ข้าเดินออกจากห้องทำงานของผู้เป็พี่ในยามแสงอาทิตย์อัสดงด้วยความรู้สึกกระวนกระวายเพราะถ้าคนที่มีนิสัยโเี้อย่างเฉิ่นปู้หยุนเกิดรู้ว่าข้าแอบเรียนเคล็ดวิชาลับของเขาแล้วล่ะก็เขาต้องเล่นงานข้าถึงตายแน่ๆ
...
หลังจากฝึกฝนวิชาลมหายใจัอยู่หลายรอบจนถึงเย็นซูเหยียนและตั้นไถเหยาก็มาเหมือนนัดกันไว้วันนี้นางทั้งสองไม่ได้สวมใส่เครื่องแบบของสำนัก แต่อยู่ในชุดลำลองแบบหญิงสาวทั่วไปอย่างซูเหยียนนางใส่กระโปรงสีแดงสด ผมสีทองถูกถักเปียไว้อย่างงดงามส่วนตั้นไถเหยาดูดีในชุดกระโปรงสีน้ำเงิน เผยให้เห็นทรวดทรงชัดเจนและด้วยอากาศที่เย็นใน่ฤดูใบไม้ร่วง นางทั้งสองจึงไม่ลืมสวมเสื้อคลุมตัวยาวซึ่งเสริมบุคลิกให้ดูสง่าผ่าเผยมากขึ้น
“ได้ยินว่าเมื่อตอนกลางวันเ้าชนะอาจารย์ผู้ช่วยคนหนึ่งได้งั้นเหรอ?”
ซูเหยียนมองมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นก่อนจะพูดต่อ“แล้วแบบนี้มันจะมีปัญหาใหญ่ตามมาหรือเปล่า?”
“มันก็แน่อยู่แล้ว”
ข้ายังไม่ทันได้พูดอะไรตั้นไถเหยาที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะข้างๆ ก็ชิงพูดขึ้นก่อน “นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเ้าจะใช้เพลงขาของเฉิ่นปู้หยุนไปจัดการหลัวเหวินทำแบบนี้เ้าคิดว่าคนอารมณ์ร้อนอย่างเฉิ่นปู้หยุนจะทนได้งั้นเหรอ?”
ข้ารับกล่องข้าวจากซูเหยียนแล้วพูดขึ้น“ขอบใจเ้ามากนะซูเหยียน อันที่จริงข้าก็สอนวิชาปลายพู่กันให้เ้าหมดแล้วดังนั้นเ้าไม่ต้องเอาข้าวมาส่งให้ข้าแล้วก็ได้นะ”
ซูเหยียนได้ยินก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาเล็กน้อย“ไม่ต้องแล้วจริงๆ เหรอ?”
ข้ารู้สึกลังเลก่อนจะบอกไป“ถ้าเ้าไม่รู้สึกลำบากอะไร ข้าก็ต้องชอบอยู่แล้วล่ะ”
ซูเหยียนได้ยินดังนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็ดีใจทันที “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะเอาข้าวมาส่งให้เ้าเหมือนเดิมเพราะตอนเย็นข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีถ้ามัวแต่พูดเสียดสีกับเชวียหรานก็กลัวว่าจะทำลายความเป็เพื่อนและไม่ปลอดภัยอีกต่างหากก็ เพราะถ้านางยิงธนูใส่เพียงแค่ดอกเดียว ข้าคงต้องตายแน่ๆ”
“ใครคือเชวียหราน?”
“ถังเชวียหราน เพื่อนร่วมห้องพักของพวกเราเองอย่าบอกนะว่าเ้าไม่รู้จักศิษย์ใหม่ที่อยู่อันดับสองของปีนี้?” ตั้นไถเหยาถามด้วยท่าทีแปลกใจ
“เหมือนจะจำได้ แต่ก็ไม่เคยเจอ”
“เดี๋ยววันหลังก็ได้เจอเองแหละ”
“อ่อ...เดี๋ยวถ้าข้ากินเสร็จก็ไปหาเฉิ่นปู้หยุนเลยแล้วกัน”
“ฮะ เ้าอยากตายหรือไง?” ซูเหยียนลุกพรวด สายตาจ้องเขม็งอย่างเอาเื่“นี่เ้าไม่นึกบ้างเหรอว่าที่ผ่านมาเฉิ่นปู้หยุนใช้พลังเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นเ้าคิดว่าเขาจิตใจดีอย่างนั้นเหรอ ข้าจะบอกอะไรให้นะสาเหตุที่เฉิ่นปู้หยุนอยู่ในลำดับที่เจ็ดจากการจัดอันดับัพยัคฆ์เพราะความเก่งกล้าสามารถของเพลงขาที่เป็เอกลักษณ์อีกทั้งการต่อสู้อย่างดุเดือดเมื่อห้าปีก่อนที่เขตชางหนานตอนนั้นเฉิ่นปู้หยุนสังหารสัตว์เวทระดับหกถึงสี่ตัวและสังหารสัตว์เวทระดับเจ็ดไปอีกหนึ่งตัวไหนจะเมื่อครั้งที่มีการประลองยุทธ์ที่วิหารศักดิ์สิทธิ์เขาก็เอาชนะจอมยุทธ์ฝีมือดีทั้งจากตระกูลถังและตระกูลซูไปหลายคนจนได้ที่หนึ่งมาครองอีกเขาเป็เสมือนหนึ่งในเทพศาสตราเลยนะเ้ารู้ไหม!”
