เนื่องจากตารางงานค่อนข้างกระชั้นชิด เวลาในการเตรียมความพร้อมสำหรับภาพยนตร์เื่《เข้างานต้องตั้งใจ》ก็บีบอัดเข้ามา หลังจากฉีลั่วอิ่งประชุมอ่านบทเสร็จก็ต้องไปปรึกษาผู้กำกับฝ่ายศิลป์และแฮร์สไตลิสต์เื่เสื้อผ้าหน้าผมต่อ จากนั้นแฮร์สไตลิสต์ก็ตัดและย้อมผมสีเกาลัดให้กลายเป็สีดำในทันที และสุดท้ายก็ไปถ่ายรูปฟิตติ้งง่ายๆ ที่สตูดิโอถ่ายภาพด้านข้าง
ส่วนเมิ่งเชวี่ยไป๋ถ่ายรูปฟิตติ้งเสร็จไปนานแล้ว หลังประชุมอ่านบท ผู้จัดการก็พาเขาเดินทางไปยังตารางงานอื่นต่อ
่บ่ายเซวียข่ายซินกลับไปจัดการเื่ที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจา เหลือเพียงผู้ช่วยอาโย่วที่คอยอยู่เป็เพื่อนฉีลั่วอิ่ง รวมถึงช่วยดูแลด้านอาหารการกิน การทำธุระ และการเดินทางต่างๆ
หลังจากวุ่นวายมาทั้งวัน ในที่สุดฉีลั่วอิ่งก็เสร็จงานทั้งหมดของวันนี้ เขานั่งอยู่บนรถโดยมีอาโย่วเตรียมขับกลับบ้าน ฉีลั่วอิ่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ชื่นชมทิวทัศน์ของถนนในเมืองยามค่ำคืน เมื่อนึกย้อนไปถึงเื่ที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้วก็ยังคงกังวลกับโทรศัพท์มือถือของเมิ่งเชวี่ยไป๋อยู่
“อาโย่ว นายช่วยซื้อโทรศัพท์ให้ฉันสักเครื่องได้ไหม?”
“ฉีเกอ พี่อยากเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเหรอ? รุ่นอะไรล่ะ? พรุ่งนี้มีเวลาว่างเดี๋ยวผมไปซื้อให้”
“ไม่ใช่ของฉันหรอก” ฉีลั่วอิ่งคิดว่าไม่มีความจำเป็จะต้องปิดบังจึงสารภาพไปตามตรง “ฉันทำโทรศัพท์มือถือของเมิ่งเชวี่ยไป๋ตกพื้น”
“อะไรนะ? ไม่ใช่ว่าพวกพี่เพิ่งเจอกันวันนี้วันแรกเหรอ?”
ความจริงแล้วก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอกันแต่ฉีลั่วอิ่งก็ี้เีอธิบาย เขานั่งอย่างผ่อนคลายที่เบาะหลัง เหยียดแขนขาที่อ่อนล้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “สรุปสั้นๆ ก็คือมันเป็อุบัติเหตุ นายซื้อโทรศัพท์รุ่นที่ดีที่สุดมาก็แล้วกัน รูดบัตรฉัน”
ใบหน้าของอาโย่วผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ทีแรกเขาคิดว่าจะมีเื่ซุบซิบอะไรให้ฟัง แต่ในเมื่อฉีลั่วอิ่งไม่พูดเขาก็ทำได้เพียงกดจิติญญาแห่งการซุบซิบลงไป และถามรายละเอียดของงานที่ได้รับมอบหมายอย่างจริงจัง “มีโทรศัพท์มือถือที่ชอบเป็พิเศษไหม?”
ฉีลั่วอิ่งนึกภาพโทรศัพท์ของเมิ่งเชวี่ยไป๋ที่เห็นในวันนี้ เนื่องจากหน้าจอของมันหันลงกระแทกกับพื้นจึงเห็นโลโกด้านหลังโทรศัพท์ชัดเจนมาก แม้ว่าฉีลั่วอิ่งจะไม่ได้สังเกตว่ารุ่นอะไร แต่ก็พอมองออกว่าเป็ยี่ห้ออะไรจึงบอกยี่ห้อกับอาโย่ว
“สีล่ะ?”
