รถสปอร์ตย้ายเลนตรงไปในทิศตะวันออกของเมืองจงไห่ซึ่งเป็พื้นที่ก่อสร้าง
หลังจากมาถึงเขตที่ถูกทิ้งร้างใน่ของการก่อสร้าง หยางเฉินชะลอรถและจอดอยู่ด้านข้างของถนนเขาหยิบบุหรี่ออกมาจุดเงียบๆ ยืนพิงรถมองไปยังรถคันกำลังจะมาถึง
ห่างออกไปไม่ไกล รถฮอนด้าแอคคอร์ดสีดำก็หยุดลง ชาย 4 คนเดินออกมาทั้งหมดมองหยางเฉินด้วยท่าทีดุร้าย
"นายรู้ตัวได้ยังไง"ชายผิวสีแทนสวมเสื้อลายดอกไม้เอ่ยถาม
"แค่ความรู้สึกน่ะ"หยางเฉินยิ้ม
ชายเสื้อลายดอกเลิกคิ้วขึ้นกล่าวว่า
"แล้วทำไมนายถึงพาพวกเรามาที่นี่นายคิดหรือไงว่าถ้าเปลี่ยนเส้นทางแล้วพวกเราจะเลิกติดตาม"
หยางเฉินอัดควันเข้าปอดเขาเริ่มมีเงินบ้างแล้วแต่บุหรี่ที่เขาสูบนั้นทั้งแรงและราคาถูกหลังจากเป่าควันเป็รูปวงแหวนควันแล้ว หยางเฉินก็ยิ้มกล่าวว่า
"ฉันไม่ได้บอกให้พวกนายไปฉันอยากจะให้พวกนายปรากฏตัวมากกว่า"
"หมายความว่าอย่างไร?"ชายเสื้อลายดอกนั้นยังสับสนกับสถานการณ์ในปัจจุบันทั้งหมดได้รับคำสั่งให้ติดตามสืบค้น เบื้องลึกเื้ัและสถานะชายผู้นี้อย่างไรก็ตามสถานการณ์ทำให้พวกเขาไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
หยางเฉินชำเลืองมองเผยรอยยิ้มแปลกๆ กล่าวว่า
"พวกนายไม่รู้หรือไงว่าที่นี่ไม่มีกล้องรักษาความปลอดภัยใดๆ?"
พื้นที่นี้เป็เขตก่อสร้างเก่าที่รกร้างจึงไม่มีทั้งผู้คนอยู่ในบริเวณนี้
"กล้องวงจรปิด?"ชายเสื้อลายดอกเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
"ผมควรจะเป็คนเตือนนายมากกว่าเมื่อปราศจากกล้องวงจรปิดพวกเราก็สามารถทำอะไรก็ได้"
"ถ้าหากตรงกันข้ามล่ะ?"หยางเฉินยักไหล่
"พี่ใหญ่สารเลวนี่้าจะสู้ มันช่างโง่จริงๆ" หนึ่งในลูกน้องพูดพลางหัวเราะเยาะ
ใบหน้าของชายเสื้อลายดอกนั้นเปล่งรัศมีแห่งความปีติ
"น้องชาย...โปรดรู้ไว้ด้วยว่าถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้รับคำสั่งมาให้ทำอะไรกับน้อง แต่วันนี้พวกเราจะทำก่อนขอโทษทีหลัง"
"พวกนายนี่น่ารำคาญจริงๆ"
"อยากทำอะไรก็รีบทำฉันต้องรีบกลับบ้านไปกินข้าวเย็น"
"ไม่อยากโตแล้วใช่ไหมไอ้เด็กน้อย!"
