“เ้าเป็ใครมาจากไหนถึงกล้ากังขาเื่การทำงานของผู้าุโเหลียง?” เจิ้งเชากล่าวเสียงเย็น
“ทำเป็เสแสร้งทั้งที่เป็ฝ่ายเริ่มยั่วยุข้าสองคนก่อน เ้าเจิ้งเชานับว่าตัวเองนับเป็สิ่งใดกัน?” เย่เฟิงตอกกลับ ในเมื่อเื่มาถึงจุดนี้แล้ว เช่นนั้นเขาเย่เฟิงก็จะไม่เกรงใจ
“พูดจาดูิ่ผู้าุโเช่นนี้ควรลงโทษเขาอย่างแรง!” พลันมีเสียงดังออกมาจากฝูงชน เย่เฟิงหันไปมอง ก่อนสายตาจะไปหยุดอยู่ที่คนนั้น ทำคนนั้นใไม่นึกว่าจะถูกเย่เฟิงพบเร็วขนาดนี้
“เ้ากำลังพูดถึงข้าอยู่งั้นหรือ?” เย่เฟิงกล่าวถามคนนั้นด้วยเสียงเย็นเยือก ทว่าโลกมนุษย์ก็เป็เช่นนี้แล ยามเ้าตกอยู่ในวิกฤต คนส่วนมากก็เลือกที่จะซ้ำเติม แทนที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
“พูดถึงเ้าแล้วอย่างไร? เ้าล่วงเกินผู้าุโก็ย่อมได้รับการลงโทษ” คนนั้นตัวสั่นสะท้านเมื่อถูกเย่เฟิงซักถาม ตนรู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่เฟิง แต่ต่อหน้าประชาชี เขาต้องทำตัวเข้มแข็งไม่อ่อนปวกเปียก
“พรึ่บ!” ขณะที่คนนั้นพูด เย่เฟิงก็พลันเคลื่อนไหว พลังดารารายล้อมกาย แสงดาวส่องระยิบระยับ ก่อนจะไปเยือนเบื้องหน้าคนนั้นในเสี้ยวพริบตา
ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อคือเคล็ดวิชาท่าร่างที่เย่เฟิงได้รับมาหลังจากสังหารหวังหลง ตอนนี้เย่เฟิงฝึกเคล็ดวิชานี้ถึงระดับพื้นฐาน ทั้งยังเรียนรู้แผนที่ดาวถึงระดับลึกซึ้ง เมื่อใช้เคล็ดวิชาระดับนี้แล้ว มีหรือผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาจะตอบสนองทัน
เมื่อคนนั้นตอบสนอง ฝ่ามือใหญ่ของเย่เฟิงก็คว้าไปที่ลำคอของอีกฝ่ายแล้ว ซึ่งมิอาจต้านทานพลังเช่นนั้นได้ ร่างอีกฝ่ายค่อย ๆ ถูกยกขึ้นสูง จนลอยตระหง่านกลางอากาศ
“เ้าจะทำอะไร? ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!” แววตาของคนนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ยิ่งเขาดิ้นรนก็ยิ่งหายใจไม่ออกเพราะถูกบีบคอ กระทั่งได้กลิ่นความตายโชยมา
“หมอนี่บ้าไปแล้ว!” ผู้คนรอบข้างเห็นฉากนี้ต่างก็ตะลึงงัน เพียงเพราะคนนั้นพูดจาซ้ำเติม จึงถูกชายผู้นี้บีบคอยกร่างอีกฝ่ายขึ้นสูง ตราบใดที่ชายผู้นี้ออกแรงเพียงนิด คนนั้นต้องตายเป็แน่ นี่มันเื่บ้าอะไรกัน
“ปล่อยเ้าน่ะหรือ?” สายตาของเย่เฟิงเผยประกายแหลมคม ยกร่างอีกฝ่ายขึ้นสูง แต่มีหรือที่ตอนนี้อีกฝ่ายจะทำตัวอวดดี เย่เฟิงกล่าวว่า “ก่อนที่เ้าจะพูดจาซ้ำเติมนั่น เคยคิดถึงผลลัพธ์อย่างในตอนนี้ไหม ฆ่าเ้าไปก็ไม่ได้อะไร ไสหัวไปซะ!”