“สีขาว”
“ได้ ผมจำได้ว่าพรุ่งนี้ฉีเกอมีถ่ายนิตยสารและสัมภาษณ์ เวลาทำงานค่อนข้างนาน เดี๋ยวผมส่งพี่แล้วค่อยไปซื้อโทรศัพท์ พอซื้อเสร็จแล้วจะเอาไปส่งให้พี่นะ”
การเปลี่ยนตัวนักแสดงในเื่《บันทึกการเดินทางยามราตรีสู่ตะวันออก》ทำให้เกิดกระแสพูดคุยบนโลกออนไลน์อย่างมาก บ้างก็บอกว่าเป็เพราะความนิยมของฉีลั่วอิ่งลดลงแล้วนักลงทุนถึงได้เปลี่ยนใจ บ้างก็ว่าเพราะฉีลั่วอิ่งวางท่าใหญ่โต มีข้อเรียกร้องเยอะเกินไป ถึงได้ถูกผู้กำกับเปลี่ยนตัว
ด้วยเหตุนี้ เซวียข่ายซินจึงรับงานถ่ายนิตยสารและงานสัมภาษณ์ให้ชั่วคราวเพื่อกลบข่าวลือ เป็การแสดงภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าสาธารณชน ทำให้นักข่าวพูดกันว่าเขามีนิสัยสบายๆ เป็กันเอง รวมถึงยังสามารถสร้างกระแสให้หนังก่อนเปิดกล้องได้อีกด้วย เหมือนเป็การบอกนัยๆ ว่าแม้จะถูกเปลี่ยนตัวในเื่《บันทึกการเดินทางยามราตรีสู่ตะวันออก》แต่เขาก็มีหนังเื่อื่นให้ถ่าย
ฉีลั่วอิ่งไม่ได้บ่นเื่งานชั่วคราวที่เพิ่มขึ้นมานี้ สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องจัดการสถานการณ์ยุ่งเหยิงจากความเอาแต่ใจที่เขาก่อขึ้นมาด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้เซวียข่ายซินเตือนเขาก็รู้ดีว่าจะพลาดการสัมภาษณ์นี้ไม่ได้เด็ดขาด
เพราะหลังจากนิตยสารตีพิมพ์ ทั้งสื่อดั้งเดิมและสื่อออนไลน์ก็จะมีการประชาสัมพันธ์รายงาน จนผู้คนค่อยๆ ลืมข่าวเก่าๆ ไป และเมื่อถึงตอนนั้นก็จะไม่มีใครพูดเื่ที่เขาได้รับความนิยมลดลงหรือวางท่าใหญ่โตอีก
“นายซื้อแล้วก็ส่งให้เมิ่งเชวี่ยไป๋โดยตรงเลย” ฉีลั่วอิ่งตอบกลับไปหนึ่งประโยคอย่างเกียจคร้าน หยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดแอปโซเชียล เมินข้อความส่วนตัวจากเหยาเข่อเล่อที่บ่นว่าคืนนี้ต้องทำงานจนดึกและผู้จัดการไม่มีมนุษยธรรม แล้วเปลี่ยนบัญชีเพื่อเข้าอู้รู่ฉีถู เขาอยากรู้ว่าคืนนี้เมิ่งไป๋ไป๋จะโพสต์อะไรหรือเปล่า
อาโย่วยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง “ผมจะรู้ได้ยังไงว่าเมิ่งเชวี่ยไป๋อยู่ที่ไหน?”