ชายหนวดเคราครึ้มเดินไปข้างหน้าตามมาด้วยอีกสามคนข้างหลัง
"ข้าจะบอกอะไรให้ลมปากนั่นไม่มีผลต่อพวกข้า พวกเราใช้หมัดคุยกันเท่านั้น"ชายหนวดเคราครึ้มถ่มน้ำลายใส่กำปั้นของตน พร้อมเหวี่ยงหมัดเข้าหน้าหยางเฉิน
หยางเฉินหลบหมัดนั้นอย่างง่ายดาย
"เมื่อฉันกลับมาที่ประเทศนี้ฉันได้บอกกับตัวเองว่าถ้าไม่โดนข่มขู่หรือเริ่มก่อน ฉันก็จะไม่ทำอะไร ต้องขอบใจพวกแกจริงๆ"
"บุกเข้าไปพร้อมกันเลย"ชายเสื้อลายดอกมีน้ำโหอย่างแท้จริงแล้ว ถ้าเขาไม่สามารถจัดการกับเด็กเหลือขอคนนี้ได้พวกเขายังจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนอีก
แต่การจู่โจมของคนทั้งสี่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์หยางเฉินใช้ความเร็วและพละกำลังอันมหาศาล หักนิ้วหักแขนสร้างาแฉกรรจ์หลายแห่งให้คนทั้งสี่เวลานี้กลายเป็ว่าหยางเฉินจัดการกับคนทั้งสี่อยู่ข้างเดียว
"พวกเราสู้มันไม่ได้เลย!!"ชายหนวดเคราครึ้มะโออกมาด้วยใบหน้าบวมเป่ง
ชายเสื้อลายดอกเองก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มผู้นี้
"กลับขึ้นรถ!"
ได้ยินดังนั้นพวกที่เหลือต่างรีบวิ่งหนีกลับไปที่รถ
หยางเฉินไม่ได้ขัดขวางใดๆเพียงแค่ส่งยิ้มหวานให้ เฝ้ามองจนกระทั่งพวกนั้นขึ้นรถไปแล้ว
เมื่อฮอนด้าแอคคอร์ดกำลังจะออกตัวหยางเฉินก็หยิบก้อนหินขึ้นมาหนึ่งก้อน
ภายในรถชายเสื้อลายดอกและลูกน้องต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกแม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะชายหนุ่มได้ แต่ถ้าพวกเขากลับไปรายงานเบื้องบนพวกเขาจะกลับมาพร้อมกับพรรคพวกจำนวนมาก ชายหนุ่มผู้นี้จะทำอะไรได้
อย่างไรก็ตามความฝันและความเป็จริงนั้นต่างมีเส้นบางๆ ขวางกั้นอยู่...
หลังจากทดสอบน้ำหนักของหินแล้วหยางเฉินหลับตาลงข้างหนึ่ง ง้างแขนให้ได้องศาที่พอเหมาะ บิดเอวจากนั้นจึงขว้างหินไปที่รถด้วยความเร็วสูง หินก้อนนี้คล้ายพุ่งตัวคล้ายะุปืนใหญ่ขนาดเล็กฉีกผ่านอากาศเข้าหาเป้าหมาย!
ปัง!!!
เป็ความเร็วที่ไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่าก้อนหินพุ่งเข้ากระแทก ถังน้ำมันจากด้านข้าง...
บึ้ม!!!
รถทั้งคันถูกห่อหุ้มไปด้วยอัคคีสีแดงฉานที่ร้อนระอุกลุ่มควันสีดำโขมงก่อตัวลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าฮอนด้าแอคคอร์ดสีดำคันนี้ยังคงเคลื่อนที่ไปเหมือนลูกไฟแล้วพุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้าข้างทางอย่างรุนแรง!
ในชั่วพริบตาฮอนด้าแอคคอร์ดคันนี้ก็กลายเป็เถ้าถ่านสีดำโดยสมบูรณ์
หยางเฉินมองการตายของคนทั้งสี่ด้วยสายตาเหมือนกำลังชื่นชมงานศิลปะเหตุผลที่เขารอคอยจนกระทั่งทั้งหมดขึ้นรถไปแล้ว เพราะกลัวตำรวจอาจพบเบาะแสบางอย่าง
นอกจากนี้หยางเฉินยังเป็โรคจิตที่ชื่นชอบในการฆ่าคนโดยที่เหยื่อยังไม่รู้ตัว ซึ่งเขาไม่ได้คิดอยากจะรักษาให้หายครั้งนี้ถือว่าเขาเบามือไปมาก เมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา
"เกิดมาชาติหน้าไปซื้อรถยุโรปขับซะเพราะรถญี่ปุ่นน่ะมันเปราะเกินไป จำใส่หัวไว้ด้วย"หยางเฉินฉีกยิ้มแล้วเดินไปที่รถเตรียมตัวกลับบ้าน
หยางเฉินคิดว่าหัวหน้าของเ้าพวกนั้น้าตรวจสอบวิถีชีวิตและคนใกล้ชิดของเขาแน่ๆแต่หยางเฉินยังคงคิดไม่ออกว่ามันเป็ใคร
เมื่อแน่ใจว่าคงไม่ได้ข้อสรุปแล้วหยางเฉินก็ถอนหายใจด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
"แต่ถ้าพวกมันเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคนของฉันเมื่อไหร่...พวกมันทั้งหมดจะต้องตาย..."