สิ้นเสียงตวาดของเย่เฟิง เย่เฟิงก็โยนร่างคนนั้นออกไปจนร่างคนนั้นตกกระแทกพื้นอย่างแรง เย่เฟิงไม่ชอบพวกที่พูดจาซ้ำเติม แต่ก็ไม่อยากทำร้ายใครสุ่มสี่สุ่มห้า
อย่างไรก็ตามเขากับคนนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกันใด ๆ ทั้งสิ้น แต่คนนั้นเติมแต่งเนื้อหาให้เกินจริง หากเปรียบเทียบดูแล้ว คนนั้นน่ารังเกียจยิ่งกว่าเจิ้งเชาเสียอีก
พลันเกิดความผันผวนขึ้นในใจของเหล่าผู้คน ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยเห็นผู้แข็งแกร่งอย่างเย่เฟิงมาก่อน
“ยโสโอหัง ต่อหน้าข้าแล้วเ้าก็ยังกล้าทำร้ายคนอีก หักเงินเดือนเ้าเป็เวลาหนึ่งปี ห้ามเหยียบลานกว้างแห่งนี้ตลอดชีวิต!” ผู้าุโแซ่เหลียงโกรธเย่เฟิงเป็อย่างมาก เย่เฟิงคนนี้ไม่เคารพเขา แม้อยู่ในเขตพื้นที่ดูแลของเขา เย่เฟิงก็ยังลงมือทำร้ายคนอื่น เช่นนั้นเขาก็จะลงโทษเย่เฟิง ให้บทเรียนหนัก ๆ จนต้องจดจำไปชั่วชีวิต
“หักเงินเดือนหนึ่งปี ห้ามเหยียบลานกว้างนี้ตลอดชีวิต บทลงโทษช่างโหดนัก!” ผู้คนต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น
พวกเขาส่วนใหญ่มาอยู่ที่สำนักยุทธ์เทียนเสวียนได้สองปีกว่าแล้ว ย่อมรู้ซึ้งดีว่าบทลงโทษที่ผู้าุโแซ่เหลียงมอบให้เย่เฟิงร้ายแรงเพียงใด
เงินเดือนก็คือสวัสดิการที่ทางสำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะให้ศิษย์สำนักในทุกเดือน ในนั้นมีเงินจำนวนหนึ่งและยาเม็ดจำนวนหนึ่ง
สำหรับศิษย์สำนักทั่ว ๆ ไป ทุกคนจะได้ 5 ตำลึงเงินต่อเดือน รวมถึงยาพลังกาย 2 เม็ด
เมื่ออยู่สำนักยุทธ์อย่างต่ำหนึ่งปีก็จะได้ 60 ตำลึงเงินและยาพลังกาย 24 เม็ด สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาแล้ว มันไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลย
แม้กระทั่งเกี่ยวข้องกับความสำเร็จของการบ่มเพาะพลังภายในหนึ่งปี ซึ่งการบ่มเพาะพลังไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับความมุมานะและทักษะเคล็ดวิชา บางครั้งทรัพยากรก็เป็สิ่งสำคัญ โดยเฉพาะยาเม็ด ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ หาก้ายกระดับพลังโดยเร็วก็ต้องใช้ยาเม็ดเข้าช่วย
ซึ่งยาพลังกาย 2 เม็ดที่ทางสำนักยุทธ์เทียนเสวียนมอบให้ศิษย์ทั่ว ๆ ไปในทุกเดือนนั้น มันจะช่วยขัดเกลาร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายา หากเป็จำนวน 24 เม็ด ประสิทธิภาพของมันจะยิ่งสูงขึ้นหลายเท่า ผู้ที่ใช้ยาเม็ดนี้ในการขัดเกลาร่างกายจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
ทว่าจากประโยคนั้นของผู้าุโแซ่เหลียง เย่เฟิงจะไม่ได้รับ 60 ตำลึงเงินและยาพลังกาย 24 เม็ด เหล่าผู้คนต่างรู้สึกเสียดายแทนเย่เฟิง เพราะมันไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลย ส่วนเื่ที่ห้ามเข้ามาเหยียบลานกว้างแท่นศิลาเทียนเสวียนตลอดชีวิต กลับมีไม่กี่คนที่สนใจ
ถึงอย่างไรแล้วสำหรับคนอย่างเย่เฟิงยังอีกยาวไกลกว่าจะมีชื่อบนแท่นศิลาเทียนเสวียนได้ บางทีชั่วชีวิตนี้เขาก็คงไม่อาจเข้าไปอยู่บนนั้นได้ ดังนั้นการที่ถูกห้ามเข้ามาเหยียบลานกว้างแห่งนี้จึงไม่ใช่เื่สำคัญอะไร
แม้จะเป็เจิ้งเชาผู้มีชื่ออยู่ลำดับสุดท้ายในรายนามขั้นบ่มเพาะกายา ก็ไม่ใช่คนอย่างเขาเย่เฟิงจะล่วงเกินได้ ทั้งยังถูกหักเงินเดือนหนึ่งปีอีกด้วย หนึ่งปีต่อจากนี้ การบ่มเพาะของเย่เฟิงคงก้าวหน้าได้ยากแล้ว มีคนไม่น้อยกำลังครุ่นคิดในใจขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาเวทนา
เจิ้งเชาที่อยู่ข้าง ๆ ก็มองเย่เฟิงกับฉู่หานด้วยความสะใจ ในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน พลังก็คือความยุติธรรม ฐานะและตำแหน่งก็คือความยุติธรรมเช่นกัน
เขาเจิ้งเชาคือผู้ฝึกยุทธ์ที่มีชื่อบนแท่นศิลาเทียนเสวียน ได้รับความสำคัญจากสำนัก ผนวกกับที่เขาเป็ศิษย์ของพรรคเทียนจีด้วย ฐานะจึงทบขึ้นไปอีก แม้แต่ผู้าุโเหลียงที่เป็ถึงผู้คุมกฎของลานกว้างแห่งนี้ก็ยังให้เกียรติเขา ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้เย่เฟิงไปล่วงเกินผู้าุโเหลียง มีหรือจุดจบของเย่เฟิงจะดี?
