ตอนที่ 2:เพื่อนบ้านจอมดูถูก
พลังงานอันน้อยนิดจากข้าวต้มเหลวๆ ที่แทบจะไร้เม็ดข้าว ไหลเวียนไปทั่วร่างที่ผอมโซราวกับกิ่งไม้แห้งของหลินเวย มันเป็พลังงานที่น้อยจนน่าสมเพช แต่สำหรับเธอในตอนนี้ มันคือเชื้อเพลิงทั้งหมดที่เธอมี
หลินเวยกัดฟันแน่นจนกรามสั่นสะท้าน เธอใช้ข้อศอกยันกับเตียงฟางแข็งๆ ที่ทิ่มแทงิั กลิ่นอับชื้นของฟางเก่าและฝุ่นดินลอยคลุ้งเข้าจมูก "แค่ก...แค่ก..." การไอแต่ละครั้งบีบรัดหน้าอกจนเจ็บแปลบ
เธอลองอีกครั้ง ใช้แขนที่สั่นเทาพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง โลกทั้งใบหมุนคว้างอย่างรุนแรงจนต้องรีบยกมือขึ้นยันผนังดินที่เย็นเฉียบไว้ เศษดินร่วนร่วงกราวลงมาเปื้อนฝ่ามือที่หยาบกร้านของเธอ ความเ็ปทางกายและความอ่อนแอนี้เป็ของจริง แต่ดวงตาที่เคยขุ่นมัวของเธอ บัดนี้กลับฉายแววเด็ดเดี่ยวคมกล้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จิติญญาที่มาจากยุคสมัยอื่นกำลังต่อสู้เพื่อควบคุมร่างกายที่ใกล้ตายนี้
เสียงสวบสาบดังขึ้น สวี่เหมยที่ถูกลากออกไปเมื่อครู่ กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งเงาของหล่อนทอดทับร่างของหลินเวย ตามมาด้วยหลินเจี้ยนกั๋วที่เดินตามมาอย่างสิ้นหวัง ไหล่ของเขาห่อลู่ราวกับแบกภาระทั้งโลกไว้
เมื่อเห็นสภาพทุลักทุเลของหลินเวยที่พยายามจะยืนให้ได้ สวี่เหมยก็แค่นเสียงหยันออกมาจากลำคอ "โอ้โห ยังมีแรงจะลุกอีกเหรอ นึกว่าจะนอนรอวันตายซะแล้ว! ดี! ลุกได้ก็ดี จะได้รีบไปรายงานตัวที่โรงงาน อย่ามัวมาสำออยให้เปลืองข้าวสุก!"
หลินเวยไม่เสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวที่จะมองหน้าแม่เลี้ยงที่ใจร้ายใจดำคนนั้น เธอบังคับร่างกายที่สั่นเทาให้หันไปสบตากับพ่อของเธอโดยตรง ดวงตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในแววตาที่หลบเลี่ยงของเขา
"ฉัน..." เธอเค้นเสียงแหบแห้งที่แทบจะไม่ได้ยินออกมาจากลำคอที่เจ็บระบม "ฉัน... จะสอบเกาเข่า"
คำพูดสั้นๆ แต่หนักแน่นราวกับค้อนั์ทุบลงกลางใจของทุกคนในห้องเล็กๆ ที่อับทึบนี้
"แก...แก...!" สวี่เหมยชี้หน้าหลินเวย ตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ "นังเด็กเหลือขอ! แกฝันกลางวันไปรึไง! สอบเกาเข่าเหรอ? เอาปัญญาที่ไหนไปสอบ! แค่ค่าลงทะเบียนแกยังไม่มีปัญญาหาเลย!"
