หลังจากนั้นไม่จำเป็ต้องพูดก็เข้าใจได้ ซิ่วฉายหยางกลัวว่า่ที่เขาเข้าเมืองเอกประจำรัฐนี้ บุตรสาวและภรรยาจะได้รับความทุกข์จากการรังควานของอาสะใภ้ จึงขายที่นาที่ไม่อุดมสมบูรณ์สองหมู่ของที่บ้านไปอย่างเด็ดขาด หลังจากนั้นพาภรรยาและบุตรสาวเข้าเมืองมาตายเอาดาบหน้า
ผลสุดท้ายจึงมี่เวลาอย่างที่เห็น
ไม่ได้รับการคัดเลือกจากการสอบฝู่ซื่อ [1] สอบไม่ผ่านขุนนางระดับเคอจวี่ [2] ซิ่วฉายหยางจะเดินหน้าหรือถอยหลังล้วนลำยาก [3] อยู่ดีๆ บังเอิญว่ามารดาของอาหยุนเกิดป่วยขึ้นมาอีก ทรมานอยู่พักหนึ่ง ส่วนเงินก็จ่ายออกไปจนหมดเกลี้ยง ตกอยู่ในความลำบากต่างถิ่น
ฟังอาชิงกล่าวจบ เจินจูเท้าใต้คางและในใจกำลังวางแผนอย่างเงียบๆ
หูฉางกุ้ยกลับมาบ้านเพิ่งจะนั่งลง บุตรสาวก็ยกถ้วยน้ำชาที่เย็นเป็พิเศษมาให้เขา
“อึกๆ” หูฉางกุ้ยดื่มลงไปในรวดเดียว แล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างสบาย
เขามองบุตรสาวแสนรู้ความแล้วยิ้มซื่อๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มใจ
แน่นอนว่าหลังจากที่เขาฟังคำของบุตรสาวจบ ความปลาบปลื้มใจในดวงตาได้เปลี่ยนเป็ตะลึงงันในชั่วพริบตาทันที
จะ... จะปลูกบ้านขึ้นอีกแล้ว?
เจินจูยิ้มแล้วอธิบาย ในเมื่อเชิญคนมาสั่งสอนศิลปะการต่อสู้แล้ว เช่นนั้นก็ถือโอกาสเชิญซิ่วฉายมาสอนหนังสือไปด้วยเลย ฝึกฝนทั้งบุ๋นและบู๊ [4] ได้พอดี ผิงอันกับผิงซุ่นจะได้ไม่ต้องไปโรงเรียนส่วนตัวที่หมู่บ้านต้าวันแล้ว
ตั้งโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ขึ้น แน่นอนว่าก็ต้องตั้งโรงเรียนสอนหนังสือด้วย แค่สร้างโรงเรียนสองห้องที่กว้างขวางและสว่างไสวถัดจากโรงเรียนศิลปะการต่อสู้ก็พอ แน่นอนว่าที่พักของอาจารย์สอนหนังสือก็ต้องจัดการหาทางออก สร้างอีกหนึ่งชุดตามแบบลานบ้านของอาจารย์ฟางที่อยู่ด้านข้างก็ได้พอดีเลย
หูฉางกุ้ยมองบุตรสาวของเขาอย่างชะงักงัน เพื่อแก้ปัญหาการไปเรียนของผิงอันและผิงซุ่น ต้องทำการก่อสร้างลานบ้านขนาดใหญ่สองลาน เชิญอาจารย์ทั้งบุ๋นและบู๊สองท่าน นี่เหมาะสมแล้วหรือ… ฟุ่มเฟือยเกินไปแล้วหรือไม่…
ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างบ้านรวมกับเชิญอาจารย์ หนึ่งร้อยเหลียงเกรงว่าคงไม่พอกระมัง?
