หนิงอ้ายเรียกใช้ทักษะิญญายุทธ์ออกมาเพื่อตั้งรับการโจมตีของผู้าุโตรงหน้า ทว่ากลับไม่ปรากฏสิ่งใดขึ้นทั้งสิ้น ชั่วไปขณะนั้นเขาก็ได้เข้าใจในที่สุด ภายในเขตแดนพื้นที่ของเมืองแห่งการสังหารดูเหมือนว่าความสามารถในการบัญชาการเรียกใช้ทักษะิญญายุทธ์อันเกิดจากการดูดซับกระดูกิญญาย่อมไม่อาจเรียกใช้ได้ทั้งสิ้น แม้จะรับรู้ถึงความจริงในข้อนี้แต่ใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้นหาได้ปรากฎร่องรอยของความตื่นตระหนกแต่อย่างใด
ยามนี้เขาเข้าใจแล้วว่า เหตุใดั้แ่เริ่มเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ ม่อเหยียนถึงได้เน้นย้ำให้ฝึกฝนวิชาเชิงยุทธ์และอาวุธต่าง ๆ รวมไปถึงรู้จักการควบคุมพลังลมปราณในร่างกายโดยปิดผนึกความสามารถทางทักษะิญญายุทธ์ นั่นคงเป็เพราะเมืองแห่งการสังหารนี้ได้มีกฎเกณฑ์พิเศษดังกล่าว สิ่งที่ผู้ฝึกตนสามารถกระทำได้นั่นคือการเอาตัวรอดด้วยทักษะฝีมือและิญญายุทธ์ต้นกำเนิดเพียงเท่านั้น
เปลวเพลิงสีแดงทองประกายรุ้งได้ปรากฏขึ้นในมือของหนิงอ้ายอีกครั้ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็กระบี่ผลึกแก้วที่มีเปลวเพลิงหล่อเลี้ยงอยู่ภายใน เพียงตวัดต้านรับกระบี่ของผู้าุโไปเพียงครั้ง เสียงปะทะะเิได้ดังขึ้นะเืไปทั้งโถงถ้ำ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจากการเคี่ยวกรำฝึกฝนตัวเองอย่างหนักหน่วง เขาสามารถนำมาใช้ในสถานการณ์จริงได้แล้วในที่สุด
“เป็ไปได้อย่างไรกัน ปราณธาตุิญญายุทธ์ของเ้าหนูนี่ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!!” ผู้าุโจิ่นเหิงร้องดังขึ้นด้วยความประหลาดใจ การโจมตีเมื่อครู่ด้วยพลังปราณเพียงสามส่วน โดยทั่วไปแล้วย่อมสร้างความเสียหายได้ไม่น้อยแล้ว ยิ่งกับเด็กหนุ่มรูปร่างบอบบางตรงหน้า ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะตั้งรับได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำปานนี้
“หากผู้าุโ้าทดสอบได้โปรดอย่าได้ออมมือเช่นนี้ ข้าหาได้อ่อนแอดังเช่นที่ท่านเข้าใจ!!!” หนิงอ้ายขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยขึ้น แรงฟาดฟันเมื่อครู่หาใช่เป็เขตขั้นพลังของผู้าุโท่านนี้แต่อย่างใด
“เช่นนั้นตัดสินกันที่การโจมตีครั้งนี้ หากเ้าสามารถตั้งรับและยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะถือว่าเ้าผ่านการทดสอบจากข้าเสียแล้วกัน!!!” จิ่งเหิงร้องดังขึ้นพร้อมกับเรียกระดมพลังลมปราณเทพ์ิญญาออกมา ิญญายุทธ์ต้นกำเนิดปราณธาตุไฟที่อีกฝ่ายถือครองอยู่นั้นปรากฎเป็เงาร่างของสิงโตเพลิงขนาดใหญ่ กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
“เช่นนั้นข้าคงต้องล่วงเกินท่านแล้ว!!!” สิ้นเสียงของหนิงอ้าย ิญญายุทธ์ต้นกำเนิดปราณสุริยะธาตุได้ถูกรีดเค้นออกมาถึงขีดสุด เงาร่างของเฟยเฟิ่งสีแดงเพลิงขนาดใหญ่สยายปีกพร้อมกับสะเก็ดเพลิงที่ร่วงล่นดูงดงามเป็อย่างยิ่ง หลังจากที่หนิงอ้ายได้ดูดซับพลังปราณจากเส้นชีพจรอัคคีในครั้งนั้น ดูเหมือนว่าความร้อนแรงของเปลวเพลิงสายนี้ของเขาได้ถูกยกระดับถึงขีดสุดอย่างแท้จริง
“โจมตี!!!” เสียงของหนิงอ้ายดังขึ้นพร้อมกับเสียงของจิ่นเหิง
