ขาหลินหวั่นชิวอ่อนระทวยไปหมด
นางเกาะเจียงหงหย่วนราวกับคนไร้กระดูก ศีรษะซบลงบนอกล่ำกำยำของเขา
เจียงหงหย่วนอุ้มตัวนางขึ้น หลังจากเขานั่งลงก็ให้นางนั่งตักตัวเอง แต่กระนั้นก็ยังคงรวบนางไว้ในอ้อมอก
“เป็อย่างไร? คุ้มกับเงินร้อยตำลึงหรือไม่?” เจียงหงหย่วนก้มหน้ามองภรรยาตัวน้อย เสียงทุ้มต่ำของเขาช่างรื่นหูยิ่งนัก
หลินหวั่นชิวเงยหน้าสบตากับเขา นางอดกลอกตาใส่ไม่ได้ “เหตุใด? นายพรานเจียงอยากให้ข้าเลี้ยงดูหรือ?”
เจียงหงหย่วนไม่พูดอีก
หลินหวั่นชิวกลอกตามองบนอีกครั้ง
เหอะๆ…บุรุษก็เช่นนี้
ยึดถือแิบุรุษเป็ใหญ่ขนาดนี้…
“เอาสิ…”
“แค่กๆ…”
เสียงอ่อนแรงของบุรุษดังขึ้นข้างหูอย่างฉับพลัน หลินหวั่นชิวสำลักน้ำลายตัวเอง
“ท่าน ท่าน…”
“เลิกกลอกตาได้แล้ว ขืนยังกลอกอีก ลูกตาคงได้หลุดออกมาเหมือนปลาตายเป็แน่” เจียงหงหย่วนหยอกหลินหวั่นชิว “แต่ถ้าเสี่ยวเหนียงจื่อมีเงินจ่าย ต่อให้เป็ปลาตายข้าน้อยก็ยอม!”
หลินหวั่นชิว “…”
เง็กเซียนฮ่องเต้ พระแม่พระโพธิสัตว์กวนอิม พระแม่มารีย์ รีบมาปราบปีศาจตนนี้โดยเร็วด้วยเถิด!
“ข้าไม่มีเงินจ่าย” หลินหวั่นชิวจะร้องไห้แล้ว พละกำลังสู้ไม่ได้ ความฉลาดทางสติปัญญาก็ยังจะสู้ไม่ได้อีก ทั้งที่เวลานางอยู่คนเดียวก็ค่อนข้างฉลาด บุรุษผู้นี้เป็ดาวเคราะห์ร้ายของนางชัดๆ
“ร้อยตำลึงย่อมเพียงพอแล้ว” เจียงหงหย่วน “ข้าขายให้เ้าตลอดชีวิต”
“ฮะฮะ…พ่อหนุ่ม คนเราควรมีความมั่นใจในตัวเอง มีความทะเยอทะยาน แค่ร้อยตำลึง…เ้าไม่กลัวพี่สาวได้ของถูกแล้วไปซื้อของแพงจากที่อื่นหรือ?”
ไอ๊หยา เหตุใดเ้าปากเสียเช่นนี้!
คำพูดไม่ผ่านสมองเพิ่งหลุดจากปาก หลินหวั่นชิวนึกเสียใจภายหลัง ดูสิ เจียงหงหย่วนโกรธแล้วเห็นหรือไม่ เขาโน้มตัวลงมาจูบ มือไม้อยู่ไม่สุข
“ถ้าเสี่ยวเหนียงจื่อรู้สึกว่าถูกเกินไป จะเพิ่มราคาให้ก็ย่อมได้ เพิ่มสักสองร้อยตำลึงก่อนดีหรือไม่?”
ชายฉกรรจ์จ้องนางด้วยสายตาประหนึ่งหมาป่า อุ้มนางเดินไปทางเตียง
หลินหวั่นชิวหันไปมองประตู นางกางกรงเล็บ กรีดร้องในใจด้วยความปวดร้าว “ไม่นะ…”
สองร้อยตำลึงนี่ช่าง…คุ้ม!
