เล่มที่ 2 บทที่ 35
ครั้นพูดจบ เฒ่าทารกก็ส่ายศีรษะพร้อมกัดฟัน “โธ่! เมื่อพูดถึงคนที่ต้องยาพิษชนิดนี้ช่างน่าสงสารจริงๆ แม้เ้าจะมีหน้าตาที่สะสวยแค่ไหน แต่หลังได้รับยาเป็เวลานาน เ้าจะค่อยๆ ทรุดโทรม ท้ายที่สุดผิวพรรณก็จะซีดเหลือง ดูเหมือนคนขี้โรค ร่างกายอ่อนแอ แต่ที่จริงแล้วหญ้าพิษได้แทรกซึมเข้าไปในกระดูกและไม่สามารถรักษาได้แล้ว”
ทุกประโยคของเฒ่าทารกล้วนทำให้ใบหน้าของมู่หรงฉิงซีดขาวเพิ่มขึ้น ในตอนท้ายของคำพูด มู่หรงฉิงรู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองขนาดมหึมาซึ่งพวยพุ่งอยู่ระหว่างหน้าอกและหน้าท้องของนาง “ผู้าุโหมายความว่า ผู้ต้องยาพิษนี้ จะคล้ายกับคนที่เป็โรคเรื้อรังรักษาไม่หาย เรียกได้ว่าเหี่ยวเฉา ทรุดโทรม อ่อนแอหรือ?”
“ถูกต้อง” เฒ่าทารกถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ “โชคดีที่เ้าเพิ่งเริ่มกินยาพิษชนิดนี้ คิดว่ากินไปแล้วไม่เกินครึ่งเดือน ถ้ากินทุกวันตามปริมาณปัจจุบันของเ้า ภายในหนึ่งปี หน้าตาอ่อนเยาว์สะสวยของเ้า จะเสื่อมโทรมลงก่อนจะแก่เฒ่าและจะป่วยหนักโดยไม่อาจรักษาได้...”
“ขอบังอาจถามท่านผู้าุโว่า ผู้ที่ตายด้วยยาพิษนี้มีลักษณะเป็อย่างไรหรือ?” ยิ่งเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นแล้ว ความเกลียดชังของมู่หรงฉิงก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน
“ผิวหน้าจะกลายเป็สีดำอมม่วง แต่ไม่สามารถตรวจพบสารพิษในร่างกายได้ สิ่งที่เด่นชัดมากที่สุดก็คือดวงตาคู่หนึ่งจะกลายเป็สีขุ่นตามวันเวลาผ่านไป และิัก็เหมือนต้นไม้อายุนับร้อยปี แห้งหยาบกร้านและน่ากลัว...” เฒ่าทารกถอนหายใจอีกหน “โธ่ สาวน้อยหน้าตาสะสวยเช่นนี้ ใครกันที่จงใจหาเื่เ้า? คิดไม่ถึงว่าจะใช้วิธีอันโหดร้ายจัดการกับเ้า...”
เฒ่าทารกถอนหายใจ แต่ทางด้านมู่หรงฉิงกลับกำมือแน่น ในดวงตาของนางปรากฏความเกลียดชัง จวบจวนวันนี้ นางไม่มีวันลืมรูปลักษณ์ของท่านแม่ใน่เวลาที่อาการป่วยแย่ลง มากไปกว่านั้น นางไม่มีวันลืมความเ็ปของการเสียชีวิตของมารดา ก่อนที่จะรู้ความจริง นางเคยคิดว่าท่านแม่ตายด้วยโรคร้าย แต่หลังจากรู้ความจริง นางคิดว่าอนุหนิงคงใส่อะไรในยาของท่านแม่ซึ่งเป็สาเหตุทำให้ท่านแม่ต้องตาย
ทว่าในเวลานี้ นางถึงได้รู้ว่าท่านแม่ของนางไม่ได้ป่วยหนักเลย แต่ท่านแม่ของนางถูกวางยาพิษั้แ่แรกและถูกวางยาพิษชนิดที่น่าหวั่นกลัว
อนุหนิงนะ อนุหนิง เ้าคนใจดำอำมหิต เ้าทำเช่นนั้นกับคนจิตใจดีเช่นท่านแม่ของข้าได้อย่างไร
ข้า, มู่หรงฉิงขอสาบานว่า ในชีวิตนี้ข้าจะทำให้เ้าต้องชดใช้เป็สองเท่า ข้าจะทำให้เ้ามีชีวิตอันแสนทรมานมากกว่าการตาย
ความเกลียดชังในหัวใจของนางดังก้องออกมา เฒ่าทารกกำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้ามู่หรงฉิง ทั้งสีหน้าและแววตาฉายแววประหลาดใจ “สาวน้อย เ้าไม่ต้องกังวลไป พิษของเ้าหายไปแล้ว ยาของข้าน่ะน่าทึ่งมากเชียวละ เ้ามั่นใจได้ว่าตอนนี้เ้าจะปลอดสารพัดพิษ ไม่เพียงแต่ยาพิษเท่านั้น แม้กระทั่งสัตว์มีพิษและคาถาอันชั่วร้าย ก็ไม่อาจทำอะไรเ้าได้ ฮ่าๆ เ้าควรจะขอบคุณข้า... อ๊ะ...”