หลินเจี้ยนกั๋วเบิกตากว้าง อ้าปากพะงาบๆ อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงถอนหายใจยาว สิ้นหวังเกินกว่าจะต่อกรกับใคร
"ใครใช้ให้แกตัดสินใจเองฮะ!" สวี่เหมยกำลังจะพุ่งเข้ามาตบตี แต่แล้วประตูห้องที่เก่าจนบานพับแทบจะหลุด ก็ถูกเปิดออกอย่างนุ่มนวล
กลิ่นสบู่หอมจางๆ ลอยเข้ามาแตะจมูก ขัดกับกลิ่นอับและกลิ่นยาต้มในห้องอย่างสิ้นเชิง
ร่างระหงในชุดผ้าฝ้ายสีฟ้าอ่อนที่ดูสะอาดสะอ้านและใหม่กว่าใครในบ้านก้าวเข้ามา "หลินเยว่" พี่สาวต่างแม่คนงาม ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลจอมปลอม ดวงตาของหล่อนแดงก่ำ หางตายังมีร่องรอยความชื้น ราวกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหมาดๆ
"เวยเวย..." หล่อนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ปรี่เข้าประคองแขนของหลินเวยด้วยท่าทีห่วงใยสุดหัวใจ "เธอเป็อะไรไป? ทำไมลุกขึ้นมาแบบนี้...แค่กๆ...เธอไออีกแล้ว เห็นไหม ร่างกายยังไม่หายดีเลย ทำไมต้องดื้อดึงด้วย..."
หลินเยว่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ หันไปมองสวี่เหมยและหลินเจี้ยนกั๋ว "พ่อคะ...แม่...อย่าดุน้องเลยค่ะ น้องยังเด็ก สุขภาพก็ไม่ดี..."
หล่อนหันกลับมาบีบมือหลินเวยเบาๆ ใช้เสียงที่อ่อนหวานราวกับน้ำผึ้งเคลือบยาพิษ "เวยเวย...ฟังพี่นะ โรงงานทอผ้าก็ดีนะ ได้เงินเดือนมั่นคง มีข้าวกินสามมื้อ ไม่ต้องลำบากตรากตรำทำนาตากแดดเหมือนพวกเราตอนนี้ พี่เป็ห่วงสุขภาพของเธอนะ...ถ้าเธอป่วยหนักขึ้นมา พ่อกับแม่จะทำยังไง"
น้ำเสียงนั้นช่างอ่อนโยน ช่างเสียสละ "เธอยอมเสียสละเพื่อครอบครัวเรานะเวยเวย... ส่วนเื่เรียน...ไม่ต้องห่วง พี่จะตั้งใจเรียนเผื่อเธอเอง พี่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ พอพี่เรียนจบ มีงานดีๆ ทำ พี่จะส่งเงินกลับมาให้เธอ ให้พ่อแม่ได้อยู่อย่างสบาย...นะจ๊ะ...ถือว่าพี่ขอร้อง"
คำพูดที่แสนดีราวกับนางฟ้ามาโปรด การแสดงที่ไร้ที่ติจนหลินเจี้ยนกั๋วเริ่มมีสีหน้าซาบซึ้งใจ
แต่ในวินาทีนั้นเอง...
ภาพความทรงจำของร่างเดิมที่แตกสลาย ก็ฉายชัดขึ้นมาในหัวของหลินเวยราวกับสายฟ้าฟาด!
ภาพของโต๊ะไม้เก่าๆ ใต้แสงตะเกียงน้ำมัน...แบบร่างเครื่องจักรปั่นด้ายขนาดเล็กที่ "หลินเวย" คนเดิม ซุ่มออกแบบและคำนวณมาเป็เดือนๆ หวังจะใช้เป็ผลงานส่งเข้าประกวดทางวิทยาศาสตร์ของเขต เพื่อชิงทุนการศึกษา...
และภาพของหลินเยว่...พี่สาวแสนดีคนนี้...ที่แอบหยิบแบบร่างนั้นไปในคืนที่เธอป่วยหนัก...
ภาพสุดท้ายที่แจ่มชัดที่สุด คือรอยยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปากของหลินเยว่ ตอนที่หล่อนหันกลับมามองเธอบนเตียง ก่อนจะนำแบบร่างนั้นไปเสนอครูว่าเป็ผลงานของตัวเอง!
ผลงานนั้นชนะเลิศ...หลินเยว่ได้ทั้งชื่อเสียงและทุนการศึกษา...ส่วนหลินเวยคนเดิมที่หัวใจสลาย ก็ล้มป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆ จนสิ้นใจ...
"อย่า...มา...แตะ...ต้อง...ตัว...ฉัน!"
เพียะ!
หลินเวยรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี สะบัดมือหลินเยว่ออกอย่างรุนแรงและรังเกียจราวกับััของน่าขยะแขยง!