หลังจากเอร็ดอร่อยกับอาหารเย็นแล้วป้าหวังก็นำกระเป๋าใส่นิตยสารแฟชั่นส่งให้หยางเฉินพลางยิ้มให้แล้วกล่าวว่า
"คุณชายคะนี่เป็นิตยสารที่คุณหนูสมัครเป็สมาชิกไว้ วันนี้มันเพิ่งถูกส่งมาถ้ายังไงคุณชายช่วยนำไปให้คุณหนูด้วยนะคะ"
หยางเฉินที่กำลังดูข่าวในโทรทัศน์อยู่เมื่อได้ยินดังนั้นก็รับกระเป๋ามาด้วยความยินดี
"ป้าหวังเพียงแค่ทำอาหารอร่อยๆก็พอแล้วครับ ส่วนงานอื่นๆ นั้นผมรับผิดชอบเอง"
"ไม่ได้นะคะ"ป้าหวังตัดบท
"อย่าพูดแบบนี้เลยค่ะคุณชายความปรารถนาของฉันคืออยากให้คุณชายดูแลคุณหนูให้บ่อยขึ้นคุณหนูจะได้เห็นว่าคุณชายเป็ยังไง และต่อไปในอนาคตคุณทั้งสองจะสามารถใกล้ชิดกันมากขึ้น"
หยางเฉินฝืนยิ้มและกล่าวว่า "ป้าหวังครับเห็นป้าพยายามส่งหลินรั่วซีมาให้ผมขนาดนี้ ทำไมป้าถึงเชื่อใจผมนักล่ะ"
ป้าหวังตอบตามตรงว่า
"คุณชายคะฉันเฝ้ามองการเติบโตของคุณหนูอยู่ตลอดในชีวิตนี้ฉันไม่สามารถเลี้ยงดูคุณหนูไปตลอดชีวิตได้หรอกค่ะฉันรู้สึกอายที่จะพูดเื่นี้แต่ฉันเห็นคุณหนูเป็ลูกคนหนึ่งหลังจากที่คุณหญิงจากไป ฉันก็หวังเสมอว่าจะสามารถทำให้บ้านหลังนี้เป็บ้านที่อบอุ่นได้แล้วผู้ชายแต่ละคนที่เข้าหาคุณหนูต่างก็ไม่มีใครหวังดีทั้งนั้น"
ป้าหวังกล่าวพลางมองไปที่หยางเฉินด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น
"ถึงฉันจะอายุมากแต่ฉันก็มองคนไม่เคยพลาด ถึงคุณชายจะไม่พูดออกมา แต่ฉันรู้ว่าคุณแคร์คุณหนูอย่างแท้จริงในวันที่คุณหนูสลบไป ฉันเห็นความกังวลในแววตาคุณอย่างชัดเจน แต่เช่นเดียวกับคุณหนูบางครั้งคุณชายก็หวงศักดิ์ศรีของตัวเองมากไปแต่อย่าลืมเชียวนะคะว่าความรักไม่ใช่เื่ของศักดิ์ศรี"
หยางเฉินเงียบไปสักครู่ก่อนเผยรอยยิ้มกล่าวว่า
"ป้าหวังป้าน่าไปเป็สุดยอดนักจิตวิทยานะ คำพูดของป้าทำให้ผมสงสัยว่าแท้จริงแล้วผมคือใครกันแน่"
"อย่าคิดมากเลยค่ะคิดซะว่าเป็เพียงคำพูดเลอะเทอะของคนแก่ก็แล้วกันฉันคิดว่าคุณควรรีบนำหนังสือพวกนั้นไปให้คุณหนูนะคะ ไม่งั้นคุณหนูจะเข้านอนเสียก่อน"
หยางเฉินหยิบกระเป๋านิตยสาร เขาเปิดดูเล็กน้อย ภายในกระเป๋าส่วนใหญ่เป็นิตยสารแฟชั่นต่างประเทศของแบรนด์ที่มีชื่อเสียง สินค้าหรูหราตามฤดูกาล ซีอีโอของบริษัทแฟชั่นจำเป็ที่จะต้องเข้าใจในผลิตภัณฑ์เหล่านี้
ในขณะที่กำลังขับรถมุ่งหน้าไปโรงพยาบาลหยางเฉินเหลือบมองไปที่ร้านที่มีไฟเปิดอยู่ เขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