ข้าชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อก่อนรู้แต่ว่าเขาแข็งแกร่ง แต่นึกไม่ถึงว่าจะเก่งกาจขนาดนี้
สัตว์เวทคือสัตว์ป่าบนแผ่นดินหลงหลิงที่ผ่านการบำเพ็ญจนแข็งแกร่ง เมื่อมีคุณสมบัติมากพอก็จะเริ่มสะสมพลังิญญาและใช้สัญชาตญาณเพื่อเปลี่ยนตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นจนกระทั่งเข้าสู่ขั้นของสัตว์เวทซึ่งมีทั้งหมดเก้าระดับ แบ่งตามมาตรฐานที่วิหารศักดิ์สิทธิ์กำหนดโดยระดับหนึ่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนระดับสมบูรณ์ในขั้นเบิกิญญาระดับสองเทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนระดับสมบูรณ์ในขั้นหลอมปราณ
ส่วนเฉิ่นปู้หยุนที่สังหารระดับหกกับระดับเจ็ดของสัตว์เวทไปนั้นก็เท่ากับสามารถสังหารผู้ฝึกฝนในขั้นผู้พิทักษ์ระดับมนุษย์และระดับเทพได้เหมือนกันคนแบบเขาหากจะใช้คำว่าแข็งแกร่งมาอธิบายก็เห็นจะไม่ได้นอกเสียจากคำว่าแข็งแกร่งเป็อันดับหนึ่งเท่านั้น
“ได้ยินแบบนี้แล้วเ้ายังอยากจะไปหาเื่ใส่ตัวอีกหรือเปล่า ปู้อี้เชวียน?”ตั้นไถเหยาถามขึ้น
ข้าขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตอบไป“แต่ถึงอย่างไรข้าก็ใช้พลังจากพร์แอบเรียนวิชาเพลงขาเมฆาหมอกของเขามาแล้วถ้าข้าไม่กล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองทำ พวกเ้าจะไม่มองว่าข้าขี้ขลาดอย่างนั้นเหรอ?”
“ไม่มีทาง” น้องสาวทั้งสองส่ายหัวพร้อมกันด้วยนิสัยที่ตรงไปตรงมา
ข้าเลือกที่จะเลิกสนใจพวกนางแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ
ซูเหยียนกะพริบตาถี่ๆก่อนจะถามขึ้นต่อ “เ้าหมู...เ้าคิดว่าพร์ของตัวเองเป็การผสานพลังจริงๆ ใช่ไหม?”
“อืม ข้าจะโกหกไปเพื่ออะไรล่ะ?”
“แล้วแบบนี้...ตอนที่เ้าสอนข้าก็ต้องมองเพลงกระบี่ของตระกูลซูจนทะลุปรุโปร่งแล้วล่ะสิ”
“เพลงกระบี่ตระกูลซูไม่เหมาะกับข้าหรอกน่า เ้าวางใจได้”
“จริงด้วย” ซูเหยียนร้องเสียงดังด้วยความดีใจก่อนจะหมอบลงที่โต๊ะกินข้าวจนคอเสื้อเผยอออกเผยให้เห็นเนินเนื้อนุ่มอยู่รางๆแต่เหมือนว่านางจะไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด “เพลงกระบี่ของเ้าคืออะไร? ข้ายังไม่เคยเห็นเลย”
“เพลงกระบี่ของข้า?”
“อืม”
“ข้าไม่มีเพลงกระบี่”
“เป็ไปได้ยังไง?!”
