ั้แ่เย่เฟิงมาถึงโลกนี้ก็อยากรู้มาตลอดว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในบ้านคืออะไรกันแน่
หลังจากเย่เวิ่นเทียนกินบะหมี่เสร็จก็ลุกขึ้นเดินนำไปห้องน้ำชั้นบน
“สาวน้อยคนนั้นก็มาด้วยกันสิ แต่ต้องจำไว้นะว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็ของพวกเราตระกูลเย่ จะให้มันแพร่ออกไปไม่ได้เด็ดขาด เข้าใจใช่ไหม?” เย่เวิ่นเทียนะโบอกซูเมิ่งหาน ทำให้สองหนุมสาวต่างดีใจกับสิ่งที่คาดไม่ถึงนี้
ความหมายของชายชราคือซูเมิ่งหานก็เป็คนตระกูลเย่เหรอ? ถ้าให้พูดอีกนัยหนึ่งก็คือเขาเห็นด้วยกับความสัมพันธ์ของเธอกับเย่เฟิงแล้ว? แล้วคุณหนูใหญ่ตระกูลหลินคนนั้นล่ะ? แต่ซูเมิ่งหานไม่คิดมากและดีใจมากที่ได้รับการยอมรับจากคุณปู่ของเย่เฟิง
หญิงสาวอยู่ในสถานะคนไร้บ้าน แม้จะอาศัยที่บ้านหลังนี้ แต่ก็ไม่เคยรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน มันเหมือนเธอคอยอาศัยใต้รั้วคนอื่น ความรู้สึกนี้มักทำให้เธออึดอัดจนหายใจไม่ออก แต่ตอนนี้ เพียงประโยคเดียวของเย่เวิ่นเทียนก็ช่วยขจัดความกังวลในใจทั้งหมดของเธอ ซูเมิ่งหานลอบมองเย่เฟิง จากนั้นใบหน้าสวยๆ ก็เห่อร้อนพร้อมขึ้นสีแดงระเรื่อ
ครอบครัวตระกูลเย่ของเรา...
เย่เฟิงเกาหัวเบาๆ ก่อนดึงให้คนข้างกายเดินตามชายชราขึ้นไป เขาพอจะเดาความคิดของคนสูงวัยได้อย่างสองอย่าง เนื่องจากชายชรา้าให้ตระกูลเย่กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง ถ้าอาศัยเย่เฟิงเพียงคนเดียวก็คงไม่ดีแน่ เขาพูดแบบนี้เพียงเพื่อโน้มน้าวจิตใจของซูเมิ่งหานมาเป็พวกเท่านั้น เย่เฟิงไม่เชื่อว่าตาแก่คนนี้จะไม่เคยตรวจสอบประวัติของเธอ และคงจะรู้สถานการณ์ตอนนี้ของเธออย่างทะลุปรุโปร่งแล้วแน่นอน
บางทีในใจของเย่เวิ่นเทียนคงตั้งใจให้เย่เฟิงมีภรรยาหลายคนเพื่อให้กำเนิดลูกหลานจำนวนมาก ตระกูลเย่จะได้เจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริงโดยเร็ว ซึ่งไม่ใช่เื่เลวร้ายสำหรับเย่เฟิงแน่นอน
แม้กฎหมายทั่วโลกจะกำหนดให้มีคู่สมรสเพียงคนเดียว แต่คนในยุทธจักรที่อยู่เหนือคติใดๆ ของโลกนี้เห็นการมีคู่ครองหลายคนเป็เื่ธรรมดา เช่นตระกูลเย่ที่ล่มสลายเมื่อยี่สิบปีก่อน หรือโศกนาฏกรรมที่เตาปาเคยประสบเมื่อสิบปีก่อน แม้แต่คดีูเาฉางไป๋ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานซึ่งมีคนเสียชีวิตมากมาย แล้วกฎหมายจัดการอะไรได้ไหมล่ะ?
เื่ราวต่างๆ ในยุทธจักร ส่วนใหญ่ยึดเพียงกฎเกณฑ์ที่ปฏิบัติกันมายาวนานเท่านั้น ถ้าเย่เฟิงมีกำลังอำนาจแข็งแกร่ง อยากมีภรรยากี่คนก็คงไม่มีใครกล้าพูดอะไร
เมื่อทั้งสามคนเดินขึ้นมาถึงชั้นบน เย่เวิ่นเทียนก็ผลักประตูห้องน้ำด้วยกำปั้น สิ่งแรกที่สะท้อนเข้าสู่สายตาทุกคนคือชั้นหนังสือสองแถวที่มีหนังสือแน่นขนัดซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ
พอจะมองออกว่าสถานที่นี้เพิ่งถูกคนพลิกไปมาเมื่อไม่นานมานี้ แน่นอนว่าต้องเป็เย่เวิ่นเทียนที่เพิ่งถูกคำพูดของเย่เฟิงทำให้ใกลัว กระวีกระวาดกลับมาดูว่ามีของหายไปจริงหรือเปล่า...