การกระทำที่ก้าวร้าวและรุนแรงอย่างไม่คาดคิดทำให้หลินเยว่เซล้มถอยหลังไปหนึ่งก้าว ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ก่อนจะเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาหยาดโตอย่างน่าสงสาร "เวยเวย...ทำไม...ทำไมตบพี่...พี่แค่เป็ห่วงเธอ..."
"เวยเวย! แกกล้าดียังไงไปตบน้อง!" สวี่เหมยกรี๊ดลั่น พุ่งเข้ามาจะจิกหัวหลินเวย
"ฉันไม่ได้ตบ! ฉันแค่สะบัดมือ!" หลินเวยะโสวนกลับ เสียงแหบแห้งแต่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง "แสดงละครเก่งจริงๆ นะ! หลินเยว่! เธอมันน่ารังเกียจ!"
"นังเด็กบ้า! แกมันเสียสติไปแล้วรึไง!" สวี่เหมยง้างมือขึ้นสูง เตรียมจะตบสั่งสอนลูกเลี้ยงให้รู้สำนึก
แต่ก่อนที่ฝ่ามือนั้นจะทันได้ฟาดลงมา...เสียงแหลมๆ ที่ดังทะลุทะลวงมาจากนอกรั้วบ้านก็แทรกเข้ามาอย่างไม่เกรงใจ!
"สวี่เหมย! สวี่เหมย! อยู่รึเปล่า! ตกลงนังลูกเลี้ยงผีเข้าของเธอจะไปทำงานที่โรงงานทอผ้ารึยัง! ฉันอุตส่าห์ช่วยพูดจนปากเปียกปากแฉะ ถ้ามันยังเล่นตัวไม่ไป ฉันจะให้ลูกชายฉัน (จ้าวเหว่ย) ไปแทนนะ อย่ามากั๊กโควต้าให้เสียเวลา!"
เสียงนั้น!
หลินเวยจำได้ทันทีจากความทรงจำ นี่คือเสียงของ "แม่บ้านจ้าว" เพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่หัวมุมถนน บ้านของพวกเขาเป็บ้านอิฐแดงหลังใหญ่โตที่สุดในละแวกนี้ พวกเขาคือ "ครอบครัวหมื่นหยวน" ครอบครัวแรกในหมู่บ้านที่ทำธุรกิจเล็กๆ จนมีเงินเก็บในธนาคารถึงหนึ่งหมื่นหยวนในยุค 80 ที่เงินเพียงสิบหยวนก็ใช้ได้ทั้งเดือน พวกเขามองคนบ้านหลินและเพื่อนบ้านคนอื่นๆ เหมือนเป็มดปลวกมาโดยตลอด
สวี่เหมยหน้าซีดเผือด! ความอับอายแล่นริ้วขึ้นมาบนใบหน้าทันที ตำแหน่งงานในโรงงานทอผ้านี้ หล่อนต้องคุกเข่าอ้อนวอนแม่บ้านจ้าวให้ช่วยฝากฝัง ถ้าเสียไปตอนนี้...
"พี่สะใภ้จ้าว! พี่สะใภ้จ้าวคะ! ใจเย็นๆ ก่อนสิคะ..." สวี่เหมยลืมเื่ตบตีหลินเวยไปสนิท หล่อนรีบวิ่งถลาออกไปที่รั้วเตี้ยๆ เพื่อเจรจา พลางปั้นหน้ายิ้มประจบประแจง "มันไปแน่ค่ะ! มันไปแน่ๆ...แค่...แค่กำลังเตรียมตัวอยู่ค่ะ..."
"เตรียมตัวอะไรกันนักหนา! คนจนๆ อย่างพวกแกมันจนแล้วยังจะเื่มากอีก!" เสียงของแม่บ้านจ้าวดังลั่นไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย ะโจนคนทั้งซอยแทบจะได้ยินกันหมด "ฉันบอกไว้ก่อนนะ! ที่นั่งนี้มีคนอยากได้เยอะแยะ! ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ที่พวกแกยอมจ่าย 'ค่าแนะนำ' ให้ฉันหรอกนะ ฉันไม่เสียเวลามาถึงนี่หรอก!"
"ค่ะๆๆ...ทราบแล้วค่ะพี่สะใภ้..." สวี่เหมยเสียงอ่อยลงจนแทบไม่ได้ยิน"ฉันให้เวลาถึงพรุ่งนี้เช้าเท่านั้นนะ! ถ้าลูกเลี้ยงแกยังไม่โผล่หัวไปที่โรงงาน ก็ไสหัวไปไถนาเหมือนเดิมซะ! อย่ามาหวังพึ่งฉันอีก!"