สีหน้าบิดาสกุลหูกลัดกลุ้มนัก กล่าวปัญหาที่กังวลออกมาอย่างตะกุกตะกัก
เจินจูยิ้มอย่างมีเลศนัย เข้าไปใกล้ข้างใบหูของบิดา เพียงกล่าวเบาๆ สองสามประโยค
หูฉางกุ้ยตื่นใจนอีกนิดคางเกือบจะตกลงถึงบนพื้น
อะไรนะ? ค้นพบโสมคนสิบกว่าต้นบนยอดเขาข้างหลังทางนั้น!
หากเงินของที่บ้านเหลือไม่พอใช้ก็ไปขุดหนึ่งต้นมาขายทิ้ง น้ำเสียงของบุตรสาวกล่าวออกมาอย่างไม่ใช่เื่สำคัญอะไร ราวกับโสมคนเ่าั้เป็ดั่งหัวไชเท้าทั่วไป
หูฉางกุ้ยทานข้าวเย็น หลังล้างหน้าบ้วนปากขึ้นเตียงแล้ว ยังรู้สึกใจลอยอยู่เล็กน้อย
หลี่ซื่อเห็นเขาแปลกไป จึงรีบถามขึ้นด้วยความกังวล “พ่อเ้า เ้าเป็อะไรหรือ? วันนี้เหนื่อยเกินไปใช่ไหม?”
หูฉางกุ้ยรีบตั้งสติขึ้น กล่าวคำพูดของบุตรสาวออกมาหนึ่งรอบ
หลี่ซื่อตื่นใจนดวงตาสองข้างเบิกกว้างด้วยเช่นกัน โสมคน? แล้วยังสิบกว่าต้น? นั่นเป็หัวไชเท้าหรือ? เจริญเติบโตเป็ผืนได้ด้วยหรือ?
แต่บุตรสาวไม่ใช่คนพูดจาคุยโวไปเรื่อย คำพูดของนางแปดเก้าส่วนล้วนเป็ความจริง
“หาเจอได้อย่างไร?” หรือเสี่ยวเฮยพานางไปเจออีกแล้วหรือ
หูฉางกุ้ยตอบตามความจริง “เจินจูกล่าวว่าเป็เสี่ยวเฮยหาเจอ นางไปดูมาแล้ว”
“…” เป็เสี่ยวเฮยจริงด้วย หลี่ซื่อเงียบสนิท แมวดำตัวนี้ที่ครอบครัวพวกเขาเลี้ยงไว้ช่างมหัศจรรย์เกินไปแล้ว ทำไมถึงรู้จักโสมคนนะ?
สองสามีภรรยาได้แต่มองกันไปมาพักหนึ่ง
หลี่ซื่อกล่าวออกมาช้าๆ “เช่นนั้นก็ทำตามความเห็นของเจินจูแล้วกัน ไม่ใช่ว่านางกล่าวแล้วหรือ ถึงเวลาก็สามารถให้เด็กในหมู่บ้านที่อายุเหมาะสมทั้งหมดเข้าโรงเรียนมารู้ตัวอักษรได้ นี่เป็เื่ดีที่เอื้อผลประโยชน์ให้ชาวไร่ชาวนาเลยนะ”
“แต่... เื่นี้ยังต้องกล่าวกับท่านแม่ทีหนึ่ง ถามความคิดเห็นของผู้าุโสักหน่อย” หลี่ซื่อกล่าวต่อ
หูฉางกุ้ยพยักหน้าทันที กล่าวออกมาว่าพรุ่งนี้จะกลับไปบ้านเก่าสกุลหู
รุ่งเช้าวันถัดมา...