เย่เฟิงสุ่มหยิบหนังสือฝุ่นเกรอะบนชั้นมาสำรวจดูก็พบว่าหนังสือเหล่านี้ล้วนเป็หนังสือธรรมดาทั่วไป เขาเข้าใจความคิดของเย่เวิ่นเทียน ท่ามกลางหนังสือแสนธรรมดาเหล่านี้ต้องมีของบางอย่างที่ค่อนข้างล้ำค่าปะปนอยู่แน่นอน อย่างเช่นเคล็ดวิชาวรยุทธ์
ชายชราเลือกหนังสือเล่มหนึ่งบนชั้น หนังสือเล่มนั้นเป็หนังสือโบราณที่เย็บด้วยด้าย มองแล้วรู้สึกสุดยอดมาก มีตัวอักษรขนาดใหญ่สี่ตัวบนปกหนังสือ ‘คัมภีร์เฟยเย่’
“คัมภีร์เฟยเย่เล่มนี้คือพื้นฐานของตระกูลเย่ เป็กำลังภายในขั้นต้น” เย่เวิ่นเทียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ตอนนี้กำลังภายในที่สืบทอดต่อกันมาในโลกนี้ล้วนเป็ขั้นต้น ความเร็วในการฝึกฝนไม่แตกต่างกัน กล่าวกันว่าเมื่อก่อนกำลังภายในมีขั้นกลาง ความเร็วในการฝึกฝนน้อยกว่าคนธรรมดาหนึ่งเท่าตัว ยิ่งมีกำลังภายในขั้นสูงเท่าไร ความเร็วในการฝึกก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่า...”
ความเร็วในการฝึกฝนที่เร็วเป็หนึ่งเท่าตัวก็แสดงว่าหลังจากฝึกฝนกำลังภายในนี้แล้ว ทุกๆ ปีระดับพลังลมปราณจะเลื่อนขึ้นถึงสองปี! ถ้ากำลังภายในเพิ่มเร็วขึ้นหลายเท่าตัวก็ยิ่งน่าทึ่งขึ้นไปอีก เพราะหากฝึกฝนสิบกว่าปีขึ้นไปก็สามารถระดับพลังลมปราณหนึ่งร้อยปี พลังเปี่ยมล้นไร้ขีดจำกัด ยิ่งถ้าได้สถานที่ที่มีพลังปราณจากธรรมชาติเข้มข้นเหมาะกับการฝึกฝน ความเร็วในการฝึกก็จะพุ่งพรวดเหมือนขึ้นจรวด
เมื่อเย่เฟิงได้ยินอย่างนี้ก็พยักหน้ารัว เพราะมันไม่ต่างกับพลังภายในวิถีเซียนของโลกเทวะเลย เขากับซูเฟยหยิ่งซึ่งสังกัดสำนักสุสานดวงดาว มีเพียงเคล็ดสุสานดวงดาวที่เป็ขั้นต้นในการฝึกพลังภายใน
ตระกูลโม่ที่อยู่เทือกเขาแดนใต้มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะการฝึกฝนของคนตระกูลโม่ล้วนเป็พลังภายในขั้นกลาง ความเร็วในการฝึกเร็วกว่าคนธรรมดาถึงหนึ่งเท่าตัว!
“เย่เฟิง แกก็ผ่านการฝึกพลังภายในจากผู้เร้นกายท่านนั้นแล้ว คัมภีร์เฟยเย่เล่มนี้คงไม่จำเป็แล้วล่ะ” เย่เวิ่นเทียนกล่าวขณะถือคัมภีร์เล่มนั้น เขาทำเหมือนกำลังถือขนมหวานหลอกล่อซูเมิ่งหาน “สาวน้อย มานี่สิ ฉันมองโครงร่างเธอแล้วรู้สึกทึ่ง...”
