นุ่ม…ละมุน…และไม่ใช่การจูบเพื่อ แต่มันคือจูบที่เหมือนกำลังปลดล็อก “บางอย่าง” ในตัวของหญิงสาว
คืนนั้น มารตีไม่ได้กลับบ้าน เธอนอนอยู่บนผืนผ้าใบที่เปื้อนสี ล้อมรอบด้วยร่างเปลือยเปล่าที่เปรอะเปื้อนสีของสองศิลปิน เธอหลับตาลงพร้อมหัวใจที่เต้นในจังหวะใหม่…จังหวะที่ไม่ได้มาจากความร้อนแรงเพียงอย่างเดียว แต่จากการ “ได้รับการมองเห็น” อย่างแท้จริง
เช้าวันต่อมา แสงแดดสาดส่องผ่านม่านผ้าโปร่งสีขาวจางๆ กลิ่นสีอ่อนๆ ยังคงติดอยู่บนผิวกายมารตีมันไม่ได้เหนียวเหนอะหนะเหมือนสีทั่วไป แต่มันเป็กลิ่นของ “การได้รู้จักตัวเองอีกด้านหนึ่ง” ต่างหาก จิรภายังคงหลับอยู่ข้างเธอด้วยร่างขาวโพลนเปลือยเปล่า เรือนผมสยายอยู่บนหมอน ส่วนวรเมธกำลังชงกาแฟในครัว เงียบสงบและมั่นคงในแบบที่เขาเป็
มารตีมองมือของตัวเอง…ยังคงเห็นคราบสีทองจางๆ ที่จิรภาและวรเมธแต้มลงเมื่อคืน ร่องรอยที่ไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่งของศิลปะ แต่เหมือนเป็รอยจารึกในความทรงจำ เธอไม่เคยคิดเลยว่าการ “อยู่ในมือของใครสักคน” โดยไม่รู้สึกด้อยค่า หรือกลัว จะให้ความรู้สึกแบบนี้…อบอุ่น มั่นคง และไม่้าคำอธิบาย
แล้วโทรศัพท์ของเธอก็สั่น...เธอเหลือบตามองข้อความที่ขึ้นมา “เป็ไงบ้างเมื่อคืน สนุกมั้ยจ๊ะ? ข้อความสั้นๆ แต่บีบรัดกล้ามเนื้อหัวใจมารตีอย่างไม่ทันตั้งตัว เธอลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะพิมพ์กลับ
“ดีมากเลยค่ะ… ไม่เหมือนที่เคยเจอมาก่อน” คำตอบนั้นไม่ได้โกหก แต่ก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด เพราะมันไม่ได้บอกถึง "สิ่งที่เปลี่ยนไป" ภายในใจของเธอ ที่มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกทางกาย แต่คือจิตใจที่เริ่มหันเหจากกรอบเดิมๆ
สายๆ วันนั้น มารตีกลับมาที่บ้าน ปพนต์อยู่ในห้องทำงาน ท่าทางของเขาดูปกติแต่แววตากลับซ่อนคำถามลึกๆ ไว้ เมื่อเขาหันมาเห็นเธอ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย แต่เพียงแค่แว๊บเดียวก็กลับมาปกติเช่นเดิม
“เมื่อคืนนี้…รตีต้องสวยมากแน่เลย ใช่ไหมจ๊ะ” ปพนต์ยิ้มจางๆ ดวงตาเป็ประกาย “จิรภาดูจะชอบรตีมากเลยนะ”
หญิงสาวหลบตาเล็กน้อยอย่างมีพิรุธ แล้วเดินเข้ามานั่งข้างสามี ก่อนจะวางมือลงบนต้นขาเขาเบาๆ เป็การััที่ไม่เร่าร้อน แต่มารตีรู้สึกว่ามันเต็มไปด้วยบางอย่างที่เปลี่ยนไป บางอย่างที่ตัวเธอเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจดีนัก
“มันไม่ใช่แค่เื่แบบนั้น…นะคะ พี่ปพนต์”
“มันเหมือนรตีได้เห็นโลกอีกแบบนึง โลกที่รตี…ไม่เคยเข้าใจตัวเองมาก่อนเลยจนถึงเมื่อคืน”
ปพนต์ไม่ได้ตอบในทันที เขานิ่งไปนาน เหมือนกำลังประมวลผล ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือเธอไว้แน่น“แค่รตีมีความสุข…พี่ก็โอเค” แต่คำว่าโอเคนั้น…ไม่แน่ว่าเขา "โอเคจริงๆ" หรือแค่พยายามไม่รั้งเธอไว้ในกรอบของตัวเอง