หลังหูฉางกุ้ยทานข้าวเช้าแล้ว จึงหิ้วบ๊ะจ่างหนึ่งพวงและอ้ายเย่ชางผู่ [5] หนึ่งกำไปบ้านเก่า
ยังไม่ทันเข้าประตูลานบ้านก็ได้ยินเสียงแหลมร้องเ็ปของเหลียงซื่อ
สีหน้าของหูฉางกุ้ยเปลี่ยนทันที นี่พี่สะใภ้จะคลอดแล้วหรือ? แต่วันนี้เป็วันที่ห้าเดือนห้านะ [6]
เขารีบสาวเท้าเข้าไป เห็นมารดาของเขายืนอยู่หน้าประตูห้องครัว จ้องไปทางเสียงร้องของเหลียงซื่อด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ บิดาของเขากำลังถอนหายใจอยู่ใต้ชายคา
“ท่านแม่ นี่พี่สะใภ้เตรียมคลอดแล้วหรือขอรับ?” หูฉางกุ้ยถามอย่างวิตกกังวล
“ก็ไม่ใช่ว่าจะคลอดแล้วหรือ…” หวังซื่อกัดฟันด้วยความขุ่นเคือง “นังคนเลวนี่ เมื่อวานตอนเย็นแอบทานพะโล้เนื้อกวางไปหลายชิ้น ผลสุดท้ายั้แ่เมื่อคืนก็เริ่มเจ็บท้องเป็พักๆ ท่านหมอหลินกล่าวว่าเนื้อกวางเป็ร่างหยางบริสุทธิ์ [7] หญิงมีครรภ์ไม่ควรทานเยอะ เพราะเป็เช่นนี้เลยเริ่มเจ็บท้องเป็พักๆ นับเป็เื่เลวร้ายนัก”
“…แต่วันนี้เป็วันที่ห้านะขอรับ” หูฉางกุ้ยกล่าวอย่างลังเล
“นางก่อเื่เองก็รับไปเองแล้วกัน คลอดออกมาวันนี้เช่นนั้นก็เป็ชีวิตของนางแล้ว” หวังซื่อหมุนกายเข้าห้องครัวไปอย่างโมโหจนหายใจไม่ทัน
“ท่านแม่ขอรับ” หูฉางหลินออกมาจากห้องโถง ยืนอยู่ข้างชายชราสกุลหู ใบหน้าปกปิดความร้อนใจไว้ไม่อยู่
“เ้าลุกขึ้นมาทำไม? ภรรยาเ้าคลอดลูก เ้าจะช่วยอะไรได้ รีบกลับไปพักในห้อง” หวังซื่อถลึงตาใส่เขา
ร่างกายของหูฉางหลินฟื้นตัวสู่สภาพเดิมได้ไม่เลว แต่ท่านหมอหลินกล่าวว่า อวัยวะภายในที่าเ็ต้องพักฟื้นหลายวัน ไม่สามารถทำงานหนักได้เป็การชั่วคราว
“ท่านแม่” หูฉางหลินใบหน้ากลัดกลุ้ม
ภรรยาของเขาตะกละเกิดอาการอยากกิน เดิมทีไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร แต่วันนี้กลับเป็วันที่ห้าเดือนห้าตามปฏิทินจันทรคติจีน เด็กที่เกิดวันนี้ไม่เป็มงคล อาจดุด่าบิดาและตีมารดาได้ คนส่วนใหญ่ล้วนหลีกเลี่ยงวันนี้ทุกวิถีทาง
เดิมกำหนดคลอดของเหลียงซื่อยังห่างออกไปอีกสองสามวัน พอเห็นแก่กินก็มาชนเข้ากับวันนี้ทันที
ชายชราสกุลหูย้ายม้านั่งหนึ่งตัวมา แล้วยื่นให้หูฉางหลินนั่งลง ร่างกายเขายังไม่หายดีทั้งหมด ยังต้องระมัดระวังหน่อย
“พอแล้ว พวกเ้าทุกข์ใจไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ผู้หญิงคลอดลูกเ็ปอยู่สามวันสองคืนล้วนเป็เื่ปกติ ลูกสะใภ้คนโตเพิ่งผ่านไปครึ่งวันเอง ไม่แน่ว่าผ่านวันนี้ไปแล้วถึงจะคลอดออกมาก็เป็ได้” หวังซื่อกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี
เหลียงซื่อร้องโอดครวญด้วยความเ็ปอยู่ในห้อง เมื่อวานเวลาอาหารเย็น นางฉวยโอกาสที่หวังซื่อไม่ทันได้ใส่ใจ ทานเนื้อกวางพะโล้ไปหลายชิ้น ไม่คิดมาก่อนเลยว่ากลางดึกจะเริ่มเจ็บท้องตุบๆ นางย่อมรู้ดีนี่เป็ลางบอกว่าจะคลอดแล้ว แต่เห็นอยู่ว่ายังไม่ถึงวันที่กำหนดเลย ทำไมถึงจะคลอดแล้วล่ะ?
