ชายชุดม่วงเดินตรงไปยังที่นั่งกลางอัฒจันทร์
ตระกูลอวี่มีอิทธิพลอย่างมาก แม้รองเ้าสำนักเทียนอี้จะทำตัวไม่สุภาพ แต่เขาก็ได้เตรียมที่นั่งสำหรับพวกเขาไว้แล้ว หากตระกูลอวี่ไม่ได้ที่นั่งหลักก็ย่อมทำให้พวกเขาเสียหน้า
อย่างไรก็ตามตอนที่พวกเขากำลังนั่งลง กลับได้ยินรองเ้าสำนักหลงกล่าวว่า “นายท่านอวี่ ที่นั่งตรงนี้ท่านไม่สามารถนั่งได้”
“ข้าไม่สามารถนั่งได้?” ชายชุดม่วงขมวดคิ้วแล้วมองรองเ้าสำนักหลง ก่อนกล่าวว่า “หลงติ่ง หากข้าไม่สามารถนั่งได้ แล้วใครกันที่นั่งได้?”
“ข้าบอกได้เพียงว่าที่ตรงนี้มีเ้าของแล้ว ส่วนท่านจะนั่งหรือไม่นั้น มันก็เป็การตัดสินใจของท่าน” หลงติ่งกล่าวกับชายชุดม่วงอย่างไม่สุภาพนัก หลังจากนั้นเขาก็นั่งข้างที่นั่งหลักทันที ส่วนชายชุดม่วงยังลังเล
เมื่อครู่นี้ถ้าหลงติ่งนั่งตรงนั้น เขาจะต้องโกรธแน่ๆ ทว่าหลงติ่งไม่ได้นั่ง แต่ไปนั่งที่ถัดไปจากที่นั่งหลัก ทำให้เขาลุกขึ้นอย่างลังเล หรือว่ายังมีคนที่มีอิทธิพลมากกว่าเขา? แม้แต่หลงติ่งเองก็ไม่สามารถนั่งที่หลักได้
“หรือว่าเป็เขา?”
คนคนหนึ่งได้ปรากฏในความคิดของชายชุดม่วง จากนั้นก็พึมพำออกมา แล้วเขาก็นั่งที่นั่งถัดจากที่นั่งหลัก
ผู้คนจากสำนักเทียนอี้มองสิ่งที่เกิดขึ้นเงียบๆ และต่างคิดในใจ ดูเหมือนว่ารองเ้าสำนักหลงกับตระกูลอวี่จะมีเื่บางอย่างขึ้น คล้ายว่าพวกเขาไม่ค่อยเป็มิตรกัน การสนทนาของหลงติ่งและชายชุดม่วงจะเป็การโต้เถียงกัน จนดูเหมือนทั้งสองฝ่ายต่างเกลียดชังกัน
ผู้คนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่รวมถึงคนของตระกูลเนียต่างคนต่างนั่ง ไม่รู้ว่าเจตนาหรือไม่ที่ทำเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าผู้คนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่จะนั่งด้านข้างหลงติ่งและฝูงชนจากสำนักเทียนอี้
“ท่านรองเ้าสำนักหลง ข้าได้ยินมาว่าสำนักเทียนอี้ของท่านมีศิษย์ที่แข็งแกร่งถึง 10 คน ช่างร้ายกาจนัก ขณะที่ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ของข้าเพิ่งเปิดตัว ข้าอยากให้มีการประลองกันระหว่างลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่และสำนักเทียนอี้ ท่านคิดว่าอย่างไร?”
ท่ามกลางฝูงชนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ถึงคนนั้นจะกล่าวเสียงเบา แต่กลับทำให้ฝูงชนจากสำนักเทียนอี้ล้วนตกตะลึง
การสถาปนาของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ โดยได้เลือกศิษย์ที่โดดเด่นและมากไปด้วยพร์จากหลายนิกายใหญ่ มีแม้กระทั่ง 2 ใน 8 คุณชายแห่งเสวี่ยเยว่ ทว่าพวกเขาจากสำนักเทียนอี้ แม้จะแข็งแกร่งแต่พวกเขาจะสามารถแข่งกับศิษย์ที่โดดเด่นและมากไปด้วยพร์ของนิกายใหญ่ๆ ได้อย่างไร?