“ข้าพูดจริงๆ การใช้กระบี่ของข้าแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับสถานการณ์การต่อสู้ขนาดข้าเองยังจำกระบวนท่าไม่ได้เลย” ข้ายกซุปชามใหญ่ขึ้นซดก่อนจะพูดต่อ“แก่นสารของเพลงกระบี่ประจำตัวข้าก็คือ การทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้และถ้าเป็ไปได้ก็ขอแบบให้จบในยกเดียวไปเลย หากว่าพวกเ้าอยากจะให้ข้าตั้งชื่อมันจริงๆข้าขอตั้งชื่อว่า ‘เพลงกระบี่ปลิดชีพ’ แล้วกัน”
ใบหน้านวลที่ถูกแสงจันทร์ตกกระทบช่างเป็ภาพที่งดงามชวนให้หลงใหลยิ่งนัก ซูเหยียนกัดริมฝีปากล่างอย่างครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้น“เพลงกระบี่ปลิดชีพ...ชื่อฟังดูน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน”
ตั้นไถเหยากระแทกไหล่ใส่คนที่อยู่ข้างตัวเบาๆก่อนจะพูดขึ้น “ฮึๆพวกผู้ชายที่มีความรู้แค่หางอึ่งต่างก็ชอบเอาอะไรแบบนี้มาดึงดูดผู้หญิงทั้งนั้นแหละไม่ว่าจะเป็พวกสามกระบี่สองท่อนหกสิบสี่กระบวนท่าฝ่ามือกับพลังตราประทับทองอะไรพวกนั้นก็เหมือนกัน เ้าอย่าไปตกหลุมพรางปู้อี้เชวียนเข้าล่ะแล้วอีกอย่างเ้าก็ช่วยเก็บเนื้อในคัพ C ที่โผล่ออกมาของเ้าด้วย!”
ซูเหยียนที่เพิ่งรู้สึกตัวใบหน้านวลเปลี่ยนเป็แดงระเรื่อก่อนจะเอ็ดใส่ตั้นไถเหยาเบาๆ“ทำไมเ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะอาเหยา!”
ตั้นไถเหยายักไหล่ไม่สนใจ“ก็เห็นเ้าสองคนกำลังคุยกันสนุกสนาน ส่วนปู้อี้เชวียนก็สนใจแต่อาหารตรงหน้าข้าก็เลยไม่ได้บอก”
“ฮึ!”
หลังจากกินอิ่มก็เริ่มฝึกเพลงกระบี่กับซูเหยียนต่ออีกสองกระบวนท่ากระทั่งได้เวลาไปหาเฉิ่นปู้หยุนพอดีแต่ระหว่างทางที่ไปยังเทือกเขาลั่วเซี่ย จู่ๆ ข้าก็รู้สึกสับสนแบบไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
...
ดูเหมือนว่าจะมีศิษย์จำนวนไม่น้อยที่กำลังมุ่งหน้าไปที่เทือกเข้าลั่วเซี่ยเช่นเดียวกับสายตาจำนวนมากที่จับจ้องมาที่ข้าตลอดเวลา
“พวกนั้นกำลังมองข้าอยู่ใช่ไหม?” ข้าถามเสียงเบา
“ใช่” ซูเหยียนพยักหน้ารับก่อนจะพูดต่อ “ดูว่าอีกเดี๋ยวเ้าจะโดนอัดกลับมาสภาพไหนไงล่ะ”
เมื่อเห็นว่าข้าไม่ได้พูดอะไรต่อนางก็หัวเราะคิกคักชอบใจ “วางใจเถอะน่า ถ้าเกิดเฉิ่นปู้หยุนจะฆ่าเ้าจริงๆ ข้ากับอาเหยาจะเข้าไปช่วยเ้าเอง!”
“จริงเหรอ?”
“อืม”
ข้าพูดออกไปด้วยความซาบซึ้งใจ“ขอบคุณพวกเ้ามากนะที่เป็ห่วงข้าขนาดนี้”
ซูเหยียนยิ้มออกมา“ที่ทำแบบนั้นก็เพราะข้ากับอาเหยาคิดมาตลอดว่าถ้าเ้าเป็อะไรไปสักคนข้าสองคนก็คงจะเหงามากแน่ๆ”
ข้าเงียบไปเพราะไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณสองคนนี้ดีหรือเปล่า
เมื่อพวกเรามาถึงก็พบว่ามีศิษย์มารอมากกว่าห้าเท่าจากครั้งก่อน น่าจะมีอย่างน้อยพันกว่าคน รวมทั้งอาจารย์อีกหลายท่านที่รอดูสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
เฉิ่นปู้หยุนที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนจำนวนมากมองตรงมาด้วยสายตาคมกริบที่พร้อมโจมตีตลอดเวลา “นี่เ้ายังกล้ามาที่นี่อีกงั้นเหรอปู้อี้เชวียน?”