ไม่ใช่แค่ทานเนื้อไม่กี่ชิ้นเองหรือ? เนื้อนั่นอร่อยเกินไปแล้วจริงๆ นางแค่ทนไม่ได้ไปชั่วขณะเอง... ฮือๆ
เหลียงซื่อยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว สิ่งที่เชื่อถือกันมาอย่างแพร่หลายของคนทั่วไป ในชีวิตเด็กที่คลอดวันที่ห้าเดือนห้าจะนำพาเคราะห์ร้ายติดตัวมาด้วย จะดุด่าบิดาตบตีมารดา หากนางคลอดลูกวันนี้ เช่นนั้นสกุลหูจะมีนางที่ชื่อเหลียงิฮวาอยู่หรือ
หวาดกลัว เ็ป และตื่นใ เหลียงซื่อค่อยๆ ควบคุมตัวเองไม่ได้ เริ่มร้องไห้โฮเสียงดัง
ในห้องครัว ชุ่ยจูกำลังต้มน้ำด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลใจ นางเงยหน้ามองไปทางหวังซื่อที่สีหน้าไม่มีความสุข
หวังซื่อแสดงสีหน้าอึมครึมออกมาจากห้องครัว เดินเข้าห้องคลอดที่เหลียงซื่ออยู่
“จะแหกปากร้องไห้ทำอะไร เ้าอยากให้คนทั้งหมู่บ้านรู้ว่าเ้าจะคลอดวันนี้ทั้งหมดหรือ?”
หนึ่งประโยคของหวังซื่อระงับเสียงร้องไห้ของเหลียงซื่อไว้ได้
“…ท่านแม่ ข้า ข้ากลัวนี่…” นางกล่าวอย่างร้องไห้สะอึกสะอื้น
“เชอะ ตอนนี้ถึงรู้จักกลัว ตอนเ้าตะกละทาน ได้คิดหรือไม่ว่าวันกำหนดคลอดของตัวเองใกล้ถึงแล้ว?” หวังซื่อถลึงตาใส่นางด้วยความโกรธ “ขายหน้าอยู่ตรงนี้ให้น้อยหน่อย แล้วเก็บแรงไว้บ้าง ทนผ่านวันนี้ไปก็ไม่เป็ไรแล้ว”
คำพูดของหวังซื่อทำให้เหลียงซื่อคิดได้ ใช่สิ ขอแค่ทนข้ามคืนนี้ไปก็ไม่ต้องกลัวแล้ว
นางหยุดเสียงร้องทันที พยายามข่มความเ็ปไว้แล้วนอนอยู่บนเตียงอย่างว่าง่าย
ท่ามกลางการอธิฐานและความกังวลของทุกคนในบ้านเก่าสกุลหู ลูกคนที่สี่ของเหลียงซื่อก็ได้กำเนิดออกมา
เวลาคือตอนที่ผ่านอาหารมื้อเย็นไปแล้ว เป็เด็กผู้ชาย
เหลียงซื่อตื่นตัวร้องไห้โฮเสียงดังอยู่ในห่อผ้านวม บุตรชายคนที่สองที่นางโหยหามาตลอด ไม่นึกเลยว่าจะเกิดออกมาในเวลาที่ไม่เหมาะสม
หวังซื่อทำคลอดให้ลูกสะใภ้คนโตด้วยตัวเอง เพราะไม่มีเหวิ่นโผ [8] คนไหนยินดีมาทำคลอดให้ในเวลาเช่นนี้
หวังซื่ออุ้มหลานชายด้วยความรู้สึกผสมปนเปกัน ครอบครัวบุตรชายสองคนล้วนมีเพียงเด็กชายบ้านละคน นางย่อมหวังให้ลูกสะใภ้ทั้งสองคนมอบบุตรชายตัวอ้วนท้วนแข็งแรงให้สกุลหูเพิ่มขึ้นอีกเป็ธรรมดา
