“อำนาจดาบ”
เมื่อผู้คนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของอำนาจที่ปลดปล่อยจากร่างของหลินเฟิงแล้ว พวกเขาต่างก็ตกตะลึง เป็ดั่งข่าวลือที่ว่าหลินเฟิงรู้แจ้งในอำนาจดาบ
ทุกก้าวของหลินเฟิงทำให้อำนาจดาบยิ่งแข็งแกร่งขึ้น และบรรยากาศก็คละคลุ้งไปด้วยอำนาจดาบอันแรงกล้า ผู้คนทั้งสองฝั่งของหลินเฟิงต่างถอยร่นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อหลินเฟิงเข้าสู่เวทีประลอง ทันใดนั้นอำนาจดาบที่ทรงพลังและแหลมคมได้พุ่งไปยังเฮยม่อ
เมื่อหลินเฟิงโยนดาบขึ้นไปในอากาศ นั่นเป็สัญญาณเริ่มต้นการต่อสู้
เฮยม่อลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นเขาก็ปลดปล่อยกลิ่นอายอันหนาวเหน็บ อำนาจดาบของหลินเฟิงนั่นไม่สามารถสั่นคลอนเขาได้แม้แต่น้อย
ั์ตาของเฮยม่อดั่งมีเปลวไฟลุกโชน เพื่อแก้ไขความผิดพลาดของเขา วันนี้เขาต้องทำให้หลินเฟิงหลั่งเืให้ได้
สายตาของผู้คนจับจ้องไปที่เวทีประลอง แม้หลินเฟิงจะมาช้าจนทำให้พวกเขาต้องรอหนึ่งวันเต็มๆ แต่เมื่อหลินเฟิงมาถึงพร้อมกับอำนาจที่เจิดจ้านั้น ก็ทำให้ความไม่พอใจของพวกเขาอันตรธานไปสิ้น และการต่อสู้ครั้งนี้ก็ทำให้การรอคอยหนึ่งวันเต็มๆ ของพวกเขาคุ้มค่ามาก
“จองหองนัก” ขณะนั้นชายชุดม่วงที่อยู่บนอัฒจันทร์ได้กล่าวต่ออย่างเ็าว่า “หลินเฟิง เ้าช่างจองหองเสียจริง ทำให้พวกข้าต้องรอมาหนึ่งวันเต็มๆ แล้วยังไม่มีคำอธิบายอีก”
มันเป็เสียงที่ดังราวกับฟ้าผ่า และเสียงนี้ก็สั่นะเืไปถึงโสตประสาทของหลินเฟิง
หลินเฟิงโอดครวญเล็กน้อย ลมปราณอันเย็นเยียบที่อยู่รอบตัวพลันแตกกระจายจนเขาต้องถอยร่นไป 2-3 ก้าว เมื่อครู่เขาเพิ่งใช้กำลังทั้งหมดไป เพื่อต้านทานลมปราณกับเฮยม่อ จิติญญาทั้งหมดของเขาจดจ่อไปที่ฝ่ายตรงข้าม ไม่คิดเลยว่าการกระทำของชายชุดม่วงจะเลวทรามเช่นนี้ ทั้งใช้ลมปราณกดดันและโจมตีด้วยเสียง ทำให้หลินเฟิงไม่สามารถป้องกันไว้ได้ทัน ส่งผลให้ลมปราณต้องดีดตัวกลับมา ในเวลาเดียวกันลมปราณของเฮยม่อก็โจมตีเขา เขาจึงได้รับาเ็
ผู้คนต่างตกตะลึงขณะมองไปที่ชายชุดม่วง คนคนนี้ช่างเร้ายกาจยิ่งนัก คาดไม่ถึงว่าจะสร้างความประหลาดใจให้แก่หลินเฟิงได้
หลงติ่งขมวดคิ้ว ั์ตาฉายแววไม่พอใจชัดเจน
ในขณะนั้นดวงตาของหลินเฟิงหรี่ลงเล็กน้อย แล้วมองไปทางชายชุดม่วงและชายหนุ่มสองคนที่อยู่ข้างๆ เขาอย่างเยือกเย็น แล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าทั้งสองคนนั้นที่อยู่ข้างๆ ทำให้เ้าต้องอับอายหรอกหรือ? ถ้า้าแก้แค้นก็พูดตรงๆ ไม่ต้องหลบซ่อน เป็ถึงผู้าุโแต่ใช้วิธีสกปรก ช่างไร้ยางอายเสียจริง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคนอย่างเ้ามีสิทธิ์อะไรถึงได้ไปนั่งตรงนั้น”