เฒ่าทารกยังไม่ทันได้พูดจบ มู่หรงฉิงก็ยกมือขึ้นฟาดอีกฝ่ายด้วยท่ามีดสับอันเนื่องจากความโกรธเกรี้ยว เฒ่าทารกทำได้แค่ร้อง ‘อ๊ะ’ และล้มลงกับพื้นอย่างแ่เบา
นางเองก็ไม่อยากจะทำเช่นกัน แต่นางไม่สามารถทนสนทนากับชายชราสติเฟื่องได้มากไปกว่านี้ บวกรวมกับความเ็ปในเวลานั้น การทำร้ายด้วยท่ามีดสับนับว่าเบามากแล้ว
มู่หรงฉิงไม่อาจจินตนาการได้ว่าอนุหนิงได้เริ่มดำเนินการกับนางอย่างไรบ้างแล้ว และตอนนี้ยาพิษได้ถูกใช้กับนาง นั่นหมายความว่าอนุหนิงจะไม่ยอมให้นางอยู่นานเกินไป
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ความเกลียดก็ยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้น นางถึงกับอยากจะสับอนุหนิงเป็ชิ้นๆ และป้อนให้หมากิน
“นี่ เ้าเก่งกาจน่าทึ่งมาก เ้ากล้าหาญนักถึงได้ชกชายชราคนนี้” ความเกลียดชังของมู่หรงฉิงโหมกระหน่ำ ส่งผลให้หญิงสาวอีกคนซึ่งนั่งยองๆ อยู่ด้านข้าง ชูนิ้วโป้งให้มู่หรงฉิง “เ้ารู้อะไรหรือไม่? ข้าไม่กล้าแตะต้องตัวเขาเลย พิษบนร่างกายของเขา แค่แตะเล็กน้อยก็มีสิทธิ์ตายได้แล้ว ดูเหมือนว่าเ้าจะสามารถต้านทานสารพัดพิษจริงๆ เ้าสับเขาล้มลงไปด้วยมือเปล่าในคราวเดียว”
จากคำพูดของผู้หญิงด้านข้างทำให้มู่หรงฉิงแทบไม่อยากจะเชื่อเลย “ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพิษหรือ?” ถ้าร่างกายชายชราคนนี้เต็มไปด้วยพิษ เป็ไปได้หรือไม่ว่าเขาคือปรมาจารย์ยาพิษ?
“ใช่ เขาถูกแม่เฒ่าผู้เป็ปรมาจารย์ปรุงยาพิษวางยา เขาจะตายแต่ก็ไม่ตาย อยากมีชีวิตก็เป็เื่ยาก นั่นเป็สาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงหมกมุ่นกับการค้นคว้าศึกษายาต้านทานสารพัดพิษ เพราะนั่นก็เพื่อกำจัดพิษออกจากตัวของเขาด้วย” หญิงสาวเอ่ยบอก ขณะเดียวกันนางก็สวมถุงมือสีขาวและเริ่มทำการค้นหาตามร่างกายของชายชรา
คำพูดของผู้หญิงคนนั้นทำให้มู่หรงฉิงใ ชายชราผู้นี้ถูกปรมาจารย์ปรุงยาพิษวางยากระนั้นหรือ? พวกเขาเป็ใครกัน? คิดไม่ถึงว่าจะมีการกับปรมาจารย์ปรุงยาพิษ?