แต่วันที่ห้าเดือนห้า เป็วันพิษเดือนพิษ [9] ทารกที่กำเนิดวันนี้ส่วนใหญ่ไม่ถูกทำให้จมน้ำตายก็ถูกทอดทิ้ง มีน้อยครอบครัวนักที่จะเลี้ยงดูเด็กที่เกิดวันนี้ให้เติบใหญ่ได้อย่างไม่แสลงใจ
หูฉางหลินก้มหน้า ตบศีรษะด้วยความเ็ปรวดร้าว ลูกที่เฝ้ารอให้กำเนิดออกมาอย่างยากลำบาก เขาจะใจแข็งทำให้จมน้ำตายหรือทอดทิ้งได้อย่างไร
ชายชราสกุลหูนั่งอยู่ข้างกายเขา ถอนหายใจแล้วตบหลังปลอบใจเขาเบาๆ ชุ่ยจูกับผิงซุ่นนั่งอยู่ด้านข้างอย่างสงบไม่กล้าส่งเสียงอะไรออกมา
ตอนที่หูฉางกุ้ยกับหลี่ซื่อพาเด็กสองคนมายังบ้านเก่า สิ่งที่เห็นคือเหตุการณ์อึมครึมมืดมนเช่นนี้
ทารกที่เกิดออกมาวันที่ห้าเดือนห้าจะด่าทอบิดาตบตีมารดาเช่นนั้นหรือ? เจินจูตะลึงงัน บ้าไปแล้ว ยังมีความเชื่องมงายล้าสมัยเช่นนี้อยู่อีก
“ท่านย่า พวกท่านคงไม่ได้คิดจะเอาน้องเล็กไปทิ้งใช่หรือไม่เ้าคะ?” เจินจูขมวดคิ้วมองทุกคนนิ่วหน้าหดหู่ใจทั้งห้อง การทอดทิ้งเป็ความคิดที่แย่ที่สุดที่นางคิดได้แล้ว ส่วนการทำให้จมน้ำตายแค่คิดนางก็รู้สึกชาไปหมดทั้งหนังหัว
หวังซื่อเงียบงันอยู่นานและถอนหายใจ “แน่นอนว่าย่าทำใจไม่ได้ แต่ประเพณีที่สืบทอดกันมานับพันปี ก็ไม่อาจไม่ให้ความสนใจได้ด้วยนี่สิ ดวงของเด็กแข็งกร้าว ง่ายต่อการด่าทอบิดาตบตีมารดา นี่…”
“ท่านย่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็คำเล่าลือเท่านั้นจะเป็จริงได้เสียที่ไหน ครอบครัวเราจะเลียนแบบวิธีคิดความเชื่องมงายที่ไร้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเช่นนี้ไม่ได้ ท่านดูสิ น้องเล็กน่ารักจ้ำม่ำร่างกายแข็งแรงตั้งขนาดไหน จะใจแข็งทอดทิ้งเขาลงได้อย่างไรกันเ้าคะ” เจินจูปรับเปลี่ยนสติปัญญา หากหวังซื่อคิดจะทิ้งลูกพี่ลูกน้องผู้ชายคนเล็กนี่ไปจริงๆ จะทำอย่างไร
“ท่านแม่” หูฉางหลินเงยหน้า ในแววตามีความเฝ้าปรารถนาทออยู่
หวังซื่อขมวดคิ้วแน่นในใจขัดแย้งกันไม่หยุด
หลี่ซื่อรับทารกชายมาจากหวังซื่อเงียบๆ ผิวย่นนิดหน่อย ใบหน้าเล็กรูปไข่มีสีแดงเล็กน้อย ดวงตาสองข้างปิดลงกำลังหลับใหลสนิท