“อะแฮ่ม ท่านปู่ เธอฝึกพลังภายในของสำนักท่านอาจารย์ผมแล้ว คงไม่ต้องใช้คัมภีร์เฟยเย่ของเราหรอก” เย่เฟิงรีบขัดคอ
“อะไรนะ?” เย่เวิ่นเทียนคิ้วขมวดเป็ปม รีบเก็บคัมภีร์ล้ำค่าเล่มนั้นกลับที่เดิม ก่อนคว้าข้อมือซูเมิ่งหาน
เป็ไปตามนั้นจริงๆ กระแสพลังประหลาดที่โคจรในร่างกายของเธอเป็สัญญาณบ่งบอกว่าเธอได้รับการฝึกฝนแล้ว แม้กระแสพลังนั้นจะแปลกไปบ้างและไม่ค่อยเหมือนพลังลมปราณ แต่เย่เวิ่นเทียนก็ไม่สนใจนัก
แม้การฝึกวรยุทธ์ล้วนเป็การบ่มเพาะพลังภายใน แต่มีการแบ่งลักษณะพิเศษออกไป จึงเป็เื่ปกติที่จะรู้สึกถึงความแตกต่าง
“งั้นก็ช่างเถอะ คัมภีร์เฟยเย่เล่มนี้ก็วางกองไว้ตรงนี้แหละ ค่อยว่ากันใหม่วันหลัง” เย่เวิ่นเทียนส่ายหัวก่อนจนำคัมภีร์ล้ำค่าไปซ่อนในกองหนังสือ แล้วพาทั้งสองคนออกจากห้องน้ำชั้นสอง
เมื่อมาถึงห้องนอนของเย่เฟิงซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องนอนของซูเมิ่งหาน เดิมห้องนี้เป็ห้องนอนอีกห้องหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ หนังสือเก่ากองใหญ่ในนั้นแสดงถึงนิสัยของคนอ่านที่ี้เีเกินกว่าจะนำไปเก็บที่ชั้นหนังสือตามเดิม
เย่เวิ่นเทียนกวาดตามองซ้ายขวา ไม่ช้าก็พบคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่ง
“ฮ่าๆๆ แม้พวกแกจะไม่ได้ใช้คัมภีร์เฟยเย่ แต่วิทยายุทธ์ตระกูลเย่ของฉันกว้างขวางลึกล้ำ วิชากรงเล็บัเล่มนี้มาจากเส้าหลิน บรรพบุรุษตระกูลเย่ของเราปรับเปลี่ยนเส้นทางเคลื่อนย้ายพลังภายใน ซึ่งรุนแรงกว่าวิชากรงเล็บัของเส้าหลิน!” เย่เวิ่นเทียนหัวเราะดังลั่นแล้วโยนของในมือไปทางเย่เฟิง
ชายหนุ่มยื่นมือรับ ก่อนเปิดคัมภีร์ดูคร่าวๆ วิชากรงเล็บั?
ในโลกเทวะ การฝึกฝนของเขาล้วนเป็การฝึกวิชาเซียนหลากหลายรูปแบบ แต่ยังไม่เคยเห็นการต่อสู้รูปแบบนี้มาก่อน ที่เคยฝึกส่วนมากจะเป็ทำนองเดียวกับวิชามวยกังฟูอย่างหมัดแปดทิศที่ใช้ไปก็ไม่เกิดผลอะไรเมื่ออยู่ในโลกเทวะ
ขณะเดียวกันซูเมิ่งหานกะพริบตาปริบๆ คล้ายเห็นของมหัศจรรย์ ถึงตอนนี้เธอเริ่มต้นวิถีเซียนแล้ว แต่กลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการฝึกฝนเลย เมื่อก่อนเธอไม่เคยคิดถึงมันเลยด้วยซ้ำ เดิมทีตระกูลของเย่เฟิงก็เป็ตระกูลผู้ฝึกวรยุทธ์ในยุทธจักร นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีตำราวรยุทธ์ในตำนานเก็บซ่อนไว้
“เมิ่งหาน ถือนี่ไว้” เย่เฟิงพลิกเปิดผ่านๆ เพียงรอบเดียวก็ส่งคัมภีร์โบราณให้ซูเมิ่งหาน
จากนั้นชายหนุ่มก้าวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว ยกมือแสดงท่วงท่าเริ่มต้นของวิชากรงเล็บั ภายในเวลาอันสั้นร่างทั้งร่างก็ปรากฏพลังแผ่กระจาย จนทำให้เย่เวิ่นเทียนที่ยืนอยู่ด้านข้างเปลี่ยนสีหน้า
ไอ้หนุ่มนี่จะทำอะไร ดูแค่รอบเดียวก็คิดจะแสดงพลังวิชากรงเล็บัแล้วหรือ? ล้อเล่นหรือเปล่า จะเรียนรู้ได้เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?
สีหน้าท่าทางของเย่เวิ่นเทียนเปลี่ยนจากสงสัยกลายเป็ประหลาดใจ แต่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็ความปิติยินดี!
“มา!” เย่เฟิงเงยหน้าขึ้นมองชายชราด้วยแววตาดุดัน ขยับฝีเท้าแสดงกระบวนท่าหนึ่งในวิชากรงเล็บัออกมา
โกหกน่า!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้