“ฮ่า ๆ ๆ!”
ได้ยินผู้าุโเหลียงคนนั้นมอบบทลงโทษให้ตัวเอง เย่เฟิงก็ะเิหัวเราะ ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างเย็นเยียบ “ข้ากระจ่างแจ้งแล้ว กฎบังคับใช้ของผู้าุโล้วนเป็สิ่งที่น่าเชื่อถือไม่ได้และกุขึ้นมาเอง จะลงโทษใครก็ได้ที่ไม่เข้าตาท่าน นี่คืออำนาจของท่าน ส่วนข้าเย่เฟิงเป็เพียงศิษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่สามารถลงโทษยังไงก็ได้ แต่สิ่งที่ข้าอยากบอกคือ บทลงโทษของท่านก็มิอาจหยุดยั้งข้าได้ สักวันหนึ่งข้าคนนี้จะมาเหยียบที่นี่อีกครั้ง เวลานั้นท่านคงได้โค้งคำนับต้อนรับ”
เสียงของเย่เฟิงดังกึกก้องทั่วลานกว้าง ทุกคนต่างได้ยินชัดเจน เขาบอกว่าจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง ยามนั้นผู้าุโเหลียงจะต้องโค้งคำนับต้อนรับเขา คำพูดเช่นนี้ช่างโอหังยิ่งนัก แต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของเขา
ถูกผู้าุโลงโทษอย่างไม่เป็ธรรม เขาเย่เฟิงจะมาเหยียบที่นี่อีกครั้งทำไม เว้นแต่ว่าชื่อของเขาจะไปอยู่บนแท่นศิลาเทียนเสวียน หากเวลานั้นมาถึง แม้แต่ผู้าุโเหลียงก็ไม่มีสิทธิ์มาหยุดเขา
“เ้าฝันกลางวันอยู่หรือ? ผู้าุโเหลียงลงโทษโดยห้ามเ้ามาเหยียบที่นี่ตลอดชีวิต แล้วเ้าจะมาที่นี่อีกได้เยี่ยงไร” เจิ้งเชากล่าวดูถูก คิดว่าเย่เฟิงกำลังฝันกลางวันอยู่
“พล่ามอะไรไร้สาระ เ้ารอดูก็แล้วกัน!” เย่เฟิงตวาดใส่เจิ้งเชา จากนั้นหันไปมองฉู่หาน ซึ่งตอนนี้ฉู่หานกำลังใกับการกระทำของเย่เฟิงเป็อย่างมาก
“ศิษย์พี่ฉู่ เราไปกันเถอะ” ฉู่หานสลัดความคิดออกไป ก่อนจะพยักหน้าให้เย่เฟิงและออกไปจากที่นี่พร้อมกับเย่เฟิง
ผู้คนมองแผ่นหลังของสองคนนั้นด้วยตาทอประกาย คำพูดนั้นยังคงดังกังวานในหัวของพวกเขา ราวกับว่าสิ่งที่เย่เฟิงพูดเป็ความจริง สักวันหนึ่งเขาจะกลับมาเหยียบที่ลานกว้างแห่งนี้อีกครั้ง
คำพูดพวกนั้นทำให้จิตใจของใครหลาย ๆ คนไม่สงบ มันถูกต้องแล้วหรือที่พวกเขาไม่พยายามจะก้าวหน้า?