ในจังหวะที่มู่หรงฉิงกำลังจะถามอีกหน จู่ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็แย่งพูดขึ้นเสียก่อน “นี่ เ้าดูสิว่าเ้ามีอะไรที่อยากได้หรือไม่ ถ้ามี เ้าก็รีบเก็บไปเสีย จงหยวน[1]ของพวกเ้ามีประโยคหนึ่งที่ว่า ‘หลังจากผ่านหมู่บ้านนี้ไปแล้ว ก็ไม่มีร้านเช่นนั้นอีกเลย[2]’ ถ้าเ้าไม่เอาไปด้วย โอกาสหน้าจะไม่มีอีกแล้วนะ”
ระหว่างเอ่ยถ้อยคำนางก็หยิบขวดใบหนึ่งออกมา พลางดึงฝาออกอย่างมีความสุข จากนั้นดื่มยา แต่ปากของนางยังคงบ่นพึมพำ “เฒ่าทารกคนนี้ ทำลายใบหน้าของข้า เขายังบอกข้าว่าไม่มียารักษา ฮึ! อยากจะหลอกให้ข้าลองยาพิษอีกล่ะสิ”
หลังจากพูดพึมพำนางก็ดื่มยาแก้พิษ ครั้นเห็นมู่หรงฉิงยังนั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อน นางก็เลิกคิ้วขึ้น “เ้าคิดให้ดีๆ ถ้าเ้าไม่เอาอะไรไปด้วย เมื่อเขาไล่ล่าเ้าเพื่อขออะไรบางอย่าง เ้าก็จะถูกปรักปรำไปเปล่าๆ”
“ให้ข้าหนีไป? ทำไมหรือ?”
“เ้ารู้หรือไม่ว่าเ้าเฒ่าทารกคนนี้ให้ความสนใจกับอะไรมากที่สุด?” สายตาของมู่หรงฉิงกวาดมองเฒ่าทารก และเสียงของหญิงสาวคนนั้นก็เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม “จมูก สิ่งที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดคือจมูกนกอินทรีของเขา เขาบอกว่านี่เป็รูปลักษณ์ที่หล่อเหลาที่สุดที่์มอบให้เขา” ผู้พูดเลือกสิ่งที่ตกลงบนพื้น จากนั้นวางสมุดจดสองเล่มลงในมือของมู่หรงฉิงและเอ่ยต่อ “แต่เ้าทำจมูกของเขาหักแล้ว”
“ข้าหรือ?” มู่หรงฉิงประหลาดใจ “เห็นๆ อยู่ว่าข้า...”
ก่อนที่นางจะพูดจบ มู่หรงฉิงถึงเข้าใจความหมายของผู้หญิงคนนั้น อีกฝ่ายจะโยนความผิดให้นาง “เ้า…”
“เ้าเก็บสมุดจดสองเล่มนี้ไว้ สมุดจดทั้งสองเล่มเป็สมุดที่เขาใช้จดบันทึกสิ่งที่ศึกษาไว้ บางทีอาจจะมีการจดบันทึกถึงผลข้างเคียงจากสิ่งที่เ้าเพิ่งดื่มไปเมื่อหลายอึดใจก่อนก็เป็ไปได้ เ้าเก็บสมุดจดบันทึกสองเล่มนี้ไว้ ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาด เ้าจะได้แก้ปัญหาด้วยตัวเองได้” หลังจากโยนสมุดจดบันทึกสองเล่มถึงมือของมู่หรงฉิง คู่สนทนาก็ยิ้มแปลกๆ เมื่อมู่หรงฉิงรับหนังสือไป นางจึงเอ่ยพึมพำว่า ‘ไม่ดี’ และปรากฏว่า จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘กร๊อบ’ ตามมาซึ่งทำให้มือทั้งสองของมู่หรงฉิงถึงกับสั่นเทา
ในชั่วพริบตา นางมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา อีกฝ่ายทำได้จริงๆ สันจมูกหักแล้วใช่หรือไม่? นางเรียกเฒ่าทารกผู้นี้ว่าอาจารย์ไม่ใช่หรือ? ทำไมนางถึงได้กล้าลงมือทำเช่นนั้น?