หยางเฉินมาถึงโรงพยาบาลในเวลาเกือบสี่ทุ่มห้องคนไข้ส่วนใหญ่นั้นปิดไฟไปแล้ว แต่ห้องของหลินรั่วซียังคงสว่างไสวเขาเปิดประตูเข้าไปอย่างคล่องแคล่ว แล้วจึงเห็นได้ว่าหลินรั่วซีไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว
แขกที่มาเยี่ยมในวันนี้คืออู๋เยวี่ยเลขาผู้รู้จักกันในนาม รันเวย์สนามบิน(ด้วยหน้าอกที่ราบเรียบ)ลักษณะของเธอนั้นเรียนรู้มาจากหลินรั่วซีเต็มๆคือทั้งเ็าและน่าเบื่อ
หลินรั่วซีนอนอยู่บนเตียงด้านหน้าของเธอเป็โต๊ะที่มีกองเอกสารวางอยู่พร้อมปากกาในมือที่กำลังขีดเขียนอะไรบางอย่าง อู๋เยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็กำลังส่งต่อเอกสารอย่างไม่หยุดหย่อนหลังจากที่เห็นหยางเฉิน อู๋เยวี่ยก็เลิกคิ้วขึ้น
"นายมาทำอะไรที่นี่?"
หยางเฉินชูกระเป๋านิตยสารในมือขึ้น"ผมมาส่งนิตยสาร"
"ทำไมนายถึงเป็คนมาส่งนายคิดว่านายเป็อะไรกับซีอีโอ?" อู๋เยวี่ยพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
หยางเฉินครุ่นคิดสักพักเธอถือว่าเป็ผู้ช่วยที่เชื่อถือได้ของหลินรั่วซีดังนั้นมันคงจะไม่ใช่เื่ใหญ่อะไรหากเขาจะบอกความจริงแต่ก่อนที่หยางเฉินจะได้ทำอะไร เสียงใสก็ดังขึ้น
"เขาเป็ญาติห่างๆของฉันเอง" หลินรั่วซีส่งสัญญาณให้หยางเฉินรู้ว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร
จากสามีตามกฎหมายกลายเป็''ญาติห่างๆ''หยางเฉินลูบจมูก เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เ็ปเล็กน้อยเขาเคยคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับหลินรั่วซีกำลังไปในทางที่ดีแต่ดูเหมือนว่าขณะนี้ในสายตาหลินรั่วซี เธอยังคงไม่ยอมรับหยางเฉินและไม่เคยคิดว่าเขาเป็สามีของเธอ
หยางเฉินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่เขาก็คิดไว้ก่อนแล้วว่า หญิงสาวขั้วโลกคนนี้ยากที่จะชนะใจหยางเฉินไม่พูดอะไรต่อ เพียงแค่แย้มยิ้มและวางกระเป๋าไว้ข้างเตียงจากนั้นกล่าวสั้นๆ ว่า
"ป้าหวังบอกให้ผมส่งของพวกนี้มาให้คุณเธอว่ามันเป็นิตยสารที่คุณสั่งมาในเดือนนี้"
อู๋เยวี่ยเข้าใจได้ทันทีเธอสันนิษฐานได้ว่าชายคนนี้เป็คนที่มีชื่อเสียงแปลกๆเมื่อทราบว่าเขาเข้ามาทำงานที่นี่โดยใช้สถานะของ ญาติห่างๆนั่นทำให้เธอมองหยางเฉินด้วยความรังเกียจมากกว่าเดิม
"หมดธุระแล้วก็ออกไปซะอย่ารบกวนซีอีโอขณะที่ทำงาน"
หยางเฉินอยากจะกล่าวเตือนหลินรั่วซีว่าอย่าทำงานในเวลากลางคืนแต่หลังจากที่เห็นเธอยุ่งกับเอกสารโดยไม่สนใจจะพูดคุยกับเขาเขาจึงได้แต่ต้องยอมจำนน
"งั้นผมกลับล่ะ"แม้ว่าเขาจะค่อนข้างไม่พอใจอู๋เยวี่ยแต่เธอก็คือเลขาของหลินรั่วซี เขาจึงเก็บความโกรธนี้ไว้ แล้วเดินจากออกจากห้องไป