สิ้นสุดเสียงของหลินเฟิง พลันสายตาของผู้คนต่างเบิกกว้างด้วยความใ เ้าเด็กนี่... ช่างใจกล้ายิ่งนัก เป็คำพูดที่ตรงและคมกริบ แม้จะเป็คนของตระกูลอวี่ เขาก็ไม่หวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย และยังดูิ่อีกฝ่ายว่าเลวทรามต่ำช้าอีก
ม่านตาของชายชุดม่วงหดลงหลังจากหลินเฟิงได้ให้บทเรียนเล็กๆ น้อยๆ แก่เขา ตอนแรกเขาคิดว่าหากเขาทำเช่นนั้นแล้ว หลินเฟิงจะเจียมตัวจนไม่กล้าหยิ่งผยองใส่เขา แต่เห็นได้ชัดว่าเขาคิดผิด หลินเฟิงนั้นบ้ากว่าที่เขาคิดมาก
“เมื่อครู่เ้าว่าอะไรนะ?” ั์ตาของชายชุดม่วงเปล่งประกายเย็นะเืออกมา แม้จะเป็หลงติ่งแห่งตระกูลอวี่ ศิษย์น้องก็ยังต้องหวาดกลัวเขา คาดไม่ถึงว่าหลินเฟิงจะกล้าดูิ่และทำให้เขาต้องอับอายเช่นนี้?
“เ้าว่าข้าจองหองทำให้เ้าต้องรอหนึ่งวันและให้คำอธิบายแก่เ้า งั้นข้าขอถามเ้าว่า ในเมื่อการต่อสู้ของข้าและเฮยม่อในวันนี้ ดูเหมือนจะไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่ชัด เมื่อข้ามาถึงตอนนี้ก็ไม่ถือว่ามาช้า อย่างน้อยก็ทำให้คนอย่างเ้าต้องรอคอยไปหนึ่งวันเต็มๆ แล้วข้าได้เชิญเ้ามาด้วยั้แ่เมื่อไร?” หลินเฟิงกล่าวอย่างเยือกเย็น “จะสู้หรือไม่มันเป็สิทธิ์ของข้า จะดูหรือไม่ดูก็เป็สิทธิ์ของเ้า และเป็ตัวเ้าเองที่มาอย่างสมัครใจ แล้วยังมาขอคำอธิบายจากข้า ซึ่งข้าจำเป็ต้องอธิบายด้วยเหรอ? แล้วข้ารู้จักเ้าด้วยหรือถึงถามเช่นนี้?”
คำพูดคมคายของหลินเฟิงทำให้ชายชุดม่วงต้องแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น นอกจากนี้หลินเฟิงยังกล่าวไม่จบและยังคงกล่าวต่อ
“เป็แค่ผู้าุโคนหนึ่งและยังนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ คาดไม่ถึงว่าจะลอบกัดข้า จริงๆ แล้วการกระทำของท่านก็นับว่าไร้ยางอายจริงมั้ย? ข้าไม่รู้หรอกว่าท่านอยู่ตระกูลไหน แต่จากการกระทำของท่านนั้น ก็ได้นำความอัปยศมาสู่ตระกูลของท่านเสียแล้ว หากข้าเป็ท่านล่ะก็… จะไม่มัวมานั่งฟังเช่นนี้เด็ดขาด”
เมื่อฝูงชนได้ยินคำพูดของหลินเฟิงแล้วต่างต้องตกตะลึง และมองไปทางชายชุดม่วงด้วยสายตาแปลกๆ ดูเหมือนว่าสิ่งที่หลินเฟิงได้พูดมานั้นไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ได้กำหนดเวลาที่แน่นอนไว้ และเขาก็ไม่ได้เชิญใครมา พวกเข้าล้วนสมัครใจมาดูกันเอง และที่ผู้าุโของตระกูลอวี่ได้ดูิ่หลินเฟิงเช่นนี้ ถือว่าไม่สมควรยิ่ง
อย่างไรก็ตามในใจของผู้คนต่างทราบในสิ่งที่เกิดขึ้นดี แต่ไม่มีใครกล้าเหมือนหลินเฟิงที่พูดออกมาตรงๆ เช่นนี้