มู่หรงฉิงเห็นผู้หญิงคนนั้นหักจมูกของเฒ่าทารกอย่างคล่องแคล่วและว่องไว เปลือกตาของนางจึงกระตุกและไม่รู้ว่าจะอธิบายถึงความรู้สึกในเวลานี้ว่าอย่างไร
“โธ่ เ้าอย่ามองข้าเช่นนั้นสิ” หญิงสาวออกอาการเขินอายเล็กน้อยจากการจ้องมองด้วยสายตาอันซับซ้อนของมู่หรงฉิง “เ้าไม่รู้ว่าเ้าเฒ่าทารกคนนี้ร้ายกาจแค่ไหน ก่อนอื่นเลย เขารับข้าเป็ศิษย์โดยปราศจากความยินยอมของข้า เขาบอกว่าอย่างไรนะ บอกว่าข้าเป็คนฉลาดโดยกำเนิด ถ้าพูดตรงๆ ก็เพราะเขาคิดว่าร่างกายของข้าสามารถต้านทานพิษได้มากกว่า เขาจะได้ลองยาพิษที่ข้าได้อย่างไรล่ะ เ้าดูสิว่าตอนนี้ข้าหน้าตาเป็อย่างไร ข้าเป็ตัวทดลองยาแก้พิษต่างๆ ที่เขาศึกษาค้นคว้าจนกลายเป็เช่นนี้ และทุกครั้งที่ลอง ข้าก็เ็ปเจียนตาย ทั้งยังส่งผลให้ใบหน้าของข้ากลายเป็เช่นนี้ เ้าเพิ่งลองความเ็ปไปเมื่อหลายอึดใจก่อนนี่เอง จะบอกว่า ‘ตายเสียยังจะดีกว่ามีชีวิตอยู่’ ก็ไม่นับว่าพูดเกินจริง ข้าแค่ทำจมูกของเขาหักเท่านั้นเอง วันพรุ่งนี้เขาก็รักษาให้หายเองได้ ไม่เช่นนั้นจะเสียสมญานามว่า ‘หมอเทวดา’ เสียเปล่า”
หญิงผู้นั้นพูดมากมายแต่สองสามคำสุดท้ายคือสิ่งที่มู่หรงฉิงให้ความสำคัญมากที่สุด หมอเทวดาหรือ? ชายชราประหลาดผู้นี้เป็หมอเทวดาจริงๆ หรือ? โชคของนางจะเป็ไปในทิศทางใด? มันเป็โชคดีหรือโชคร้ายกันนะ? ไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่จะออกจากจวนในแต่ละครั้ง ไม่นึกไม่ฝันว่านางจะได้พบกับหมอเทวดา
“โธ่ เ้ารู้หรือไม่? การที่เ้าชกเขาเมื่อครู่ก่อนถูกใจข้าจริงๆ ข้าชอบเ้า” ครั้นเห็นมู่หรงฉิงตกตะลึงอีกหน หญิงผู้นั้นจึงตบไหล่มู่หรงฉิงพร้อมพูดด้วยทีท่าจริงจัง
อุปนิสัยที่ตรงไปตรงมาของอีกฝ่ายทำให้มู่หรงฉิงถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง “เ้า...”
“พูดตามความเป็จริง แม้ว่าเฒ่าทารกผู้นี้ร่างกายไม่แข็งแรงนัก แต่ลายมือของเขาก็ไม่เลว” หญิงผู้นั้นหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กปกสีเขียวขึ้นมาจากพื้น จึงเห็นตัวอักษรที่สลักไว้โดยเขียนว่า ‘สำเร็จบริบูรณ์’ สองคำ “สิ่งที่บันทึกไว้ในคู่มือเล่มนี้ล้วนเป็การทดสอบที่สำเร็จลุล่วงแล้ว ส่วนสมุดบันทึกเล่มสีแดงหลายเล่มยังคงอยู่ในระหว่างการทดสอบ ถ้าเ้าบังเอิญไปทดสอบ เ้าอาจจะตายได้”
มู่หรงฉิงตอบรับพลางหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กจากในมือของหญิงผู้นั้น จากนั้นมองดูผ่านๆ ปราดหนึ่ง “สังเกตจากการฟังสำเนียงการพูดของเ้า เ้าไม่เหมือนคนที่มาจากจงหยวน”
“อืม ข้าไม่ได้มาจากจงหยวนแต่ในเวลานี้ข้าจะยังไม่บอกเ้าว่าข้าเป็ใคร” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก ระหว่างหยิบบางสิ่งก่อนจะใส่เข้าไปในอ้อมแขนของเฒ่าทารก “แล้วเ้าล่ะ? เ้าเป็ใครหรือ? ดูๆ แล้ว เ้าหน้าตาสวยมาก แต่ทำไมเ้าถึงวิ่งเข้าป่านี้คนเดียว? สังเกตจากผิวบอบบางและอ่อนโยน กอปรกับชุดผ้าแพรที่เ้าสวมใส่ เ้าจะต้องเป็บุตรสาวจากตระกูลใหญ่เป็แน่ แต่ทำไมไม่มีใครติดตามเคียงข้างเ้าล่ะ ทำไมเ้าถึงมาที่นี่คนเดียว?”