ค่ำคืนนี้ มารตีไม่ได้อยู่กับจิรภาและวรเมธ เธอนั่งอยู่ในห้องนอนของตัวเอง มองดูรอยคราบสีจางๆ ที่ยังติดอยู่ตรงหัวไหล่ เธอหยิบสมุดบันทึกขึ้นมา เปิดหน้าใหม่ แล้วเขียนคำว่า…
"ฉันในแบบที่ยังไม่เคยเป็"
ยามบ่ายวันถัดมา ขณะแสงแดดจางๆ ส่องลอดผ้าม่านสีอ่อนในวิลล่าแห่งศิลป์ ปพนต์เดินเข้ามาเงียบๆ ในห้องสตูดิโอที่ถูกดัดแปลงให้เป็แกลเลอรีขนาดย่อม กลิ่นสีและน้ำมันลอยคลุ้งในอากาศ เสียงหัวเราะแ่เบาของมารตีลอยมาจากมุมห้องที่วรเมธกำลังสเก็ตช์ภาพเปลือยท่อนบนของเธอบนผ้าใบผืนใหญ่
ส่วนจิรภา... กำลังเลือกผ้าคลุมไหล่บางเบาให้เธอใส่พลางกระซิบถ้อยคำบางอย่างที่ทำให้มารตีหัวเราะเบาๆ ปพนต์หยุดมองจากระยะไกล... ไม่ใช่ด้วยความหึงหวง แต่เป็ความรู้สึกแปลกแยกแตกต่างออกไป "เธอดูเปล่งประกายอีกครั้ง..." เขาคิดในใจ
มารตีในตอนนี้...ดูไม่เหมือนผู้หญิงที่เขาจูงมือแต่งงานเมื่อสิบปีก่อน แต่เป็หญิงสาวที่กำลังค้นพบตัวเองในอีกมิติที่เขาไม่เคยกล้าเปิดประตูให้
“พี่ปพนต์...” เสียงวรเมธทักอย่างนอบน้อม เขาหันมา รอยยิ้มสุภาพแต่ั์ตายังจับจ้องไปที่มารตี “ดูเหมือนเธอจะสนุกกับงานศิลปะนะครับ” วรเมธกล่าว ขณะที่ปพนต์ แค่ยิ้มน้อยๆ
“ใช่… ผมไม่เคยเห็นเธอเป็แบบนี้มาก่อนเลย” เสียงหัวใจของเขายอมรับ แต่ก็เจือด้วยคำถามที่ค้างคา “แล้วเขาล่ะ… จะยังเป็ส่วนหนึ่งของเธออยู่ไหม?”
จิรภาเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา กลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยและผิวกายอุ่นๆ ภายใต้ชุดเดรสบางเบา ที่ปราศจากชุดชั้นในของเธอแทรกเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียง
“คุณปพนต์... รตีกำลังเปลี่ยนไปในทางที่งดงามมากเลยนะคะ” จิรภาพูดเบาๆ แล้วสบตาเขาด้วยแววตานุ่มลึก “คุณช่วยเปิดประตูให้เธอ แล้วตอนนี้เธอแค่กำลังเดินเข้าไปในโลกใหม่อย่างช้าๆ เท่านั้น... อย่ากลัวเลยค่ะ”
“ผมไม่กลัว... แต่ผมแค่หวังว่าจะยังมีที่ให้ผมยืนอยู่ในโลกใบนั้น ของเธอ”
จิรภาไม่ได้ตอบ... แต่ยิ้มน้อยๆ พร้อมวางมือลงบนบ่าของเขาอย่างอ่อนโยน ปพนต์เริ่มเข้าใจ ว่านี่ไม่ใช่การแย่งชิง หรือการเสียใครไป แต่มันคือการแลกเปลี่ยนพลังของจิตใจ ระหว่างคนที่เคยหลงลืมตัวเอง กับคนที่พาเธอกลับมาเจอความรู้สึกอีกครั้ง
เขาหันกลับไปมองมารตีอีกครั้ง เธอกำลังยิ้ม... ดวงตาวาววับและริมฝีปากแดงระเรื่อ จิรภาจับมือเธอไว้ ขณะที่วรเมธเติมแสงและเงาลงบนผ้าใบอย่างละเมียดบรรจง นี่แหละ… ผู้หญิงของเขาในแบบที่เธอไม่เคยเป็มาก่อน
เสียงดนตรีจากลำโพงวินเทจแ่เบา แทรกผ่านกลิ่นหอมของเทียนอโรมากลิ่นแซนดัลวูด ห้องสตูดิโอเปิดหน้าต่างรับลมเย็นของค่ำคืน พู่กันวางนิ่งบนถาดสี เหล้าองุ่นรินลงแก้วใส เสียงหัวเราะเบาๆ ดังเป็จังหวะชวนฝัน