จวบจนถึงเวลามื้อเย็น หลินหวั่นชิวก็ยังลุกจากเตียงไม่ได้
นางนอนตัวเปลือยอยู่ในผ้าห่ม มุดศีรษะเข้าด้านใน ไม่ต้องมองก็จินตนาการออกว่าทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยแดง
ริมฝีปากบวมเป่ง
แม้จะยังไม่ถึงขั้นสุดท้าย
แต่ว่า…
อสูรกายเจียงหงหย่วนผู้นี้…ไม่รู้ไปเรียนวิชามารมาจากที่ใด เล่นเอานางสับสนมึนงง ว่างเปล่าทั้งจิตใจและร่างกาย
ปรารถนา…
ทว่ามิอาจ…
นางเหมือนลูกโป่งที่ลอยค้างในอากาศ ลงมาไม่ได้
ในผ้าห่มมีกลิ่นที่เขาทิ้งไว้ อบอวลคละคลุ้งมาก
ชายฉกรรจ์ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วแสร้งเดินออกไปด้วยมาดจริงจัง
“ทานข้าวขอรับต้าเกอ พี่สะใภ้ล่ะขอรับ?” เสียงหงหนิงดังมาจากด้านนอก
เจียงหงหย่วนตอบอย่างเคร่งขรึม “สองสามวันมานี้พี่สะใภ้เ้าวิ่งวุ่นจนเหนื่อย ข้าจะไปยกน้ำร้อนให้นางแช่ตัวให้ผ่อนคลายเสียก่อน เ้ากินไปก่อน ประเดี๋ยวข้าค่อยยกไปกินในห้องกับพี่สะใภ้เ้า”
เจียงหงหนิงเป็ห่วงทันที “หา…เช่นนั้นต้าเกอต้องช่วยพี่สะใภ้นวดด้วยนะขอรับ เมื่อก่อนข้าเคยช่วยนวดให้เอ้อร์เกอ เอ้อร์เกอบอกว่าสบายตัวมาก”
“ข้ารู้น่า!” ไม่ต้องมายุ่ง!
เจียงหงหนิงเดินพูดตามหลังเจียงหงหย่วน “ต้าเกอช่วยบอกพี่สะใภ้ทีขอรับว่ามีศิษย์พี่ที่สถานศึกษาอยากมาช่วยระบายสี ฝากถามว่าเริ่มงานได้เมื่อไร พวกเขาแบ่งเวลาหลังเลิกเรียนได้วันละหนึ่งชั่วยาม หากเป็วันหยุดจะมาช่วยได้ทั้งวันหรือไม่ก็ครึ่งวัน”
เจียงหงหย่วน “อืม ข้าจะบอกพี่สะใภ้เ้าให้ ไว้นางตัดสินใจแล้วเ้าค่อยบอกพวกเขา”
หลังจากสลัดเด็กคนนี้หลุด ชายฉกรรจ์ยกน้ำร้อนสองถังเข้ามาในห้อง เทน้ำลงในอ่าง ใช้มือวัดอุณหภูมิ ออกไปยกน้ำเย็นเข้ามาเติมแล้วเดินไปอุ้มหลินหวั่นชิว
“ข้าเดินเองได้!” หลินหวั่นชิวประท้วง
น่าเสียดายที่ไม่เป็ผล
ชายฉกรรจ์เลิกผ้าห่มออก อุ้มนางที่ตัวเปล่าเปลือยไปวางในอ่างอาบน้ำ
“เ้าจ่ายมาตั้งสองร้อยตำลึง ข้าต้องปรนนิบัติให้สบายอยู่แล้ว เ้าจะได้ไม่คิดไปหาผู้อื่น”
คำพูดนี้เปรี้ยวราวกับไหน้ำส้มสายชูแตก เปรี้ยวไม่ไหว
หลินหวั่นชิวปิดปากแน่น ไม่กล้าพูดกระไรมั่วๆ อีก
ขืนยังพูดอีก นางกลัวตัวเองจะมีชีวิตรอดไม่พ้นคืนนี้ ต้องถูกชายฉกรรจ์ถลกหนังหักกระดูกกินลงท้องเป็แน่
โชคดี ชายฉกรรจ์คงเห็นว่าร่างกายนางเต็มไปด้วยรอยแดง ระหว่างช่วยอาบน้ำจึงไม่ได้ทำกระไรเกินเลยอีก
“เ้าแช่น้ำไปก่อน” เจียงหงหย่วนหยุดกลางคัน หันไปเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและปลอกผ้านวม แต่พรรคพวกตัวน้อยที่เริ่มสร้างป้อมปราการอีกครั้งกลับเผยอารมณ์ที่กำลังถาโถมกับเปลวไฟที่ใกล้ควบคุมไม่อยู่ของเขา
เปลี่ยนผ้าปูที่นอนกับปลอกผ้านวมเสร็จ เจียงหงหย่วนหาผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่มาห่อตัวหลินหวั่นชิวไปที่เตียง
จากนั้นเดินไปหยิบเสื้อผ้าให้อย่างคุ้นเคย
หากไม่ใช่เพราะบุรุษผู้นี้มีอวัยวะบางส่วนที่นูนจนยากจะบรรยาย นางคงถูกสีหน้าที่ไม่สะทกสะท้านของเขาหลอกเสียแล้ว
ทั้งที่ในใจร้อนรุ่มแทบทนไม่ไหว
สีหน้ากลับเฉยชาราบเรียบ!
