต้องใช้เวลาสักเล็กน้อย เหตุนี้เขาจึงถามขึ้นอีกครั้ง
“แล้วทำไมพวกเ้าถึงฆ่าคนที่เมืองหลานหลิงละ?”
“ในเมืองหลานหลิง มีคนที่ชื่อกู่ฮว่าจี่อยู่ แค่ฆ่าเขาก็ล่อให้นางออกมาจากเมืองฉางอันได้แล้ว” หญิงคนนั้นพูดตอบ ราวนางจะมั่นใจมากว่าซูฉางอันไม่มีทางหนีไปไหนได้จึงตอบทุกคำถามของเขาอย่างไม่คิดปิดบัง
ในที่สุดซูฉางอันก็ผูกเงื่อนที่คิดว่าแน่นมากพอได้สำเร็จแล้วเขาฉายประกายรอยยิ้มแห่งความพอใจขึ้นทางใบหน้าทว่ารอยยิ้มนั่นก็ปรากฏให้เห็นเพียงชั่วครู่เท่านั้น
เขายกดาบขึ้นมาทาบเหนืออก ดวงจันทร์สีแดงฉานส่องให้ดาบสีขาวของเขาเปล่งประกายไปด้วยแสงสีเืที่น่าพิศวงซูฉางอันเงยหน้าขึ้นไปมองมายารัตติกาลด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารที่มากจนไม่อาจลบล้างลงได้
“เ้าอยากฆ่าข้ารึ?” มายารัตติกาลถามขึ้น
“อืม” ซูฉางอันพยักหน้า พลางประกายความเด็ดเดี่ยวอันแสนแรงกล้าซึ่งไม่เข้ากับใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาขึ้น
“เ้ามีพลังอยู่ในระดับหลอมจิตเท่านั้นเ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก จะมีก็แต่ถูกข้าฆ่าตายเสียเท่านั้น” มายารัตติกาลพูดขึ้น
เขาคิดว่าคำพูดของมายารัตติกาลมีเหตุผลมากจึงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วพูดขึ้นในที่สุด “เ้าพูดถูก”เขารู้สึกเศร้าใจอย่างอดไม่ได้ จะอย่างไรความตายก็เป็สิ่งที่ไม่อาจทำให้เขามีความสุขได้เลย
มายารัตติกาลเลิกคิ้วขึ้น ราวได้พบกับเื่น่าสนุกเข้าเสียแล้วนางยักยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็มองซูฉางอันั้แ่หัวจรดเท้าอย่างประเมินก่อนจะถามขึ้นในที่สุด “ในเมื่อรู้ว่าต้องตาย แล้วไยเ้าถึงยังอยากจะฆ่าข้าอีกเล่า?”
ซูฉางอันชะงักนิ่งไปอีกครั้ง เขารู้สึกราวกับว่าเคยได้ยินคำถามเช่นนี้ที่ไหนสักแห่งจึงหวนคิดทบทวนอย่างตั้งใจ ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อสองปีก่อนตนก็เคยถามคำถามนี้กับมั่วทิงอวี่เหมือนกัน กระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่อาจลืมสีหน้าและท่าทางของมั่วทิงอวี่ในตอนนั้นได้
“แต่ข้าอยากลองดูสักครั้ง” เขาพูดดังนี้
วินาทีนั้น เขารู้สึกว่าตนช่างคล้ายกับมั่วทิงอวี่และนักดาบในหนังสือที่เคยอ่านเหลือเกิน
แม้รู้ว่าตัวต้องตายก็ไม่ยอมถอย แม้จะรักชีวิต ทว่าวิงวอนขอความตาย
“ดี! ”มายารัตติกาลตอบกลับ จู่ๆ นางก็รู้สึกชื่นชมเ้าเด็กตรงหน้าขึ้นมาเสียอย่างนั้นจึงตัดสินใจว่าจะเล่นไปตามเกมของซูฉางอันจนกว่าโลหิตเทพในร่างของเขาจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
“เช่นนั้น ข้าจะให้เ้าได้ลองเอง” นางพูดขึ้นดังนี้
พลังอำนาจในร่างของซูฉางอันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตาปราณดาราภายในร่างพากันขับเคลื่อนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง พลังแห่งดาบและเพลิงศักดิ์สิทธิ์ผสานเข้าด้วยกันภายใต้คำสั่งการของจิตมั่นในตัวอาจเป็เพราะมีรังสีสังหารในจิตใจมากจนเกินไป รังสีอำมหิตจึงปะทุออกมาจากตันเถียนแล้วเข้าครอบคลุมพลังิญญาที่เกิดจากการหลอมรวมของพลังแห่งดาบและเพลิงศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ทำให้พลังอำนาจของเขาเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง วินาทีนั้น จู่ๆจิตมั่นของเขาก็เข้มข้นและมหาศาลมากขึ้นกะทันหัน ราวกับว่ามันจะพัฒนาจากการเป็จิตมั่นไปเป็อำนาจแล้ว
เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังอันแสนแข็งแกร่งที่ปะทุออกมาจากส่วนใดก็ไม่ทราบภายในกายซูฉางอันพลันรู้สึกมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย
เขาะโขึ้นสูงราวกับพญาเสือที่แสนดุร้ายดาบยาวในมือถูกยกขึ้นสูงอีกครั้ง แสงสีแดงฉานจากจันทราสาดส่อง ให้ใบหน้าอ่อนเยาว์แลดูเหี้ยมเกรียมขึ้นมาเล็กน้อยวินาทีนั้น จู่ๆ จิตมั่นของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปพลังที่เกิดจากการรวมตัวของพลังแห่งดาบ เพลิงศักดิ์สิทธิ์ และรังสีอำมหิตค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเป็ ‘อำนาจ’ ก่อนอำนาจนั้นจะลอยวนเวียนอยู่รอบตัวดาบของเขาราวกับพญาั
การเหวี่ยงฟันในครั้งนี้น่าตระการตาและเด็ดเดี่ยวเหลือเกินเขาแสดงท่าไม้ตายออกไปด้วยพลังทั้งหมดที่มีทันทีที่ลงมือไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ซึ่งในขณะเดียวกันเขาก็ไม่คิดจะเผื่อทางหนีทีไล่ให้ตัวเองด้วยเช่นกัน
มายารัตติกาลมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างหลากหลาย ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าทำไมพรตกระดูกถึงเกือบตายด้วยเงื้อมมือของเด็กที่มีพลังต่ำเตี้ยเรี่ยดินเช่นระดับหลอมจิตคนนี้เพราะแม้นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะมีระดับพลังที่ต่ำตมจนน่าเวทนาแต่เขากลับมีพร์ด้านการวิเคราะห์พลังที่ยอดเยี่ยมจนน่าตกตะลึงเลยทีเดียวและสิ่งที่ทวีความน่าหวาดหวั่นยิ่งไปกว่านั้นคือ ดาบที่เขาเหวี่ยงฟันลงมา ทำให้นางััได้ถึงกลิ่นอายของเทพแท้แม้จะไม่มากนักก็ตาม แต่มันทำให้นางคิดไม่ตกเลยจริงๆว่าทำไมที่พักพิงของโลหิตเทพถึงสามารถดึงพลังจากโลหิตเทพแท้ออกมาใช้ได้หรือเด็กคนนี้จะสยบเทพแท้ในร่างได้?
ทว่าเพียงไม่นาน นางก็ทำลายข้อสันนิษฐานนี้ลงอีกครั้งเทพแท้เป็สิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่เกินจินตนาการ ต่อให้จะเป็นักรบแห่งดาราจักรผู้ถูกยกย่องให้เป็เทพเ้าก็ยังไม่มีอำนาจมากพอจะสยบเทพแท้ได้แล้วนับประสาอะไรกับนักพรตหนุ่มที่มีพลังแค่ในระดับหลอมจิตเช่นนี้
ใจลอยไปได้แค่ครู่เดียวดาบของซูฉางอันก็มาประชิดร่างเสียแล้ว นางสะดุ้งใ ต้องยอมรับว่าการเหวี่ยงฟันในครานี้ทรงพลังจนสามารถสร้างอันตรายต่อนางได้แล้ว
นางทำลายความดูแคลนที่เคยมีลง ทันใดนั้นกริชที่เชื่อมอยู่กับเส้นด้ายสีใสนับร้อยเล่มก็พุ่งออกมาจากร่างกายแล้วถาโถมเข้าไปหาซูฉางอันราวกับคลื่นั์ในเสี้ยววินาที
ซูฉางอันสะดุ้งใทว่าความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวในสายตากลับทวีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ตู้ม!