สีหน้าของชายชุดม่วงดูบิดเบี้ยว ทันใดนั้นรองเ้าสำนักหลงที่อยู่ข้างๆ ก็ส่งเสียงหัวเราะขึ้น “ฮ่าๆๆ เป็วิธีที่ต่ำช้าจริงๆ สมเป็ปู่สามแห่งตระกูลอวี่”
ชายชุดม่วง้าสอนบทเรียนให้กับหลินเฟิง แต่คาดไม่ถึงว่าแค่ประโยคเดียวของหลินเฟิงจะทำให้เขาถึงกับต้องเสียหน้า
“แคร้ก!”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ซึ่งเป็เสียงเก้าอี้หินของชายชุดม่วงที่นั่งอยู่ดีๆ ก็เกิดรอยร้าว
ชายชุดม่วงจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิงอย่างอาฆาตราวกับจะกินเืกินเนื้อ
“น่าเกรงขามและแข็งแกร่ง ใช่แล้ว… ข้าก็คือสายลมที่แข็งแกร่ง หลินเฟิง หากวันนี้เ้าพ่ายแพ้ เฮยม่อก็จะสังหารเ้า และถึงแม้เ้าจะชนะ ข้าก็จะไม่ปล่อยเ้าไป ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ วันนี้เ้าก็ต้องตาย” ดวงตาของชายชุดม่วงส่องประกายอย่างน่าหวาดกลัว และมีแรงกดดันอัดแน่นอยู่ในน้ำเสียงนั้น ทำให้ผู้คนต่างต้องเบิกตากว้าง
‘ข้าคือสายลมอันแข็งแกร่ง ข้าจะทำอะไรก็ไม่มีใครสามารถขัดข้าได้ เ้าหลินเฟิง แพ้คือต้องตาย ต่อให้ชนะก็ต้องตาย เ้ากล้าที่จะดูิ่ข้าและทำให้ข้าต้องอับอายเช่นนี้ นี่แหละคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเ้า’
“อวี่โฉว ดูเหมือนท่านจะลืมไปแล้วว่าตระกูลอวี่ของท่านได้ทำอะไรไว้กับสำนักเทียนอี้ของข้า ที่แห่งนี้ท่านคิดอยากทำอะไรก็ทำได้อย่างนั้นหรือ” หลงติ่งกล่าวอย่างเ็า ก่อนหันไปทางหลินเฟิงและกล่าวว่า “หลินเฟิง การต่อสู้ระหว่างเ้ากับเฮยม่อไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น หากอวี่โฉวกล้าแตะต้องเ้า ข้าสาบานว่าข้าจะไม่ฆ่าอวี่โฉว แต่ข้าจะสังหารเหล่ารุ่นเยาว์ที่มากับเขา”
“ว่าอะไรนะ?” สีหน้าของอวี่โฉวพลันเย็นะเื เขาจ้องหลงติ่งเขม็งและกล่าวว่า “รองเ้าสำนัก ท่านกำลังข่มขู่เหล่ารุ่นเยาว์แห่งตระกูลอวี่ของข้าหรือ?”
“ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก”
เมื่อผู้คนได้ยินคำพูดของอวี่โฉวแล้วต่างต้องตกตะลึง เขาทั้งแข็งแกร่งและทรงพลัง แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดได้อย่างไม่ละอายใจเช่นนี้
หลงติ่งเองก็ประหลาดใจเช่นกัน จากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างเย้ยหยันแล้วกล่าวว่า “ก็ท่าน้าจัดการศิษย์ของสำนักเทียนอี้ของข้า แล้วจะไม่ให้ข้าจัดการกับศิษย์ของเ้าได้อย่างไรกัน? อวี่โฉว ท่านคิดอะไรอยู่กันแน่?”
“หึ” อวี่โฉวกล่าวต่อ “ท่านไม่กลัวการแก้แค้นของตระกูลอวี่อย่างนั้นหรือ?”