เสียงคำรามทุ้มต่ำของสิงโตเพลิงได้ดังกึกก้องไปทั่วราวกับแผ่นดินไหว เสียงอันทรงพลังนั้นสั่นะเืไปถึงแก่นแท้ของทุกสิ่ง ราวกับว่ากำลังประกาศความเป็ใหญ่เหนือสรรพสัตว์ทั้งปวง ในขณะเดียวกัน เสียงกรีดร้องอันแหลมคมของเฟยเฟยก็ดังขึ้นสอดประสานราวกับสายฟ้าฟาดดังกระหึ่มไปทั่วท้องฟ้า ท้าทายอำนาจของสิงโตเพลิงอย่างไม่เกรงกลัว เสียงคำรามและเสียงกรีดร้องทั้งสองดังก้องไปทั่วราวกับบทเพลงแห่งความขัดแย้งอันดุเดือด
สิงโตเพลิงได้ปลดปล่อยเพลิงอัคคีอันทรงพลังออกเป็เปลวไฟสีส้มแดงเข้าจู่โจมอย่างหนักหน่วง ทางฝั่งของเฟยเฟิ่งผู้เป็นายแห่งวิหคทั้งปวงนั้นหาได้หวั่นเกรงแต่อย่างใดพร้อมกับโบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและปล่อยพายุหมุนแห่งเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ลมกรดที่โหมกระหน่ำได้พัดพาเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ให้กระจัดกระจายไปในห้วงอากาศ สิงโตเพลิงคำรามด้วยความโกรธและตวัดกรงเล็บคมเข้าฟาดอย่างไม่ยั้ง ทว่าเงาร่างของเฟยเฟิ่งกลับสามารถหลบหลีกการโจมตีนี้ได้อย่างว่องไวก่อนจะโฉบลงมาจากท้องฟ้าและจิกที่ดวงตาของสิงโตเพลิงอย่างรุนแรง สิงโตเพลิงร้องคำรามด้วยความเ็ปและถอยกรูดไปในที่สุด
“สายเืของเผ่าพันธุ์พญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหา์าอย่างนั้นรึ? ไม่ทราบว่าผู้เยาว์ท่านนี้มีความข้องเกี่ยวอย่างไรกับท่านหวังเสียนฮุ่ยผู้เป็ประมุขตระกูลหวังแห่งดินแดนจูเชว่กัน...” จิ่นเหิงถามออกไปด้วยความสงสัย เปลวเพลิงเมื่อครู่ถึงกับผนึกร่างเป็เฟยเฟิ่งที่มีกลิ่นอายไม่สามัญ สิ่งนี้ย่อมหมายถึงเด็กหนุ่มตรงหน้าต้องมีความข้องเกี่ยวไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างแน่นอน
“หากหมายถึงท่านประมุขหวังเสียนฮุ่ยที่ปกครองดินแดนจูเชว่ ข้าเป็หลายชายของท่านตาหวังจิ่งหลง บุตรชายเพียงคนเดียวของท่านประมุขคนที่ท่านเอ่ยถึงขอรับ...” หนิงอ้ายตอบกลับไปในความสัมพันธ์ดังกล่าว
“ขออภัยที่ล่วงเกินนายน้อยหวัง ครั้งหนึ่งท่านประมุขหวังเสียนฮุ่ยได้เคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้ หลังจากนั้นข้าจึงตั้งปฏิญาณเอาว่าหากมีโอกาสข้าจะช่วยเหลือผู้ที่มีสายเืและความเกี่ยวข้องกับท่านประมุขหวังเสียนฮุ่ยอย่างถึงที่สุด การทดสอบเมื่อครู่ถือว่านายน้อยผ่านการทดสอบแล้วขอรับ!!!” จิ่นเหิงคุกเข่าประสานมือคำนับพร้อมเอ่ยถ้อยคำยาวเหยียดออกมาด้วยความหนักแน่น แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นยึดถือในสิ่งนี้มากเพียงใด
“ผู้าุโจิ่นเหิงอย่าได้เกรงใจถึงปานนั้น แม้ข้าจะมีสายเืของตระกูลหวัง ทว่ายามนี้ยังไม่อาจสะดวกที่จะเปิดเผยออกไป ข้าเดินทางมาที่เมืองแห่งการสังหารนี้กับท่านพ่อบุญธรรม หวังเพียงผ่านการทดสอบและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด หลังจากนี้คงต้องรบกวนท่านให้คำแนะนำข้าด้วย...” หนิงอ้ายััได้ถึงความจริงใจของอีกฝ่ายจึงตอบรับสิ่งนี้เอาไว้ พร้อมกับแจ้งความ้าออกไปให้อีกฝ่ายได้เข้าใจ
“นายน้อยหวังให้ข้าน้อยเรียกนามของท่านว่าอย่างไรดีขอรับ??”
“ผู้าุโเรียกแทนข้าว่าคุณชายหนิงได้เลยขอรับ ตราบใดที่อยู่ในเมืองแห่งการสังหารนี้จะไม่มีผู้ใดรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า คงต้องรบกวนท่านอย่างหนักแล้ว...”
“คุณชายหนิงอย่าได้เป็กังวล ยามนี้ข้าเป็ถึงหนึ่งในห้าของเสาหลักเมืองแห่งการสังหาร เส้นสายในมือกล่าวว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน ตลอดระยะเวลาที่ท่านอยู่ในเมืองแห่งนี้ข้าจะคอยช่วยเหลือสนับสนุนอย่างเต็มที่อย่าได้เกรงใจ”
“สิ่งนี้คือป้ายหยกประจำตัวของท่านได้โปรดเก็บรักษาไว้ให้ดี ข้าจะเรียกตัวแทนให้มารับท่านไปยังสถานที่พัก หากท่าน้าติดต่อเพียงเอ่ยชื่อของข้าออกมาเบา ๆ ข้าก็จะมาพบท่านทันที ขอให้นายน้อยโชคดีขอรับ...” จิ่นเหิงได้มอบป้ายหยกสีดำสนิทที่ลงตราประทับให้กับหนิงอ้าย หลังจากพูดคุยกันอีกเล็กน้อยอีกฝ่ายจึงขอตัวแยกย้ายไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย พร้อมกับบอกให้หนิงอ้ายเดินตรงไปตามทางเรื่อย ๆ ถึงจุดสิ้นสุดตรงปลายอุโมงค์แล้วจะพบกับตัวแทนที่มารับดูแลหลังจากนี้...
ปลายอุโมงค์ทางออกเผยให้เห็นทางเข้าประตูเมืองที่ถูกทำขึ้นด้วยศิลาแกร่งสีดำสนิทสลักประทับตราด้วยอักขระเวทย์มหาพิภพที่แข็งแกร่งแผ่ซ่านกลิ่นอายอหังการกดดัน โดยรอบต่างถูกโอบล้อมด้วยพื้นที่อันแห้งแล้งกันดารแห้งแตกระแหงสุดลูกหูลูกตา หาได้มีเสียงของสรรพสัตว์ สัตว์อสูรไม่ปรากฏ สัตว์ป่าไม่อาศัย ต้นไม้สักต้นยังไม่งอกเงยเลยแม้แต่น้อย นอกจากนั้นโดยรอบยังเต็มไปด้วยซากกระดูกของมนุษย์และลอยโลหิตสีดำคล้ำ ไอสังหารมรณะตลบอบอวนไปทั่ว ท่ามกลางความสงบเงียบพลันปรากฏหญิงสาวในชุดสีดำสนิทสวมหน้ากากผีสีแดงสด เมื่อเห็นตัวคนที่ได้รับแจ้งอีกฝ่ายจึงโค้งคำนับให้หนิงอ้ายเล็กน้อยก่อนจะผายมือออกราวกับเชิญชวนให้เข้าไป
“เมืองแห่งการสังหารขอต้อนรับคุณชายหนิง ข้ามีนามว่าเสี่ยวฮุ่ยเป็ตัวแทนที่ผู้าุโจิ่นส่งมาให้ดูแลท่าน เบื้องหน้านี้ในเขตพื้นที่เมืองแห่งการสังหารไม่อาจเหินทะยานกลางฟ้าได้ทั้งสิ้น ใช้เพียงทางเดินบนพื้นดินเท่านั้น...” สุรเสียงที่สตรีนางนี้เอ่ยจะอ่อนหวานไพเราะขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็น ทว่าไอสังหารของอีกฝ่ายแม้จะพยายามสะกดข่มหนิงอ้ายยังััได้ถึงความล้ำลึกของกลิ่นอายสายนี้ที่ไม่ธรรมดาสามัญ
“ไม่มีเงินก็ไสหัวออกไปเป็ทาสรับใช้สิบปี!!” บริเวณด้านหน้าประตูทางเข้า เสียงดุดันของชายร่างกำยำตวาดดังขึ้นพร้อมกับเหวี่ยงร่างของชายคนหนึ่งที่ผู้ผอมแห้งไร้ซึ่งเรี่ยวแรง สวมใส่เสื้อผ้าขาดวิ่น แต่เมื่อตรวจสอบดูแล้วคนผู้นี้เป็ถึงราชทินนามจักรพรรดิิญญาผู้หนึ่ง หากอีกฝ่ายอาศัยอยู่ในดินแดนเดิมของเขาแล้ว ด้วยระดับพลังิญญาดังกล่าวก็เพียงพอในการก่อตั้งรากฐานตระกูลให้มั่นคงได้แล้ว น่าเสียดายที่เลือกเดินเส้นทางผิดเช่นนี้
ไม่ไกลไปนั้นเงาร่างหลายสายต่างลงเดิน บ้างก็ขี่สัตว์อสูรพาหนะมุ่งตรงไปยังทิศทางเดียวกัน พวกเขาแต่ละคนบ้างเดินทางคนเดียว บ้างเป็กลุ่มแต่กลับทิ้งระยะห่างไม่เข้าใกล้ นั่นเป็เพราะรู้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่อาจไว้ใจผู้ใดได้ทั้งสิ้น เมื่อเข้าผ่านประตูเมืองแล้ว สิ่งที่ปรากฎคือมหานครเมืองหนึ่งที่มีความยิ่งใหญ่ไปไม่แพ้เมืองอื่น ๆ ที่ถูกวางแผนผังจัดการได้เป็ระเบียบ
สิ่งนี้ทำให้หนิงอ้ายรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้ยังคงมีกลุ่มอิทธิพลหรือตัวตนชั้นสูงคอยอยู่เื้ัคอยกำกับดูแล ไม่เช่นนั้นแล้วจะสามารถก่อตั้งเป็เขตพื้นที่ปกครองพิเศษนี้ได้อย่างไร ไม่นับรวมไปถึงมหาค่ายกลที่สลักกำกับด้วยอักขระเวทย์มหาพิภพและสมบัติวิเศษระดับตำนานไม่น้อยกว่าแปดชิ้นที่กระจายอยู่ทั้งแปดทิศหลักสำคัญเช่นนี้
ถนนทุกสายในมหานครต่างมุ่งตรงไปยังเขตป้อมปราการที่เป็กำแพงเมืองสูงใหญ่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าที่มีคนยืนเฝ้าอยู่กลุ่มหนึ่ง ส่วน้าของกำแพงและป้อมปราการก็มีคนอยู่ไม่น้อย สีหน้าแต่ละคนล้วนเคร่งครึมไม่ปรากฏคลื่นอารมณ์ใด กลุ่มพวกนี้คอยเฝ้าคุ้มกันพระราชวังหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลัง กลิ่นอายลมปราณฟ้าดินกล่าวว่ามีความเข้มข้นยิ่งยวดไปไม่แพ้กัน เพียงแต่ว่าพลังไอสังหารที่ได้แทรกซึมอยู่ไปทั่วทั้งเมืองจึงส่งผลให้ผู้ฝึกตนที่เข้ามาในเมืองแห่งการสังหารนี้ หากไม่มีจิติญญาที่นักแน่นมากเพียงพอ อีกไม่นานย่อมถูกหล่อหลอมเป็ส่วนหนึ่งของสถานที่นี้อีกไม่นานสัญชาติญาณความเป็มนุษย์ก็จะสูญสิ้นในที่สุด
“พลังปราณฟ้าดินที่นี่ช่างมีความแปลกประหลาดเสียจริง การสอดประสานเข้ากับกลิ่ยนอายฆ่าฟันสังหารที่กล้าแข็งยิ่ง หากญาณััไม่เข้มแข็งมากเพียงพอคงคลุ้มคลั่งควบคุมตัวเองไม่ได้แน่...” หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ดังไม่เบาจนเกินไป เมื่อจับััของพลังลมปราณของเมืองนี้ได้
“แจ้งคุณชายหนิงให้รับทราบ ภายในยี่สิบสี่ชั่วยามท่านจะอยู่ในการคุ้มครองของข้าในฐานะของผู้มาเยือนใหม่ หลังจากนั้นท่านจะมีฐานะไปไม่ต่างจากพลเมืองนี้อย่างเป็ทางการ สิ่งนี้ท่านเ้าใจใช่หรือไม่ว่าข้าหมายถึงสิ่งใด”
“ไม่มีปัญหา ข้าสามารถถามท่านได้หรือไม่ว่าเมืองแห่งการสังหารนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร??” หนิงอ้ายพยักหน้ารับคำก่อนจะถามกลับไป
“เมืองแห่งการสังหารนี้ได้ถูกก่อตั้งมาอย่างเนิ่นนานเลยทีเดียว ที่นี่ถือเป็ดินแดนอันวิเวกเปล่าเปลี่ยวที่สุดในมหาพิภพ กลิ่นอายมรณะปกคลุมั้แ่ยุคอดีตเต็มไปด้วยไอแห่งการสังหารเข่นฆ่า บรรดาเหล่าเศษสวะเดนดายจากทั่วทุกสารทิศต่างล้วนหลบหนีมายังที่นี้ หลังจากผ่านซุ้มประตูทางเข้าไปแล้ว ไม่ว่าผู้ตามไล่ล่าจะเป็ผู้ใดล้วนต้องหยุดทั้งสิ้น ต่อให้เป็พื้นที่ส่วนนอกนี้ก็มีหน่วยตระเวนดูแลเช่นกัน หาก้าหนีให้พ้นจริง ๆ ต้องผ่านเข้าไปเท่านั้น...”
“ว่ากันว่าครั้งหนึ่งราชทินนามมหาเทพพรหมยุทธ์ิญญาท่านหนึ่ง ้าที่จะทะลวงผ่านเขตขั้นเป็เทพาอันเป็จุดสูงสุดของเขตขั้นพลังิญญา ทว่ากับประสบเคราะห์ร้ายไม่สามารถข้ามผ่านโชคชะตาลิขิต์ได้ ขณะกำลังเร่งเร้ารวบรวมพลังลมปราณด้วยวิธีการพิสดารได้เกิดความผิดพลาด กระดูกิญญาที่ได้ดูดซับไปก่อนหน้าได้แว้งกัดยามที่อยู่ในสภาวะอ่อนแอจนส่งผลให้กายเนื้อจึงถูกทำลายลงไปสิ้น...”
“จิติญญาของมหาเทพพรหมยุทธ์ิญญาท่านนั้นเต็มไปด้วยความแค้นเคืองเป็อย่างยิ่ง นับวันยิ่งสะสมความอาฆาตจนเกิดเป็เป็เขตแดนของเมืองแห่งการสังหารนี้ เขาได้ทำพันธะสัญญากลับรรดากลุ่มอิทธิพลเอาไว้ั้แ่อดีต นับจากวันนั้นจนมาถึงวันนี้กล่าวว่ามีผู้ฝึกตนมากมายนับไม่ถ้วนที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ผู้ปกครองเมืองในแต่ละรุ่นต่างสืบทอดเจตนารมณ์ดังกล่าวและพัฒนาเมืองนี้อยู่เสมอดังเช่นที่ท่านเห็นในปัจจุบัน เพียงแต่ว่าตราบใดที่ผู้มาเยือนยังมีชีวิตอยู่ ทักษะิญญาอันเกิดจากการดูดซับกระดูกิญญาจะถูกพันธนาการสะกดไม่อาจเรียกใช้ได้ สามารถพึ่งพาได้เพียงพลังฝีมือ อาวุธวิเศษหรือทักษะอันเกิดจากปราณธาตุของิญญายุทธ์เพียงเท่านั้น”
“ข้าขอเตือนท่านให้เข้าใจและรับทราบเป็ครั้งสุดท้าย ภายในกำหนดเวลายี่สิบสี่ชั่วยามในการดูแลชั่วคราวนี้ ท่านสามารถเที่ยวชมเมืองหรือรับชมการต่อสู้ที่ลานแห่งการสังหารที่อยู่ใจกลางเมืองได้ เพียงแต่ว่าหลังจากครบกำหนดเวลาแล้วป้ายหยกที่ท่านพกอยู่จะบังคับผูกพันธนาการโลหิตเป็ตายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งสิ้น”
“หาก้าออกจากเมืองแห่งการสังหารท่านจะต้องเอาตัวรอดจากการถูกลอบฆ่าสังหาร จากเหล่านักฆ่าที่ไล่ล่าเก็บค่าหัวที่มีอยู่ทั่วไปทั้งเมืองนี้ หรือไม่เช่นนั้นหากไม่ถูกสังหารไปเสียก่อนก็จะถูกจับตัวเป็เชลยและต้องลงประลองในลานต่อสู้โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หรือหากสมัครใจร่วมลงประลองด้วยตนเอง ด้วยสถานะของผู้ร่วมประลองท่านจะได้รับการดูแลพิเศษจากทางเราเช่นกัน”
“สิ่งที่ท่านพึงกระทำนั่นคือต้องรักษาชีวิตของตนเองให้ได้ทุกครั้งที่ร่วมลงประลองที่จะมีการจัดขึ้นในทุกวัน หรือไม่เช่นนั้นท่านต้องฝ่ายชนะในการประลองครบถ้วนหนึ่งร้อยครั้งจึงจะมีสิทธิร้องขอต่อองค์ราชันปกครองคนปัจจุบัน แน่นอนว่าท่านจะร้องขอโอกาสในการกลับไปยังบ้านเมืองเดิมของท่านหรือจะนั่งในตำแหน่งระดับสูงในเมืองแห่งนี้ได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าผู้ที่สามารถเอาชนะได้ครบถ้วนตรงตามคุรสมบัตินั้นยังไม่ปรากฎมาในรอบหนึ่งพันปีแล้ว...”
“กฎของที่นี่นั่นคือการไม่มีกฎ ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเป็ผู้อยู่รอดอย่างแท้จริง ตามทำเนียบั้แ่เมืองแห่งการสังหารได้ก่อตั้งขึ้น มีเพียงผู้ชนะครบหนึ่งร้อยครั้งเพียงเจ็ดคนเท่านั้น แน่นอนว่าพวกเขาล้วนได้รับสมญานามต่อท้ายว่าเทพแห่งการสังหาร ฉายานามที่เป็ที่น่าหวาดกลัวในมหาพิภพ หากท่านได้ฐานะดังกล่าวแล้ว ตลอดชีวิตของท่านจะมีสิทธิร้องขอความช่วยเหลือจากเมืองแห่งการสังหารนี้ถึงสามครั้ง ข้ารู้ว่าท่านมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับท่านจิ่นเหิง ก่อนครบกำหนดเวลาข้าแนะนำให้ท่านจงออกไปจากเมืองแห่งการสังหารนี้เสีย สิ่งนี้จะเป็ประโยขช์ต่อท่านมากที่สุด..” สตรีสาวอธิบายให้หนิงอ้ายเข้าใจมากยิ่งขึ้นพร้อมกับให้ความแนะนำอย่างจริงใจ ตลอดหลายสิบปีที่นางอาศัยอยู่ที่นี้มีรุ่นเยาว์จำนวนไม่น้อยที่ทะนงว่าตนมากไปด้วยฝีมือ ทว่ากลับไม่มีผู้ใดที่สามารถออกไปโดยมีชีวิตและลมหายใจได้ทั้งสิ้น
“ข้าเข้าใจแล้ว ั้แ่ตัดสินใจมายังเมืองแห่งการสังหารนี้หากไม่สำเร็จเป้าหมายที่วางไว้ย่อมไม่ถอดใจเป็อันขาด คงต้องรบกวนท่านนำทางข้าไปยังลานประลองด้วย” หนิงอ้ายบอกความประสงค์ออกไปอย่างหนักแน่นไม่หวั่นไหว
“แต่ว่า...หากท่าน้าเช่นนั้นข้าจะไม่ขัดข้องจุดประสงค์ดังกล่าว ตามข้ามาทางนี้ได้เลย...” เสี่ยวฮุ่ยที่ได้ยินดังนั้น คราแรกนางตั้งใจขัดขวางให้เด็กหนุ่มตรงหน้าคิดเปลี่ยนใจอีกครั้ง ทว่าเมื่อเห็นแววตาที่ประกายไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดทั้งสิ้น ส่วนลึกภายในใจของนางร่ำร้องบอกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้หาใช่บอบบางดังเช่นรูปลักษณ์ภายนอกไม่ เทพแห่งการสังหารที่ไม่ปรากฏตัวมานับพันปีอาจเป็เขาผู้นี้ก็เป็ไปได้เช่นกัน...