“ท่านแม่ เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินมาว่าเมื่อไรก็ตามที่ครอบครัวร่ำรวยใหญ่โตคลอดทารกในวันที่ห้าเดือนห้า ล้วนจะพาไปวัดที่มีชื่อเสียง เพื่อตามหาพระอาจารย์ปรับเปลี่ยนดวงชะตาวันเกิดให้เหมาะสม ทารกที่ผ่านการปรับเปลี่ยนดวงชะตาแล้ว จะเติบโตเป็ผู้ใหญ่แข็งแรงตามแบบทั่วไป ทั้งครอบครัวคนชราและเด็กเล็กรักใคร่กลมเกลียวปรองดองกันดี ไม่มีผู้าุโประสบทุกข์เกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยลาลับจากโลกไปเลยเ้าค่ะ” เสียงแหบของหลี่ซื่อดังก้องอยู่ในห้องโถงของบ้านเก่าสกุลหู
“น้องสะใภ้พูดจริงหรือ?”
“หรงเหนียง มีเื่เช่นนี้จริงหรือ?”
หวังซื่อกับหูฉางหลินถามออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน
หลี่ซื่อพยักหน้าด้วยความสงบ มีเื่เช่นนี้จริง ลูกผู้พี่ของคุณหนูพวกนาง ในปีนั้นก็คลอดทารกชายวันที่ห้าเดือนห้า เื่นี้มีคนรู้มากมายไม่นับว่าเป็ความลับคอขาดบาดตายอะไร ผู้ที่ปรับเปลี่ยนดวงชะตาวันเกิดให้คุณชายผู้นั้น เป็พระอาจารย์ฮุ่ยทงที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง
ในดวงตาของหูฉางหลินปรากฏความดีใจระคนแปลกใจ หากเป็เช่นนี้ มีวัดเก่าแก่ชิงเหยียนในอำเภอเจิ้นอัน มีพระอาจารย์คงอู้ที่มีชื่อเสียงได้รับการยอมรับมาช้านาน ขอแค่ร้องขอความช่วยเหลือจากพระอาจารย์ได้ เช่นนั้นเด็กคนนี้ของพวกเขาก็สามารถเลี้ยงได้อย่างสบายใจแล้ว
เจินจูเบะปากอย่างไม่เห็นด้วย ที่จริงแล้ววันที่ห้าเดือนห้าแล้วอย่างไร ในยุคปัจจุบันคนที่เกิดวันตวนอู่ช่างมีมากมายเหลือเกิน จะมีที่เรียกว่าดวงชะตานำพาความโชคร้ายติดตัวมาด้วยเสียที่ไหน สถานการณ์ด่าทอบิดาตบตีมารดานี่ล้วนเป็คนสมัยโบราณที่งมงายสร้างประเพณีต่ำทรามเผยแพร่อย่างผิดๆ
อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับสายตาที่ทุกคนมองลูกผู้น้องคนเล็กอย่างรู้สึกร้อนอกร้อนใจทั้งวันแล้ว จะใช้วิธีเช่นนี้ทำให้เหล่าผู้าุโสงบจิตใจและรู้สึกดีขึ้นได้ ก็คุ้มค่าที่จะไปขอร้องพระอาจารย์
ใบหน้าหวังซื่อปรากฏความดีอกดีใจขึ้น นางก็เคยได้ยินเื่ราวทำนองนี้มาลางๆ เช่นกัน แค่คิดไม่ออกไปชั่วครู่ชั่วยาม คำพูดของหลี่ซื่อทำให้นางนึกวิธีนี้ขึ้นได้ นางจึงดีใจเป็อย่างมากทันทีเพราะเื่ราวหาทางออกได้แล้ว
อุ้มทารกน้อยจากในมือหลี่ซื่อกลับมาด้วยความระมัดระวัง ั์ตาของหวังซื่อสะท้อนความรักใคร่เอ็นดูกระจายขึ้นมา หัวใจที่กังวลไม่มั่นคงตลอดทั้งบ่ายในที่สุดก็สงบลงได้