ตุ้บ! เสียงเหมือนมีอะไรหนักๆ ถูกโยนเข้ามา
วัตถุสีเขียวเหี่ยวๆ ถูกโยนข้ามรั้วเตี้ยๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ผุๆ เข้ามาตกอยู่บนพื้นดินหน้าบ้าน มันคือกะหล่ำปลีหัวหนึ่งที่ใบข้างนอกเริ่มเน่าและมีรอยหนอนเจาะเป็รูพรุน
"เอาไปต้มกินซะ! เห็นแล้วสงสาร! ดูสิ ผอมกันทั้งบ้าน ยังกับผีตานโขมย! บ้านฉันกินเนื้อจนเบื่อแล้ว ของแบบนี้ ปกติฉันเอาโยนให้หมูกิน!"
"ฮ่าๆๆๆ!"
สิ้นเสียงนั้น เสียงหัวเราะเยาะเย้ยอันแหลมสูงน่ารังเกียจของแม่บ้านจ้าวก็ดังลั่นไปทั่วบริเวณ ราวกับจะประกาศศักดาและความเหนือกว่าให้ทุกคนได้รับรู้ถึงความตกต่ำย่ำแย่ของบ้านตระกูลหลิน ก่อนที่เสียงฝีเท้าหนักๆ ของหล่อนจะเดินกระทืบพื้นดินจากไป
ภายในห้องที่เงียบงัน...เงียบจนน่ากลัว...
หลินเจี้ยนกั๋วยืนตัวแข็งทื่อ เขากำหมัดแน่นจนเส้นเืปูดโปนขึ้นมาบนหลังมือ ใบหน้าของชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยความอัปยศอดสูถึงขีดสุด เขาคือเสาหลักของบ้าน แต่กลับปกป้องศักดิ์ศรีของครอบครัวไว้ไม่ได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงยืนฟังคนอื่นมาเหยียบย่ำถึงหน้าประตูบ้าน
สวี่เหมยยืนตัวแข็งทื่อเช่นกัน แต่ไม่ใช่เพราะความอับอาย...มันคือความโกรธจนหน้าเขียว หล่อนหันขวับมา จ้องเขม็งไปที่หลินเวยราวกับจะกินเืกินเนื้อ "เพราะแก! ทั้งหมดมันเพราะแก! นังตัวซวย!"
ส่วนหลินเยว่...พี่สาวแสนดี...หล่อนรีบก้มหน้าลง เอามือปิดปาก ทำท่าทางใและเสียใจสุดขีด ไหล่บางๆ นั้นสั่นเทา...
ทว่า...ไม่มีใครสังเกตเห็น...ยกเว้นหลินเวยที่มองมาจากมุมของเตียง...มุมปากของหลินเยว่ที่ซ่อนอยู่ภายใต้มือนั้น...กำลังยกขึ้นเป็รอยยิ้มอย่างสะใจ!ท่ามกลางความอัปยศ ความโกรธแค้น และความสิ้นหวังที่คละคลุ้งจนแทบหายใจไม่ออก หลินเวยกลับเป็คนที่สงบนิ่งที่สุด
เธอมองผ่านช่องประตูที่เปิดอ้าไปยังกะหล่ำปลีเน่าๆ ที่กองอยู่บนพื้นดินเปื้อนฝุ่นหน้าบ้าน...กะหล่ำปลีที่ถูกโยนมาให้เหมือนเศษอาหารสำหรับหมู...แววตาของเธอไม่ได้มีความเ็ป เสียใจ หรือหวาดกลัว...มีเพียงรอยยิ้มที่เย็นเยียบราวกับน้ำแข็งในฤดูหนาวปรากฏขึ้นที่มุมปากที่แห้งแตกของเธอ
ดูถูกกันเข้าไว้...เหยียบย่ำกันเข้ามาให้พอ...หนี้ก้อนนี้... ทั้งหนี้ชีวิตของร่างเดิม... หนี้อนาคตที่ถูกขโมยไป... และหนี้แห่งความอัปยศในวันนี้...ฉันจะทวงคืนกลับมาทั้งหมด... พร้อมดอกเบี้ย!