เมื่อหยางเฉินหันหลังเตรียมออกไปหลินรั่วซียกศีรษะขึ้นเล็กน้อย ดวงตาจับจ้องแผ่นหลังของหยางเฉิน เขาดูโดดเดี่ยวไร้ชีวิตชีวาภายใต้แสงไฟ นั่นทำให้หลินรั่วซีรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆเธอไม่เคยแม้แต่จะขอบคุณเขาด้วยซ้ำ
เมื่อหยางเฉินจากไปแล้วหลินรั่วซีก็ถอนหายใจออกมา และจัดการกับกองเอกสารตรงหน้าต่อ
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ยามนี้ค่อนข้างดึกมากแล้วอู๋เยวี่ยลังเลเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นว่า "บอสวันนี้พอแค่นี้เถอะค่ะ ที่เหลือฉันจะให้หัวหน้าโม่จัดการในวันพรุ่งนี้เองเวลานี้บอสควรจะพักผ่อนให้มากๆ นะคะ"
หลินรั่วซีลูบขมับวันนี้เธอกินยา และยังต้อนรับคนผู้ที่มาเยี่ยม นั่นทำให้เธอค่อนข้างเหนื่อย
"บอกหัวหน้าโม่ด้วยว่าฉันจะจัดการกับงานแฟชั่นฤดูใบไม้ผลิด้วยตัวเอง"
"เข้าใจแล้วค่ะบอส"
อู๋เยวี่ยทำงานได้รวดเร็วยิ่งภายในเวลาไม่ถึง 5 นาทีเอกสารทั้งหมดก็ถูกจัดเก็บเรียบร้อย เธอบอกลาหลินรั่วซี และเดินออกจากห้องไป
หลินรั่วซีผ่อนคลายร่างกายสูดลมหายใจลึกและเอนกายพิงหมอนนุ่มดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปที่กระเป๋าใบที่หยางเฉินนำมา เธอตั้งใจจะอ่านนิตยสารก่อนนอน
เมื่อที่เธอเปิดกระเป๋ากลิ่นหอมที่คุ้นเคยของขนมข้าวปั้นก็ลอยออกมา หลินรั่วซีตะลึงไปชั่วขณะเธอรีบค้นกระเป๋าดู และพบว่าบอกจากนิตยสารแฟชั่นแล้วยังมีขนมข้าวปั้นบรรจุในกล่องพลาสติก!
เธอค่อยๆเปิดมันออกช้าๆ มองขนมทรงกลมขาว ดำ เขียวและอื่นๆ อีก 10ลูกและยังััถึงความอบอุ่นจากไอน้ำที่ลอยออกมา
หลินรั่วซีรู้ว่านี่ไม่ได้มาจากป้าหวังหลังจากที่เธอท้องเสียจากการกินข้าวปั้นมากเกินไปในตอนเด็กแล้วป้าหวังก็ไม่ทำให้เธอกินอีกเลย...
หรือเป็เพราะไช่เอี๋ยนที่มาเยี่ยมเธอบอกว่าเธอชอบกินขนมข้าวปั้น?เพียงการแค่สนทนาสั้นๆ ครั้งนั้นแต่เขาก็จำได้ว่าอาหารที่เธอชื่นชอบคืออะไร
นึกถึงคำพูดที่เธอพูดกับหยางเฉินก่อนหน้านี้ ความเ็าที่ปฏิบัติกับเขาเฉกเช่นคนแปลกหน้าและภาพแผ่นหลังของหยางเฉินที่เดินจากไป...
หลินรั่วซีไม่รู้ว่าดวงตาของเธอนั้นเปียกชื้นไปด้วยน้ำตาเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
นี่เป็ครั้งแรกในชีวิตของเธอที่เห็นของชอบอยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่มีความอยากอาหารใดๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้