เชิงอรรถ
[1] ฝู่ซื่อ (府试) เป็หนึ่งในการสอบขั้นต้นของถงซื่อ (童试 หรือการสอบเด็ก) มีการจัดขึ้นทุกปี โดยถงซื่อมี 3 ระดับ ได้แก่ เซี่ยนซื่อ (县试) ฝู่ซื่อ และย่วนซื่อ (院试) หากผ่านระดับถงซื่อไปแล้วยังมีระดับขั้นเซียงซื่อ (乡试 ระดับภูมิภาคหรือมณฑล จัดขึ้น่ฤดูใบไม้ร่วงหรือเรียกว่าการสอบชิวซื่อ การสอบฤดูใบไม้ร่วงมีทุกสามปี) ฮุ้ยซื่อ (会试 ระดับเมืองหลวงหรือประเทศ จัดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ หรือเรียกว่าการสอบชุนซื่อ การสอบฤดูใบไม้ผลิมีขึ้นทุกสามปี) และเตี้ยนซื่อ (殿试 ระดับราชสำนักหรือราชวัง หรือการสอบหน้าพระที่นั่ง มีการจัดสอบทุกสามปี โดยมีฮ่องเต้คุมสอบด้วยตนเอง แต่ละการสอบอาจกินเวลาลากยาวไปจนถึงสามวันสามคืนก็ได้
[2] ขุนนางระดับเคอจวี่ (科举) คือ ระบบการคัดเลือกข้าราชการที่ทางราชสำนักจัดขึ้นให้เป็การสอบส่วนกลาง เพื่อคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถตามผลคะแนนสอบ และเพื่อประเมินการได้รับความรู้และคุณธรรมของผู้เข้าสอบ แล้วแต่งตั้งดำรงตำแหน่งข้าราชการในส่วนต่างๆ ต่อไป การสอบที่มีในสมัยราชวงศ์ซุ่ยถาน จนกระทั่งราชวงศ์ชิง คนที่สอบเคอจวี่คือคนที่ต้องผ่านการสอบชิงตำแหน่งในชนบทมาแล้ว
[3] จะเดินหน้าหรือถอยหลังล้วนลำบาก หมายถึง สิ้นไร้หนทางจะตัดสินใจ จะไปทางไหนก็ลำบาก
[4] บุ๋น หมายถึง สิ่งที่เกี่ยวกับการใช้สมอง หรือคนที่เพียบพร้อมทางด้านการศึกษา บู๊ หมายถึง สิ่งที่เกี่ยวกับการใช้กำลังหรือการต่อสู้ หรือผู้ที่เพียบพร้อมในด้านการสู้รบ
[5] อ้ายเย่ (艾叶) หรืออ้ายเฉ่า (艾草) ชื่อภาษาไทยคือ โกฐจุฬาลัมพา เป็พืชในตระกูลดาวเรือง เป็สมุนไพรที่นิยมใช้ในทางการแพทย์แผนจีน เนื่องจากมีฤทธิ์อุ่นช่วยคลายการอุดตัน กำจัดความเย็นและความชื้นออกจากเส้นลมปราณ กลิ่นฉุนของอ้ายเย่สามารถทะลวงเส้นลมปราณ เพื่อควบคุมการไหลเวียนของเืและลมปราณให้เป็ปกติ และยังขับไล่แมลงได้ นอกจากนี้ยังสามารถเสริมบำรุงร่างกายเพื่อเพิ่มภูมิต้านทานโรคและป้องกันโรค เช่น ไข้หวัด ได้อีกด้วย ส่วนชางผู่ (菖蒲) หรือสือฉางผู่ (石菖蒲) จัดเป็ยาในกลุ่มยาเปิดทวาร มีฤทธิ์อุ่น