“ที่แห่งนี้คือสำนักเทียนอี้” หลงติ่งกล่าวด้วยเสียงเ็า
“ที่นี่คือสำนักเทียนอี้แล้วยังไง? กล้าดูิ่ตระกูลอวี่ แม้จะเป็สำนักเทียนอี้ก็ต้องพังพินาศ” อวี่โฉวกล่าวอย่างเย็นะเื ทำให้ผู้คนต่างตกตะลึง เดิมทีพวกเขาแค่มาดูการต่อสู้ระหว่างหลินเฟิงกับเฮยม่อ แต่คิดไม่ถึงว่าทางด้านอวี่โฉวกับหลงติ่งกลับเริ่มมีความขัดแย้งเพราะหลินเฟิงเป็ต้นเหตุ สิ่งต่างๆ ล้วนเกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิด
ผู้คนในบริเวณต่างตกอยู่ในความเงียบ สายตาจับจ้องไปที่หลงติ่ง คาดไม่ถึงว่าอวี่โฉวจะขู่ว่าจะทำลายสำนักเทียนอี้ ทำให้ผู้คนของสำนักเทียนอี้ต้องเงียบเสียงลงทันที
ตอนนี้ผู้คนต่างนิ่งเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
“ลุงอวี่ ความเกรี้ยวโกรธของท่านดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นนะ”
ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงัน จากนั้นมีร่างหนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน บนใบหน้าคนผู้นี้มีรอยยิ้มอ่อนโยน ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเข้าถึงเขาได้ง่าย
เมื่อเห็นคนคนนี้แล้ว รูม่านตาของใครหลายๆ คนต่างต้องหดลง แม้จะเป็อวี่โฉวยังต้องสั่นสะท้าน ดูเหมือนว่าตำแหน่งตรงกลางมันถูกสงวนไว้สำหรับเขาคนเดียวเท่านั้น
เมื่อหลินเฟิงเห็นชายหนุ่มแล้วก็ต้องประหลาดใจ เพราะชายหนุ่มผู้นี้เขาเคยเห็นที่ลานประลองเชลยในวันนั้นครั้งหนึ่ง และเขาก็ยังเป็พยานในการต่อสู้ของเขาด้วย
“อย่างที่คิดไว้… สถานะของชายผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ” หลินเฟิงสังเกตที่ว่างตรงนั้น โดยคาดไม่ถึงว่าจะเป็ที่นั่งของเขา มิหนำซ้ำสถานะของเขายังสูงกว่าอวี่โฉวแห่งตระกูลอวี่เสียอีก
สำหรับหลงติ่งแล้ว เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้นี้ รอยยิ้มจางๆ พลันปรากฏบนใบหน้า เขาลุกขึ้นยืนทันที
“ฝ่าา”
หลงติ่งกล่าวอย่างสุภาพ
อวี่โฉวก็ลุกขึ้นยืนทั้งรอยยิ้มบนใบหน้าเช่นกัน แล้วกล่าวว่า “ฝ่าาต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ ข้าอวี่โฉวจะโกรธเกรี้ยวขนาดนั้นได้อย่างไร”
“ฮ่าๆๆ ไม่เป็เช่นนั้นก็ดี ลุงสาม รองเ้าสำนักหลง โปรดนั่งเถิด ไม่ต้องเกรงใจไป”
ชายหนุ่มกล่าวพร้อมรอยยิ้มอันอ่อนโยน ชายหนุ่มไม่ถือตัวเลยแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็นั่งลงที่ตำแหน่งของตัวเอง
ขณะนั้นฉู่จ่านเผิงที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนของลานศักดิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ได้จ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มด้วยแววตาดุดัน
ชายหนุ่มหันไปมองฉู่จ่านเผิง เขาพยักหน้าทั้งรอยยิ้ม “คุณชายต้าเผิง เจอกันอีกแล้วนะ”
“ขอคารวะฝ่าา” ฉู่จ่านเผิงพยักหน้ากลับ องค์ชายรองก็เป็หนึ่งในแปดคุณชายแห่งเสวี่ยเยว่เช่นเดียวกับเขา นอกจากนี้ลำดับก็ยังสูงกว่าเขา