มารตีเปลือยเปล่าอย่างเต็มใจ... เนื้อกายเธอไม่ได้เป็ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็ของ่เวลานี้ทั้งหมด ปพนต์ จิรภา และวรเมธ ต่างก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าอย่างไม่รีบร้อน ราวกับกำลังบอกโลกว่า “นี่คือร่างแท้ของเรา”
จิรภาเดินเข้ามาใกล้ ใช้ปลายนิ้วนุ่มแตะแผ่นหลังของมารตีอย่างแ่เบา ลากผ่านแผ่นหลังเนียนเหมือนพู่กันที่วาดภาพ “ผิวเธอเนียนสวยเหมือนผืนผ้าใบใหม่...” จิรภากระซิบข้างหู
วรเมธเดินตามมาจากด้านหลัง มือหนึ่งถือไวน์ อีกมือแตะที่ต้นคอของมารตีเบาๆ ก่อนจะก้มลงจูบอย่างนุ่มนวล มารตีหลับตา ปล่อยตัวให้คล้อยตามไปกับอารมณ์และบรรยากาศ
ปพนต์นั่งนิ่งอยู่ที่ขอบเตียง เขาไม่ใช่แค่สามีเท่านั้น แต่คือผู้สังเกตเห็น “ความเปลี่ยนแปลงที่งดงาม” ของคนที่เขารักมานานด้วย
มารตีเดินเข้าไปหาสามี…ไม่พูดอะไร…แค่หยุดตรงหน้า แล้วนั่งลงช้าๆ บนตักเปลือยเปล่าของปพนต์ ให้ส่วนสำคัญของเขาสอดประสานเข้าไปในตัวเธอ อบอุ่น เนื้อต่อเนื้อ หัวใจต่อหัวใจ
“ขอบคุณนะ ที่พารตีมาที่นี่…” มารตีพูดเบาๆ ดวงตาเธอวาววับ น้ำเสียงเจือความซึ้งลึก ขณะขยับสะโพกไปมาช้าๆ
ปพนต์โอบกอดเธอไว้แน่น หัวใจของเขาเต้นแรง แต่นิ่งสงบในคราเดียวกัน รู้สึกถึงความอบอุ่นในตัวเธอ“รตีกลับมาหาพี่จริงๆ ใช่ไหม?” เขาถามเสียงแ่เบา
หญิงสาวพยักหน้าช้าๆ แล้วจูบเขา ไม่ใช่จูบแห่งความเร่าร้อน แต่เป็จูบที่เต็มไปด้วยคำขอบคุณ การให้อภัย และความเข้าใจทั้งหมด ขณะเดียวกันก็ขยับสะโพกอวบไปมาเบาๆ เป็จังหวะ ต่อเนื่อง
จากนั้น จิรภาและวรเมธก็เข้ามาร่วมวง โอบกอดทั้งสองอย่างอ่อนโยน กลายเป็ภาพของ “ร่างเปลือยเปล่า” สี่ร่าง ที่แวดล้อมไปด้วยความอบอุ่นของแสงเทียน เสียงหัวใจ และศิลปะของการอยู่ร่วมกัน
ไม่มีคำจำกัดความ ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างใครกับใคร มีเพียง “การยอมรับ” ที่ค่อยๆ เติมเต็มทุกาแค่ำคืนนี้... ไม่มีใครโดดเดี่ยว และไม่มีใครเป็ของใครทั้งหมด ทุกคนต่างเป็ของกันและกัน...อย่างอิสระ
เปลวเทียนยังสั่นไหวอยู่ปลายไส้ กลิ่นไม้หอมยังลอยคละคลุ้งอ้อยอิ่งในอากาศ แผ่นเสียงยังหมุนแ่ช้า ราวกับกำลังกล่อมคืนเดือนแรมให้เคลิ้มหลับในอ้อมกอดของมนุษย์
หลังจากการกอดนั้น ไม่มีคำพูด ไม่มีเส้นเขต หรือขอบเขตใด ทั้งสี่คนยังคงเปลือยเปล่า กายแนบกาย แต่ใจกลับเปิดกว้างกว่านั้น
จิรภาเป็ฝ่ายเอื้อมมือไปหา “ปพนต์” ก่อน...รอยยิ้มของเธอไม่ได้หวือหวา แต่เต็มไปด้วยพลังแบบหญิงสาวที่กล้าจะเป็ผู้นำในศิลปะของการเปิดใจ “ขอลองดู... ได้ไหมคะ?” เธอถามเสียงแ่เบาเย้ายวน แต่สายตามองตรงไปที่กึ่งกลางกายเขา อย่างเร่าร้อน