ความคิดมากมายผุดขึ้นในสมองของเหล่าผู้คน แน่นอนว่าเย่เฟิงไม่มีทางทราบได้ เขากับฉู่หานมุ่งหน้าไปยังที่แห่งหนึ่ง เพื่อกลับที่พัก
ขณะนั้นทั้งสองก็มาถึงที่พักแล้ว ที่พักไม่ใหญ่โอ่อ่า แต่กลับสะอาดเกลี้ยงเกลา
แม้สำนักยุทธ์เทียนเสวียนจะมีสี่พรรค แต่ศิษย์ทั้งสี่พรรคกลับพักอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่เดียวกัน ซึ่งเขตพื้นที่นี้กว้างใหญ่ บรรจุศิษย์ได้นับหมื่น ดังนั้นที่พักของเย่เฟิงก็ย่อมอยู่ในเขตนี้
“ศิษย์น้องเย่ ต่อไปนี่จะเป็ที่พักของเ้า” ฉู่หานกล่าวด้วยรอยยิ้ม ผ่านศึกปะทะกับพวกเจิ้งเชามาเมื่อครู่ ทำฉู่หานต้องมองเย่เฟิงใหม่ กระทั่งรู้สึกชื่นชมเย่เฟิง
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นกล่าวว่า “ขอบคุณศิษย์พี่”
“ขอบคุณข้าทำไม? หากศิษย์น้องเย่ไม่ช่วยไว้ วันนี้ข้าคงตกอยู่ในกำมือของเจิ้งเชาเป็แน่ เพราะเหตุนี้จึงทำให้เ้าถูกหักเงินเดือนเป็เวลาหนึ่งปี ข้าสิที่ต้องขอโทษเ้า” ฉู่หานรู้สึกละอายใจ ก่อนพูดต่อ “เช่นนั้นเงินเดือนในหนึ่งปีของเ้าข้าจะรับผิดชอบเอง ทำแบบนี้ข้าจะได้สบายใจ”
“ไม่ต้องหรอกศิษย์พี่” เย่เฟิงโบกมือ ถึงแม้เงินเดือนในหนึ่งปีจะไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ แต่ผู้าุโแซ่เหลียงคนนั้นก็เป็คนลงโทษเขาเย่เฟิง เช่นนั้นเขาจะให้ฉู่หานรับผิดชอบได้อย่างไร
“เงินเดือนแค่หนึ่งปีไม่ส่งผลกระทบต่อข้าหรอก ศิษย์พี่วางใจเถอะ” เย่เฟิงกล่าว
“แต่ศิษย์น้อง...” ฉู่หานดูเหมือนอยากพูดบางอย่าง แต่เย่เฟิงกลับหยุดไว้ก่อน
“ศิษย์พี่ฉู่ ได้โปรดเชื่อใจข้า”
เมื่อเห็นความแน่วแน่ของเย่เฟิง ฉู่หานสองจิตสองใจ แต่ก็วางมือบนบ่าของเย่เฟิงพร้อมกล่าวว่า “ได้ ข้าเชื่อใจเ้า”
“เป็เพราะข้า ศิษย์น้องเลยผิดใจกับเจิ้งเชา เจิ้งเชาผู้นี้แข็งแกร่งไม่พอ แต่ยังชั่วร้ายมาก ๆ ด้วย ครั้งนี้เขาไม่มีทางรามือง่าย ๆ แน่ เ้าต้องระวังตัวให้ดี ๆ” ฉู่หานกำชับเย่เฟิง เจิ้งเชานั้นคือผู้ฝึกยุทธ์แห่งรายนามขั้นบ่มเพาะกายา อยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 ย่อมจัดการไม่ได้ง่าย ๆ เื่นี้เย่เฟิงต้องระวังเป็พิเศษ
ณ สำนักยุทธ์เทียนเสวียน เย่เฟิงไม่เพียงแต่ล่วงเกินเจิ้งเชา แต่ยังล่วงเกินโจวมู่ไป๋ หนานกงหลิงซวง และตระกูลเฉิน
ตามที่ซ่งซินหลิงเคยบอกไว้ตอนที่อยู่ในเทือกเขาปี้หลิง หลี่หงผู้เป็พี่ชายของหลี่เฟยที่ถูกเย่เฟิงฆ่าตายก็อยู่ที่สำนักนี้ด้วย ในเวลานั้นหลี่เฟยพกมุกิญญาติดตัวไปด้วย เมื่อตัวเขาตาย มุกิญญาจำต้องแตกสลาย นั่นหมายความว่าหลี่หงผู้นั้นสามารถตามรอยกลิ่นอายของเขาจากมุกิญญานั่นได้
แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เย่เฟิงไม่รู้จักหลี่หง แต่หลี่หงกลับตามรอยกลิ่นอายของเขาได้
เขากำลังคิดว่าหลี่หงแอบอยู่ในความมืด นี่เป็ภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว