ใบสั่งจองสินค้าหนึ่งชุดมีสองฉบับ เนื้อหาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว ทั้งสองฉบับจะต้องมีรอยนิ้วมือของลูกค้าและหลี่เจี้ยนอันประทับอยู่ด้วย
ก่อนมาวันนี้สองพี่น้องปรึกษากันแล้วว่า จะให้หลี่เจี้ยนอันรับผิดชอบเก็บเงินตามใบสั่ง ส่วนหลี่ฝูคังรับผิดชอบการส่งมอบขนมไหว้พระจันทร์รสหวานแก่ลูกค้า ส่วนพี่น้องฝาแฝดมีใจตรงกันจึงร่วมมือกันได้เป็อย่างดี
เพียงไม่นานลูกค้าหลายสิบคนก็เดินถือตะกร้าไผ่สานที่บรรจุขนมไหว้พระจันทร์รสหวานกลับบ้านไปด้วยใบหน้าพึงพอใจ ทว่ายังมีลูกค้าหลายคนยังไม่ยอมไป “บ้านข้าจะขอสั่งซื้อขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่อีกห้าสิบชิ้น นี่เงินมัดจำ”
“ที่ซื้อไปเมื่อวานสามสิบชิ้นนั่นข้าซื้อให้บ้านตนเองกิน แต่วันนี้จะซื้อไปให้ผู้าุโ”
“ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานของบ้านเ้าหอมดีจริงๆ หอมกว่าขนมไหว้พระจันทร์ของร้านขนมในเมืองเยี่ยนเสียอีก ผู้อื่นกล่าวกันว่าขนมไหว้พระจันทร์บ้านเ้าขายแพง แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น วันนี้จะซื้อเพิ่มอีกสี่สิบชิ้น”
หลี่เจี้ยนอันกล่าวอย่างลำบากใจ “ขอกล่าวตามตรง พวกเราก็กำหนดให้ลูกค้าในตำบลจินจีสั่งซื้อขนมไหว้พระจันทร์รสหวานได้มากสุดครอบครัวละห้าสิบชิ้นเช่นกันขอรับ”
“ตำบลจินจีเล็กๆ จะสู้อำเภอฉางผิงของพวกเราได้อย่างไรเล่า”
“พวกเราเป็ลูกค้าเก่าของเ้า ก่อนหน้านี้ขอเพียงเ้าตั้งร้านขายแป้งย่าง พวกเราก็ไม่ไปซื้อแป้งย่างของร้านอื่นอีกเลย”
“ยังไม่เคยได้ยินว่า มีผู้ใดที่ลูกค้ามาหาถึงที่แล้วกลับไม่ยอมขายของ”
“พวกเ้าสองคนยอมขายขนมให้ข้าหน่อยเถิด ให้ข้าซื้อขนมไหว้พระจันทร์เพิ่มเพื่อนำไปแสดงความกตัญญูแก่ผู้าุโในบ้านมิได้หรือ”
เมื่อทุกคนขอร้องนานเข้า หลี่เจี้ยนอันก็พยักหน้าตกลงในที่สุด
นี่คือการตลาดแบบยั่วน้ำลายที่หลี่หรูอี้กล่าวถึง เป็การจำกัดปริมาณการซื้อขาย แต่กลับสามารถทำให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มมากขึ้น
หลังจากลูกค้ากลุ่มนี้กลับไปแล้วตลาดก็เปิดทำการ ชาวบ้านเดินออกมาจากประตูเมืองฉางผิงเพื่อมาจับจ่ายสินค้าตามปกติ
วันนี้ตระกูลหลี่ไม่ได้ขายแป้งย่างต้นหอม ขายเพียงขนมไหว้พระจันทร์รสหวานและรับจองสินค้าเท่านั้น หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังจึงสบายกว่าเมื่อวาน
สายลมยามสารทพัดมา นำพากลิ่นหอมของขนมไหว้พระจันทร์รสหวานให้ตลบอบอวลไปทั่วทั้งตลาด กลิ่นนี้ไม่เพียงจะดึงดูดทุกคนเท่านั้น ทว่ายังดึงดูดไปถึงผู้ดูแลร้านขนมของตระกูลฉินที่ขายดีที่สุดในอำเภอฉางผิงด้วย
ผู้ดูแลร้านแซ่ฉินเป็ชายวัยกลางคนร่างสูงตัวอ้วน สวมชุดผ้าไหมสีเทาอ่อน ตัวอ้วนกลมราวกับลูกบอล แต่กลับคาดเข็มขัดสีม่วงไว้ที่เอวจนแน่น ทำให้ิั่ท้องนูนออกมาเป็สามชั้น ดูแล้วน่าขันยิ่งนัก
คนคุ้นเคยคนหนึ่งเดินเข้ามาโบกมือทักทาย “ผู้ดูแลฉิน เ้าก็มาซื้อขนมไหว้พระจันทร์ตระกูลหลี่ด้วยหรือ”
ผู้ดูแลฉินยิ้มจนตาหยีเป็เส้นเดียว “เพื่อนบ้านข้าซื้อขนมไหว้พระจันทร์รสหวานมาให้ข้าชิมแล้ว ข้าคิดว่ารสชาติเป็เอกลักษณ์ดีจึงมาดูเสียหน่อย”
หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังไม่รู้จักผู้ดูแลฉิน จึงไม่ทราบว่าชายร่างอ้วนในชุดสีเทาที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกลเป็คู่แข่งทางการค้า
ผู้ดูแลฉินกล่าวว่า จะมาดูเสียหน่อยก็ทำเช่นนั้นจริงๆ เขายืนอยู่จนกระทั่งหลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังเตรียมขับเกวียนกลับบ้าน ตนเองจึงค่อยกลับไปที่ร้านขนมในอำเภอ
พนักงานหนุ่มร่างสูงผอมเดินเข้ามาถามว่า “ผู้ดูแลขอรับ ขนมไหว้พระจันทร์ตระกูลหลี่ขายดีหรือไม่”
ตอนไปสังเกตการณ์ผู้ดูแลฉินแอบดูถูกขนมไหว้พระจันทร์ตระกูลหลี่อยู่ในใจ คิดว่าพ่อค้าหาบเร่เล็กๆ จะขายขนมไหว้พระจันทร์ได้มากเพียงใดกันเชียว ทว่าหลังจากผ่านไปได้ครึ่งชั่วยามก็ไม่กล้าดูถูกอีก หยาดเหงื่อไหลท่วมใบหน้าอ้วนๆ คิ้วก็ขมวดแน่น “ดี” ดีเพียงใดน่ะหรือ ก็ดีมากจริงๆ
พนักงานกล่าวอย่างกังวล “เช่นนั้นจะกระทบถึงกิจการร้านค้าของพวกเราหรือไม่”
“กระทบแน่” พนักงานผู้นี้ทำงานที่ร้านขนมมาหลายปีจนเรียกได้ว่าเป็สหายคู่คิดแล้ว ผู้ดูแลฉินจึงไม่ปิดบังเขา “เดิมทีพรุ่งนี้ข้าคิดว่าจะไปซื้อขนมไหว้พระจันทร์ดีๆ จากเมืองเยี่ยนมาขายในราคาแพงเสียหน่อย แต่ตอนนี้คงไม่ไปแล้ว”
สายตาของพนักงานทอดมองไปยังขนมไหว้พระจันทร์ราคาถูกสี่ชนิดที่จัดวางอยู่ในร้านก่อนกล่าวขึ้นว่า “หรือปีนี้ร้านของพวกเราจะขายได้แต่ขนมไหว้พระจันทร์พวกนี้?”
“ใช่แล้ว คงขายได้แต่ขนมไหว้พระจันทร์พวกนี้” ผู้ดูแลฉินเคยกินขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่มาแล้ว รสชาติดีกว่าขนมไหว้พระจันทร์ราคาแพงในเมืองเยี่ยนมาก ราคาก็ไม่สูง เรียกได้ว่ามีเพียงหนึ่งไม่มีสอง หากไม่ใช่คนโง่จะต้องมาซื้อขนมไหว้พระจันทร์ตระกูลหลี่แน่นอน คงไม่ยอมมาซื้อขนมไหว้พระจันทร์ราคาแพงจากเมืองเยี่ยนเป็แน่
ในฐานะที่เป็พ่อค้า ทั้งๆ ที่รู้ว่าสินค้าจะขายไม่ออกแล้วยังจะไปรับสินค้ามาทำไมอีกเล่า?
พนักงานกล่าวอย่างร้อนใจ “ผู้ดูแลขอรับ ข้าได้ยินว่า ร้านเมี่ยนเซียงไจและร้านขนมตระกูลหลิวไปรับขนมไหว้พระจันทร์ราคาแพงมาจากเมืองเยี่ยนจำนวนมาก หากร้านของเราไม่รับของมาด้วย ลูกค้าคงไม่ยอมเข้าร้านแน่”
“ข้าจะไปสืบดูเสียหน่อยว่า สองร้านนั้นสั่งขนมไหว้พระจันทร์มาจริงหรือไม่” ผู้ดูแลฉินไม่สนใจพักดื่มน้ำ รีบออกไปสืบเื่ร้านขนมทันที ผลก็คือ เป็ดั่งที่พนักงานกล่าวจริงๆ ร้านเมี่ยนเซียงไจและร้านขนมตระกูลหลิวรับขนมไหว้พระจันทร์มาจากเมืองเยี่ยน ร้านละสี่พันชิ้น
ขนมไหว้พระจันทร์ที่ผลิตจากร้านขนมเมืองเยี่ยนแบ่งออกเป็สามระดับ แบบที่ถูกที่สุดชิ้นละสิบสองทองแดง แบบกลางชิ้นละสิบแปดทองแดง แบบที่แพงที่สุดชิ้นละยี่สิบทองแดง
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็เพียงราคาซื้อเท่านั้น เมื่อร้านเมี่ยนเซียงไจและร้านขนมตระกูลหลิวนำมาขายจะต้องเพิ่มราคาขนมไปอีกห้าทองแดง เมื่อเป็เช่นนี้ขนมไหว้พระจันทร์ที่รสชาติแย่ที่สุดยังต้องขายถึงสิบเจ็ดทองแดง แพงกว่าขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ตั้งเจ็ดทองแดง
ในคืนนั้นผู้ดูแลฉินตัดสินใจกระทำการตรงกันข้าม เขาจะไม่รับขนมไหว้พระจันทร์จากเมืองเยี่ยนมาขาย แต่จะไปรับขนมไหว้พระจันทร์ราคาถูกจากร้านขนมในตำบลใกล้เคียงมาขายแทน
เทศกาลไหว้พระจันทร์ของปีนี้ ร้านขนมตระกูลฉินขายเพียงขนมไหว้พระจันทร์ที่มีราคาถูกเท่านั้น ชิ้นที่แพงที่สุดชิ้นละหกทองแดง ชิ้นที่ราคาถูกสุดชิ้นละสามทองแดง
คนในอำเภอมีรสนิยมทางด้านรสชาติอาหารสูงมาก อีกทั้งที่นี่ก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองเยี่ยน ชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาก็มีไม่น้อย แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะซื้อเพียงขนมไหว้พระจันทร์ราคาแพง ขนมไหว้พระจันทร์ราคาถูกก็มีตลาดใหญ่เช่นกัน
ผู้ดูแลฉินมีหัวการค้าดีมาก การตัดสินใจในคราวนี้ทำให้ร้านขนมตระกูลฉินไม่ขาดทุนทั้งยังทำกำไรได้อีกเล็กน้อย ส่วนร้านขนมอีกสองร้านนั้นขายไม่ออกจนขาดทุนไปหลายสิบตำลึงเงิน นี่เป็สิ่งที่กล่าวกันภายหลัง
วันนี้บ้านหลี่ได้รับใบสั่งซื้อขนมไหว้พระจันทร์รสหวานมาจากอำเภอฉางผิงทั้งหมดจำนวนสองพันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบชิ้น
เด็กๆ บ้านหลี่นำคนงานทั้งห้าทำงานจนมือเป็ระวิงจึงไม่ทราบว่าปริมาณการขายขนมไหว้พระจันทร์รสหวานของพวกตนได้ส่งผลกระทบถึงธุรกิจร้านขนมในอำเภอฉางผิงแล้ว
ไม่ทันไรก็ถึงเวลาพักกินอาหารเย็น เมื่อหมูทอดกระเทียมชามใหญ่ถูกยกขึ้นโต๊ะ คนงานทั้งห้าก็พากันตกตะลึงจนตาค้าง
บ้านหลี่ทำการค้ามาหลายเดือนแล้ว กินแต่เครื่องในหมู หางหมูและขาหมูที่คนขายเนื้อแซ่จางเอามาให้ นี่เป็ครั้งแรกที่จ่ายเงินซื้อเนื้อหมูกันเอง
จ้าวซื่อเห็นความลำบากของลูกๆ อยู่ตลอดโดยเฉพาะ่สองวันมานี้ นางรู้สึกปวดใจนักจึงไม่ตำหนิที่หลี่หรูอี้ซื้อเนื้อหมูมาทอดกิน
นอกจากหมูทอดกระเทียมก็มีแตงกวาผัดไข่อีกชามใหญ่ ส่วนอาหารหลักคือ หมั่นโถวขนาดใหญ่เท่ากำปั้นผู้ใหญ่ ซึ่งทำมาจากแป้งหยาบและแป้งขาวผสมกัน
ทุกคนกินกับข้าวสองชามใหญ่กันจนเกลี้ยง กระทั่งน้ำแกงในชามก็ถูกอู่โก่วจื่อตัวตะกละตะกลามกินลงท้องไปจนหมด
หลังจากกินอาหารเสร็จ หลี่เจี้ยนอันก็พูดกับคนงานทั้งห้าตามที่หลี่หรูอี้กำชับไว้ว่า “เงินสิบทองแดงนี่เป็เงินค่าจ้างของวันนี้ พวกเ้าเอาเงินกลับไปบ้าน ไปบอกที่บ้านว่า ปลอดภัยดีก่อนค่อยกลับมาทำงานกันต่อเถิด คืนนี้ยังต้องทำงานกันถึงดึก แล้วพวกเ้าก็นอนที่บ้านข้าเลยแล้วกัน”
ไม่มีใครไม่ชอบเงิน โดยเฉพาะเด็กชายเด็กหญิงทั้งห้าคนที่ครอบครัวยากจน พวกเขาได้กินอาหารดีๆ ตอนเช้าก็เพิ่งได้รับค่าจ้างมาสิบทองแดง ตกเย็นก็ได้รับมาอีกสิบทองแดง รวมเป็ยี่สิบทองแดงแล้ว รายได้เช่นนี้สูงพอๆ กับผู้ชายผู้ใหญ่ที่ไปทำงานสร้างกำแพงในเมืองเยี่ยนเลยทีเดียว จะทำใจรับไว้ได้อย่างไร ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้ารับ
หลี่หรูอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ สังเกตท่าทางของทั้งห้าคน เห็นว่าไม่มีใครมีความโลภในดวงตาจึงกล่าวเสริมไปว่า “พวกเ้าเอาเงินกลับไปให้ครอบครัวก็พอ แต่ต้องจำไว้ให้ดี พวกเ้าจะต้องเงียบไว้ ห้ามพูดเื่ครอบครัวของเรากับผู้อื่นเด็ดขาด”
อู่โก่วจื่อรีบรับคำทันที “ต่อให้ตีให้ตายข้าก็ไม่พูดแน่นอน”
อีกสี่คนที่เหลือรีบเอ่ยปากสัญญาเช่นกัน ห้าพี่น้องบ้านหลี่ยัดเงินใส่มือพวกเขา พวกเขาจึงค่อยรับไว้ด้วยใบหน้าซาบซึ้งใจ จากนั้นจึงวิ่งเอาเงินกลับไปมอบให้ที่บ้าน เพียงไม่นานก็วิ่งกลับมาในสภาพเหงื่อโทรมกาย
วันต่อมาหลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังไปขายขนมไหว้พระจันทร์รสหวานที่ตำบลจินจี ได้รับคำสั่งซื้อมาเพิ่มอีกห้าร้อยสี่สิบชิ้น ก่อนกลับยังไปเหมาซื้อน้ำมันงาจากร้านธัญพืชมาด้วย ทำให้ผู้ดูแลดีใจจนแถมน้ำมันพืชให้อีกสองชั่ง
ชายชราไฝดำวิ่งตามมาถึงประตูตำบล กล่าวถามเสียงดังว่า “เ้าไม่ขายแป้งย่างต้นหอมแล้วหรือ”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้