นิกายเฮ่าเยว่ นิกายหยุนไห่ นิกายหมื่นอสูร และหมู่บ้านเสวี่ยอิงซานต่างมีอิทธิพลอย่างมากในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ พวกเขาต่างอบรมสั่งสอนศิษย์อย่างมีประสิทธิภาพ และศิษย์ที่ยอดเยี่ยมต่างก็รวมกลุ่มกันที่ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่จะต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอน หากพวกเขาต่อสู้แน่นอนว่าสำนักเทียนอี้ต้องพ่ายแพ้
“สำนักเทียนอี้ของข้ายังต้องพัฒนาอีกมาก จะสามารถเทียบกับลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ได้อย่างไร อีกทั้งศิษย์ของเ้ายังมาจากนิยายใหญ่ๆ ทุกคนล้วนมีพร์ที่โดดเด่น จนข้ารู้สึกว่าหากจัดการแข่งขันขึ้นมา มันก็คงไร้ประโยชน์ เพราะพวกข้ายังถือว่าอ่อนแอนัก”
หลงติ่งกล่าวอย่างถ่อมตัวแต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประชดประชัน สำนักเทียนอี้นั้นยังอ่อนแอและยังต้องพัฒนาอีกมาก แต่พวกเ้าลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ใช้วิธีการดึงศิษย์ที่เก่งกาจจากสำนักอื่นๆ ดูไปแล้วไม่มีอะไรที่เป็ของตัวเองเลยสักนิด
อีกฝ่ายได้ยินหลงติ่งกล่าวเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้แยแสอะไร
ในขณะนั้นฝูงชนต่างมองเวทีประลองเป็ตาเดียว แต่เฮยม่อยังคงนั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับไปไหน ดูเหมือนกำลังรออีกคนที่ยังมาไม่ถึง
หลินเฟิง!
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว แสงตะวันสว่างจ้าค่อยๆ ส่งความร้อนออกมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ถึงเวลาเที่ยงวัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือหลินเฟิงยังมาไม่ถึง
“หลงติ่ง ศิษย์ของท่านช่างหน้าด้านนัก ที่ปล่อยให้พวกข้าต้องรอนานขนาดนี้” สีหน้าของชายชุดม่วงบ่งบอกถึงขีดความอดทนที่จำกัด เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเ็า ในใจก็นึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้ผู้คนจำนวนมากต้องรอนานขนาดนี้
“การต่อสู้ของหลินเฟิงและเฮยม่อ แน่นอนว่าต้องเป็วันนี้ แต่พวกเขาไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่นอนกัน” หลงติ่งตอบอย่างไม่แยแส
“หึ วันนี้? พวกข้าอุตส่าห์มารอที่นี่ ข้าคิดว่าทั้งสำนักเทียนอี้ต่างรู้เื่นี้กันแล้วเสียอีกว่าทำไมเขาถึงยังไม่มา แล้วนี่มันหมายความว่ายังไง?”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน หากหลินเฟิงมาแล้ว ท่านก็ถามเขาด้วยตัวเองเถอะ” น้ำเสียงของหลงติ่งยังคงไม่เป็มิตรเช่นเดิม
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น แต่ผู้คนจากสำนักเทียนอี้ก็เริ่มหมดความอดทนแล้วเช่นกัน พวกเขาต่างบ่นกันไม่หยุดหย่อน
“หลินเฟิงคนนี้ช่างหยิ่งยโสนัก ไม่คิดว่าจะมาช้าขนาดนี้”