ขี้โกหก!
ชายฉกรรจ์ที่ถูกภรรยาตัวน้อยแปะเครื่องหมายว่าคนโกหกไม่กล้าปล่อยให้ตัวเองอยู่ที่นี่นาน ขณะที่นำน้ำออกไปเทก็ยืนตากลมหนาวอยู่อย่างนั้นเป็เวลานาน ตากจนไฟในร่างกายสงบลงจึงไปยกกับข้าว
ทั้งคู่ไม่คุยกระไรกันระหว่างทานข้าว กระทั่งเมื่อทั้งคู่ขึ้นเตียง ชายฉกรรจ์รวบหลินหวั่นชิวมาในอ้อมกอดอย่างเคยชิน
หลินหวั่นชิวไม่กล้าแม้แต่จะผายลม
หากเกิดเหตุการณ์แบบก่อนหน้านี้อีก ชีวิตน้อยๆ ของนางคงไม่เหลือ
ทั้งคู่ไม่พูดกระไรกัน บรรยากาศทั้งอึดอัดทั้งกระอักกระอ่วน
อย่างน้อยก็สำหรับหลินหวั่นชิว เพราะชายฉกรรจ์มีความสุขดี พอใจที่ได้กอดภรรยาตัวน้อย
ท่ามกลางความมืด มุมปากเขายกยิ้มกว้าง
“เ้าได้ยินที่หงหนิงพูดแล้วใช่หรือไม่?” ผ่านไปสักพัก เจียงหงหย่วนเอ่ยปาก
เขารู้สึกว่าหากเขาไม่เป็ฝ่ายทำลายความเงียบ ภรรยาตัวน้อยคงได้อกแตกตายเพราะความอึดอัด
“ได้ยินแล้ว” หลินหวั่นชิวตอบเสียงเบา น้ำเสียงเกียจคร้านมีความอ่อนเพลีย ทำให้เจียงหงหย่วนอดนึกถึงเหตุการณ์ก่อนกินข้าวของทั้งคู่ไม่ได้
“ข้าจะทุ่มเทสุดความสามารถ ชีวิตนี้ไท่ไท่เลี้ยงดูข้าคนเดียวได้หรือไม่?” ริมฝีปากชายฉกรรจ์ััโดนใบหูของนางเบาๆ แม้เขาจะไม่เคยได้ยินคำว่าเลี้ยงดู (บุรุษ) แต่ว่า…เขากลับเข้าใจความหมายของคำนี้ มีความหมายเหมือนเลี้ยงหนุ่มหน้าขาวนั่นแหละ
เอ่อ…หน้าเขาดำ แล้วยังมีแผลเป็ ถือว่าเลี้ยงหนุ่มหน้าดำ[1]แล้วกัน
ภรรยาตัวน้อยของเขาไม่เหมือนผู้ใด ดูเอาเถิด ขนาดบุรุษที่เลี้ยงยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
(หลินหวั่นชิว “…เ้ารู้ตัวเองดีนี่”)
เชิงอรรถ
[1] หนุ่มหน้าดำ(小黑脸) เป็คำตรงข้ามกับหนุ่มหน้าขาว(小白脸) โดยหนุ่มหน้าขาวจะเป็คำด่าประมาณ ไก่อ่อน อ่อนต่อโลก ในบางครั้งก็ใช้บรรยายถึงหนุ่มหล่อ