มู่หรงฉิงพลิกหน้าสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ ตามใจชอบ นางบอกเพียงว่าตนมาที่นี่เพื่อเที่ยวเล่นกับคนในครอบครัว เมื่อได้ยินเสียงเรียกให้ช่วยเหลือ นางคิดว่ามีคนไม่ดี นางจึง้าให้ความช่วยเหลือ
หญิงสาวได้ฟังคำตอบก็หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง “ฮ่าๆ เ้าเป็เช่นนี้… ข้ารู้สึกขบขันจริงๆ ลักษณะของเ้าดูท่าแล้วมีแต่จะถูกคนรังแก คิดจะช่วยชีวิตผู้อื่น…” หลังจากหัวเราะท้องคัดท้องแข็งสักพักหนึ่ง หญิงสาวจึงนิ่งคิด ก่อนจะถามว่า “นี่นับเป็สิ่งที่จงหยวนของพวกเ้ามักจะพูดกันบ่อยๆ ว่า ‘ไม่ประมาณกำลังตนเอง‘ หรือไม่?”
มู่หรงฉิงกลอกตาให้อีกฝ่าย นางกำลังรอที่จะบอกว่า นางยอมสละตนเองเพื่อช่วยชีวิตคน แต่นางไม่สามารถละสายตาได้หลังจากเห็นรูปในสมุดบันทึก
“แม่นาง นี่คืออะไรหรือ?” รูปในหน้ากระดาษเป็ผลไม้ชนิดเดียวกับที่เฉินเทียนหยูกิน ในขณะเดียวกัน ยังมีการวาดลวดลายด้านข้างผลไม้ แม้ว่าจะมีลักษณะคล้ายกันแต่ก็ไม่ได้เล็กเท่าผลไม้ชนิดนั้น
หญิงสาวผู้นั้นโน้มตัวเข้าใกล้และมองดูรูปดังกล่าว “โอ้ นี่คือผลโยิ อันที่จริง ท่านอาจารย์ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้เพียงว่าสิ่งนี้มีพิษร้ายแรง จึงตั้งชื่อว่าผลโยิ”
“มีพิษร้ายแรงหรือ?” เป็ไปได้อย่างไร? เฉินเทียนหยูกินสองสามลูกทุกวัน ถ้ามันมีพิษร้ายแรงจริงๆ เขาจะไม่ตายไปตั้งนานแล้วหรือ
“อืม ถ้ากินผลของเพียงอย่างเดียว เืจะออกเจ็ดทวารและเสียชีวิตภายในเจ็ดสิบสองชั่วยาม” หญิงผู้นั้นชี้นิ้วที่ผลโยิด้านข้างผลไม้ชนิดนั้น จากนั้นพูดต่อ “เ้าดูนี่สิ นี่เป็ผลงู แม้ว่ามันจะเป็ผลไม้ที่หาดูยาก แต่มันไม่มีพิษ ทว่าผลโยินี้เป็ผลไม้มีพิษ กินไม่ได้ วันข้างหน้าเ้าต้องใส่ใจ เมื่อกินผลงู เ้าต้องระวังจงอย่ากินผลโยิ มันจะทำให้เสียชีวิตเอาได้”
----------------------------
[1] จงหยวน หมายถึงที่ราบแถวแม่น้ำหวงเหออันเป็อู่อารยธรรมจีน
[2] หลังจากผ่านหมู่บ้านนี้ไปแล้ว ก็ไม่มีร้านเช่นนั้นอีกเลย หมายถึง พลาดแล้วก็พลาดเลย