“ฮ่าๆๆ บางทีเขาอาจรู้ตัวว่าไม่สามารถสู้ได้ หรือยังไม่พร้อมที่จะสู้ล่ะมั้ง” บางคนเริ่มกล่าวเยาะเย้ย
“เป็ไปไม่ได้ ถึงเขาจะไม่มาแต่เฮยม่อคงไม่ปล่อยเขาไป สู้ก็คือสู้ ไม่อยากสู้ก็ต้องสู้ หนีไปก็ไม่มีประโยชน์ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ต้องประลองกันอยู่ดี”
“บางทีเขาอาจหนีไปแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้”
ผู้คนต่างคาดเดาไปต่างๆ นานา แต่ไม่ว่าพวกเขาจะคิดเห็นอย่างไร หลินเฟิงจะปรากฏตัวหรือไม่ มันก็ล้วนเป็สิทธิ์ของพวกเขาที่จะตัดสินใจอยู่รอหรือกลับไป
ส่วนเฮยม่อยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบสงบ ราวกับว่าไม่มีเื่อะไรสามารถรบกวนเขาได้
ตะวันลับขอบฟ้า ยามค่ำเริ่มมาเยือน ทว่าบนเวทีประลองก็มีเพียงคนเดียว
เขาทำเกินไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะปล่อยให้พวกเขารอทั้งวัน
ฝูงชนเริ่มหมดความอดทนมากขึ้นเรื่อยๆ และมันทำให้พวกเขามั่นใจมากขึ้นว่าหลินเฟิงคงจะกลัวจึงไม่กล้าโผล่หน้ามา
“หลงติ่ง เื่นี้ท่านจะไม่จัดการอะไรเลยหรือ?” ชายชุดม่วงกล่าวอย่างเ็า หลินเฟิงทำให้เขารอมาทั้งวันแล้ว
“ยังไม่หมดวันเลย” หลงติ่งกล่าวขณะแหงนหน้ามองท้องฟ้า
ทางด้านกลุ่มคนจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ พวกเขาเริ่มหมดความอดทนเช่นกัน หลินเฟิงก็เป็ศิษย์คนหนึ่งของสำนักเทียนอี้ ทำไมถึงได้ทำตัวหยิ่งผยองขนาดนี้ ไม่คิดว่าหลินเฟิงจะปล่อยให้พวกเขาต้องเสียเวลารอเช่นนี้
“หลินเชียน เ้าบอกว่าหลินเฟิงเป็ลูกพี่ลูกน้องของเ้าใช่ไหม?”
ในขณะนั้นท่ามกลางฝูงชนจากสำนักเทียนอี้ ได้มีชายหนุ่มผู้หล่อเหลาคนหนึ่งถามหลินเชียน
“ก็ไม่เชิง” หลินเชียนขมวดคิ้ว ในวันนั้นที่ลานประลองเชลย เพราะหลินเฟิงสวมหน้ากากเงินจึงทำให้นางเกิดความคลางแคลงใจ ต่อมาเมื่อได้ยินว่าชายสวมหน้ากากเงินคือหลินเฟิง มันทำให้นางเกิดความสงสัยขึ้นมา ดังนั้นวันนี้นางจึงมาสำนักเทียนอี้เพื่อยืนยันด้วยสายตาของตนเอง
“แสดงว่าใช่แต่ก็ไม่ได้สนิทกัน เขาเป็แค่หนุ่มน้อยที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 หากข้า้าให้เขามีชีวิตอยู่ เขาก็จะอยู่ แต่ถ้าหากข้า้าให้เขาตาย เขาก็ต้องตาย”
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าและก้าวร้าวอย่างมาก
หลินเชียนยิ้มเล็กน้อยให้กับชายหนุ่มด้านข้าง พลางกล่าวว่า “ขอบคุณพี่ฉู่มาก”
ที่แท้ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาก็เป็อัจฉริยะจากนิกายเฮ่าเยว่ อีกทั้งยังเป็ถึงหนึ่งในแปดคุณชายแห่งเสวี่ยเยว่ แต่ตอนนี้ฉู่จ่านเผิงได้เข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่แล้ว
ในขณะนั้นจู่ๆ ฝูงชนเริ่มส่งเสียงดัง หลายคนต่างย้ายไปอยู่ด้านข้าง ทำให้เกิดทางเดินขึ้นมาทางหนึ่ง มีร่างหนึ่งกำลังเดินมาช้าๆ
“นั่นหลินเฟิง หลินเฟิงมาแล้ว!”