เข้าสู่เส้นลมปราณหัวใจและกระเพาะอาหาร สือฉางผู่มีกลิ่นหอม ช่วยกระตุ้นประสาท ช่วยเพิ่มความจำ เพิ่มความสดชื่น ช่วยฟื้นสติ นอกจากนี้ยังกระตุ้นการทำงานของม้ามและกระเพาะอาหาร ช่วยขับความชื้น ขับเสมหะ ลดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย เป็ความเชื่อของคนจีน โดยการนำอ้ายเฉ่ากับสือฉางผู่มามัดรวมกันแล้วห้อยไว้หน้าบ้าน เพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและความอัปมงคลต่างๆ
[6] วันที่ห้าเดือนห้า เป็วันเทศกาลบ๊ะจ่างของประเทศจีน ซึ่งจริงๆ แล้วถือเป็วันที่โชคร้ายที่สุด (หรืออาจเรียกว่าวันพิษเดือนพิษหรือวันอัปมงคลก็ได้ เพราะจะมีแมลงมีพิษและิญญาชั่วร้ายต่างๆ ออกอาละวาด เนื่องจากเป็วันที่พลังหยางแรงมาก) จากความเชื่อในเื่ความหมายที่ไม่ดีของเลขห้า ที่พ้องกับเสียงร้องไห้ในภาษาจีน และยิ่งเป็เลขห้าคู่จึงกลายเป็วันไม่ดี
[7] ร่างหยางบริสุทธิ์ (纯阳之物) หมายถึง สรีรวิทยาของเด็กเล็กที่มีชีวิตชีวา เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนดวงอาทิตย์แรกขึ้น และต้นไม้ต้นหญ้ากำลังโตวันโตคืน เพราะอย่างนี้จึงทำให้เร่งการคลอดของเหลียงซื่อให้เร็วขึ้น
[8] เหวิ่นโผ (稳婆) หมายถึง คนทำคลอดในสมัยโบราณ หรือเรียกว่า หมอตำแย
[9] วันพิษเดือนพิษ นอกจากจะเป็วันไม่ดีแล้วยังมีตำนานอีกด้วย โดยตามตำนานเล่าว่า ชีหยวนเป็ขุนนางที่มีความซื่อสัตย์ ยึดถือคุณธรรม กล้าพูดกล้าทำ ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน ต่อมาถูกเหล่าขุนนางกังฉินกลั่นแกล้งจนถูกปลดจากตำแหน่งและเนรเทศออกจากแคว้นฉู่ รัฐฉินจึงถือโอกาสเข้าโจมตีแคว้นฉู่จนล่มสลาย ชีหยวนมีใจรักชาติแต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้ จึงะโแม่น้ำเปาะล่อกัง (บางตำราว่าเป็แม่น้ำแยงซีเกียง) ตายในวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 นั่นเอง ชาวบ้านที่รู้เื่การตายของชีหยวน ระลึกถึงความดีจึงได้ออกเรือเพื่อตามหาศพ ในขณะที่ค้นหาพวกเขาก็เตรียมข้าวปลาอาหารไปโปรยลงแม่น้ำด้วย เพื่อเป็การล่อให้สัตว์น้ำมากินจะได้ไม่ไปกัดกินซากศพของชีหยวน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้