เสียงหนึ่งปะทุขึ้น
ร่างของซูฉางอันลอยกระเด็นออกไปไกลหลายสิบเมตรในเสี้ยววินาทีก่อนจะกระแทกลงบนพื้นดิน ก่อให้เกิดเสียงดังกัมปนาทขึ้นอีกครั้ง ผงธุลีบนพื้นดินถูกกระแทกจนฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งเศษซากของพื้นดินต่างกระดอนขึ้นไม่ต่างกัน
มายารัตติกาลชะงักนิ่งไปเล็กน้อยแม้จะเป็ฝ่ายชนะในการปะทะเมื่อครู่แต่นั่นก็ทำให้ลมปราณภายในร่างกายวุ่นวายไปหมดแล้ว นางรู้สึกตกตะลึงกับพลังในการต่อสู้ที่ซูฉางอันสำแดงออกมาซึ่งไม่เป็ไปตามระดับพลังที่เขามีเลยสักนิด แต่ถึงกระนั้นก็ยังแสร้งพูดขึ้นด้วยใบหน้าราบเรียบ “เ้าใช้เป็แค่กระบวนท่าเดียวรึ? เช่นนี้ฆ่าข้าไม่ได้หรอกนะ”
หลังพูดจบ นางก็รู้สึกหมดสนุกไปด้วย นางรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าซูฉางอันได้รับาเ็เจียนตายไม่มีทางยืนขึ้นมาอีกครั้งได้แน่ เช่นนั้นจึงหมุนตัว เตรียมจะเดินไปที่แท่นศิลาต่อยังมีพิธีการบางอย่างที่นางต้องไปจัดการให้ลุล่วง นางไม่มีเวลามาทำเื่ไร้สาระมากนักหรอกนะ
“กระบวนท่านั้นน่ะ มั่วทิงอวี่เป็คนสอนข้า”แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างแ่เบา มันทำให้นางชะงักเท้าที่เพิ่งจะก้าวออกไปลงทันทีมายารัตติกาลเหลียวกลับไปมองฝุ่นละอองที่ลอยคละคลุ้งอย่างไม่อยากจะเชื่อจากนั้นจึงพบว่าร่างผอมบางในนั้นกำลังลุกขึ้นมาอีกครั้งอย่างเชื่องช้า
“แต่เขายังไม่ได้บอกชื่อของมันกับข้าเลย เช่นนั้นข้าจึงเรียกมันว่ามั่วทิงอวี่”
“และเมื่อครู่ ข้าก็ได้มาอีกหนึ่งกระบวนท่าแต่คนที่สอนก็ยังไม่ได้บอกชื่อของมันแก่ข้าเช่นกัน”
“ดังนั้นกระบวนท่านี้ ข้าจะเรียกมันว่าฉู่ซีฟง!”
เสียงที่ดังออกมาจากฝุ่นละอองที่ลอยฟุ้งไปทุกหนทุกแห่งไม่ได้ดังกึกก้องอะไร กลับกัน มันกลับฟังดูอ่อนแอและอ่อนล้ามากเหลือเกิน นอกจากนี้จังหวะในการพูดก็ยังฟังดูเชื่องช้าและเอื่อยเฉื่อย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เสียงนั้นกลับทำให้มายารัตติกาลชะงักอึ้งไปราวไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กหนุ่มที่มีพลังเพียงระดับหลอมจิตจะสามารถยืนขึ้นมาได้อีกครั้งหลังถูกพลังที่มหาศาลขนาดนั้นโจมตี...
แต่ในตอนนั้นเอง สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกไม่อยากจะเชื่อมากกว่าเดิมพลันเกิดขึ้น
ร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากฝุ่นละอองกะทันหัน
ร่างนั้นเป็เพียงเด็กหนุ่มที่น่าจะมีอายุเพียงสิบหกถึงสิบเจ็ดปีเท่านั้นเขาอยู่ในชุดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ ร่างโชกไปด้วยเื แลดูสะบักสะบอมเหลือทนแต่ดวงตาคู่นั้นกลับฉายประกายโชติ่ไปด้วยเปลวอัคคี
เขายื่นดาบในมือไปข้างหน้า บูตหนังสีดำที่เท้าถูกย่ำลงบนพื้นดินอย่างต่อเนื่องเสี้ยววินาทีนั้นเขาช่างรวดเร็วมากเหลือเกินร่างที่แทบจะกลายเป็เพียงเงาเลือนรางพุ่งเข้ามาหาตนด้วยความรวดเร็วประดุจสายฟ้าแล้ว
เขาแลดูเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่งราวกับราชสีห์ที่จมเข้าสู่ทางตันไม่มีผิด
มายารัตติกาลขมวดคิ้วมุ่น นางไม่ชอบสถานการณ์เช่นนี้เลยเกลียดคนตรงหน้า และเกลียดสายตาที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงนั่นเหลือเกิน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้