หลายคนส่งเสียงอุทานออกมา พวกเขาคิดไปแล้วว่าวันนี้หลินเฟิงจะไม่กล้ามาที่นี่ แต่คาดไม่ถึงว่าหลินเฟิงจะปรากฎตัวในเวลาค่ำเช่นนี้
หลินเฟิงในตอนนี้สวมชุดสีขาวดูสะอาดตาและแบกดาบโบราณไว้ด้านหลัง หลินเฟิงกำลังเดินไปที่ลานประลอง แต่ละก้าวของเขาล้วนหนักแน่น หากสังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่า ระยะห่างของฝีเท้าแต่ละก้าวล้วนเท่ากัน
บนอัฒจันทร์สูง 5 เมตร ทุกคนสามารถเห็นหลินเฟิงได้ชัดเจน
เมื่อหลินเชียนเห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่คุ้นเคย นางจึงรู้สึกว่าร่างกายของนางกำลังสั่นเทา จึงเข่าอ่อนหย่อนกายบนเก้าอี้หิน
หลินเฟิง อย่างที่คิด… ที่แท้ก็เป็เขาจริงๆ
เมื่อก่อนหลินเฟิงเป็แค่ขยะ แต่วันนี้กลับมีชื่อเสียงอย่างมาก และได้รับความสนใจจากผู้คนทั้งลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ตระกูลเนี่ย แม้กระทั่งตระกูลอวี่ต่างก็มาที่นี่เพื่อดูหลินเฟิง
นานมาแล้วตระกูลหลินมีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่มีใครไม่รู้จักหลินเชียน นั่นทำให้หลินเฟิงและบิดาของเขาต้องถูกขับไล่ออกจากตระกูล แต่ตอนนี้นางกลับไม่เป็ที่รู้จักของใครๆ อีกแม้จะเข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ก็ตาม แต่ทำไมหลินเฟิงถึงสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 ได้อย่างง่ายดาย แต่นางกลับเพิ่งทะลวงขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 มาได้เอง มิหนำซ้ำนางยังรู้สึกภาคภูมิใจกับตัวเองอย่างมากที่ทำเช่นนั้นได้
สีหน้าของหลินเชียนเผยให้เห็นอารมณ์ที่ซับซ้อน มันมีทั้งความอับอาย ความอิจฉาริษยา แม้กระทั่งแววตาที่เยือกเย็น แน่นอนว่านางจะต้องสังหารหลินเฟิงให้ได้ และจะไม่ปล่อยเขาให้รอดกลับเมืองหยางโจวไปได้
ไม่อย่างนั้นในอนาคต คนที่จะมีเกียรติและศักดิ์ศรีในตระกูลหลินแห่งเมืองหยางโจวจะเป็หลินเฟิง ไม่ใช่หลินเชียนอีกต่อไป
เฮยม่อดูเหมือนััอะไรบางอย่างได้จึงลืมตาขึ้น จากนั้นก็มีลมปราณที่หนาวเหน็บปล่อยออกมาจากร่าง แล้วเขาก็จ้องเขม็งไปที่หลินเฟิง
หลินเฟิงก็มองเฮยม่อเช่นกัน เขาเดินไปที่เวทีประลองโดยมีลมปราณที่หนาวเหน็บได้กดทับบนร่างกายเขา แม้จะอยู่ไกลจากเฮยม่อก็ตาม
หลินเฟิงก็ปลดปล่อยลมปราณออกมาขณะก้าวเดินไปข้างหน้าเช่นกัน มันทั้งแหลมคมและทรงพลังมาก แม้เขาจะยังไม่ถึงเวทีประลอง แต่เฮยม่อก็รู้สึกได้ถึงลมปราณนี้ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มการต่อสู้กันด้วยลมปราณ