“ส่งไปที่บริษัทของเขาสิ”
“ถ้าส่งไปดื้อๆ แบบนี้คงถูกมองว่าเป็แฟนคลับแปลกๆ แน่ การ์ดกับพนักงานรักษาความปลอดภัยก็คงไม่ปล่อยไว้เฉยๆ ด้วย”
“เซวียเกอน่าจะรู้จักกับผู้จัดการของเมิ่งเชวี่ยไป๋ ฉันจะขอให้เซวียเกอช่วยติดต่อให้หน่อย นายไปพรุ่งนี้ไม่มีใครมาขัดขวางแน่นอน ใช่แล้ว เดี๋ยวฉันจะเขียนการ์ดไปสักใบส่งไปพร้อมกับโทรศัพท์มือถือด้วย”
“ฉีเกอฉลาดมาก”
ฉีลั่วอิ่งจัดการเื่ส่งโทรศัพท์ให้เมิ่งเชวี่ยไป๋เสร็จก็เข้าไปท่องในอู้รู่ฉีถูอยู่พักหนึ่ง เขาพบว่าวันนี้เมิ่งไป๋ไป๋เงียบมาก ไม่ได้โพสต์อะไร แล้วก็ไม่ได้คอมเมนต์ใต้โพสต์ของคนอื่นด้วย
ไม่รู้ว่าคนคนนี้กำลังทำอะไรอยู่ แต่ฉีลั่วอิ่งมีอะไรอยากจะพูดด้วยจึงส่งข้อความไปหาเมิ่งไป๋ไป๋
สุ่ยเก้ออี้ฟาง : “อยู่ไหม?”
แต่เขาก็ต้องจนใจ เพราะผ่านไปนานแล้วแต่เมิ่งไป๋ไป๋ยังไม่ตอบกลับมา
ฉีลั่วอิ่งรู้สึกเบื่อแทบตาย จึงตัดสินใจปรึกษาปัญหาชีวิตกับผู้ช่วยของเขา “อาโย่ว นายจะให้เพื่อนดูมือถือของนายไหม?”
อาโย่วขับรถไปด้วยและครุ่นคิดอย่างจริงจังไปด้วย “ต้องดูว่าเป็เพื่อนแบบไหน แฟนสาวเหรอ? ถึงผมจะไม่มีแฟน แต่ผมก็จินตนาการถึงสถานการณ์นั้นได้”
ฉีลั่วอิ่งขัดภาพในหัวของอาโย่วทันที “ไม่ต้องจินตนาการแล้ว เป็ผู้ชายที่เพิ่งเจอกันแค่สองครั้ง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่เพื่อนที่สนิทกันน่ะสิ? แล้วก็ยังเป็ผู้ชายอีกด้วย” อาโย่วอุทานออกมาครั้งหนึ่ง “ในเมื่อไม่สนิทกันก็ไม่มีทางให้ดูอยู่แล้ว ถ้าเขาเห็นรูปก้นในอัลบั้มของผมขึ้นมาจะทำยังไง?”
ทันใดนั้นฉีลั่วอิ่งก็รู้สึกเสียใจที่เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา “นายไม่ต้องเอาความชอบด้านนี้มาบอกฉันก็ได้”
“เดี๋ยวก่อน! อย่าบอกนะว่าฉีเกอเห็นผมเป็โรคจิตไปแล้วน่ะ?”
“ในเมื่อนายมีความตระหนักรู้ในตัวเอง ฉันก็ไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว”
อาโย่วชี้แจงด้วยความตื่นตระหนกทันที “ทั้งหมดนั่นเป็ก้นของผมเอง!”
ฉีลั่วอิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่าไม่น่าจะมีอะไรดีขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้ “นายไม่ต้องอธิบายแล้ว”
“ก้นผมมีสิวขึ้นมาหลายเม็ด แต่มองไม่เห็นเลยบีบยากมาก ทำได้แค่ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูป! เื่แบบนี้ปกติมากเลยนะ ใครๆ ก็เป็กันไม่ใช่เหรอ?”
ฉันไม่เป็!
เมิ่งเชวี่ยไป๋ก็คงไม่เป็เหมือนกันใช่ไหมนะ?
----------
เมิ่งเชวี่ยไป๋ : “ใครเรียกฉัน?”
ความในใจของอาโย่ว : “ฉันไม่ควรพูดความลับออกมาเลย…”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้