สายตานับพันคู่ที่มองมาทำให้รู้สึกกดดันไม่น้อย
ข้าเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วโค้งคำนับตามมารยาทก่อนจะพูดขึ้น“ท่านปรมาจารย์นักรบิญญาเฉิ่นปู้หยุนข้าเพิ่งจะปลุกพลังพร์ได้เมื่อไม่นานมานี้ซึ่งข้าเองไม่เคยรู้เลยว่าพลังพร์ของตนเองคืออะไรกระทั่งวันนี้ถึงได้รู้ว่าคือการผสานพลังซึ่งสามารถลอกเลียนแบบกระบวนท่าและวรยุทธ์ของผู้อื่นได้ดังนั้นที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อจะให้ท่านยกโทษให้กับความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่ลอบเรียนเพลงขาของท่านด้วยเถิด”
เฉิ่นปู้หยุนที่ยังยืนอย่างทะนงถามย้ำ“การผสานพลัง?”
“ใช่”
ศิษย์จำนวนไม่น้อยต่างก็ตกตะลึงและอิจฉาเมื่อได้ยินเช่นนั้นเนื่องจากการผสานพลังเป็พลังที่ใครหลายๆ คนอยากจะให้เป็พร์ของตัวเองเพราะเป็สิ่งที่หายากและสามารถเทียบขั้นกับพลังพร์ในการควบคุมเวลาของซูเหยียนที่อยู่ในระดับ S ได้เลย
“ฮึ...”
เฉิ่นปู้หยุนแสยะยิ้มและพูดต่อ“ถึงเป็แบบนั้นจริงแล้วยังไงล่ะ? เพราะสุดท้ายคนที่บังอาจแอบเรียนเคล็ดวิชาเพลงขาของข้ามันก็ต้องตายสถานเดียว!”
หลังจากมือขวาสะบัดร่ายไปกลางอากาศกระบี่คมจันทราก็ปรากฏออกมาก่อนที่ข้าจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด“ถ้าการกำจัดข้าออกไปคือวิธีบรรเทาความคับแค้นในใจของท่านได้ ก็เชิญท่านตามสบายแต่อย่าคิดว่าข้าจะยอมนั่งรอความตายอยู่ฝ่ายเดียวล่ะ”
“เ้าคิดที่จะโต้ตอบงั้นหรือ?”
เฉิ่นปู้หยุนถามสั้นๆก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “ไม่เลวดูเหมือนว่าศิษย์ของสำนักหมื่นิญญานับวันก็ยิ่งน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ มา!ข้าขอดูหน่อยแล้วกันว่าทำไมเ้าถึงได้กล้าพูดคำนี้ออกมาได้!”
เพียงชั่วพริบตาเฉิ่นปู้หยุนก็เริ่มใช้ภาพลวงตาที่จู่ๆก็โผล่มายืนอยู่ตรงหน้าแล้วยกเท้าขึ้นถีบด้วยกระบวนท่าเอกากัลป์เบิกขุนเขาอย่างรวดเร็ว
ตูม!!!
แรงถีบที่ทรงพลังและไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนข้อแม้แต่คนธรรมดาก็ไม่อาจต้านทานได้ แม้แต่ร่างของข้ายังปลิวไปตกที่พุ่มไม้ก่อนจะใช้กระบี่คมจันทราเป็ค้ำพยุงตัวให้ลุกขึ้นความเ็ปที่ยากจะรับไหวแล่นไปทั่วลำตัวแต่ความรู้สึกโล่งสบายจากส่วนลึกภายในร่างกายทำให้ข้ารู้ว่าน้ำยาพันิญญาพร้อมจะแผลงฤทธิ์อีกครั้งซึ่งหมายความว่าข้าจะบรรลุขั้นหลอมปราณอย่างแท้จริงสักที
“เข้ามา ข้ายังไหว!”
น้ำเสียงที่แผดออกไปจนอากาศด้านหลังฟุ้งตลบเผยให้เห็นร่างของัสีเขียวมรกตตัวใหญ่พุ่งทะยานออกมาจากร่างและนี่คือวิชาลมหายใจัขั้นที่ห้านั่นเอง
ศิษย์บางคนที่เพิ่งมีโอกาสได้เห็นขุมพลังขั้นที่ห้าของศิษย์ตัวสำรองก็อดไม่ได้ที่จะโห่ร้องอย่างประหลาดใจ
“สุดยอด!”
เฉิ่นปู้หยุนพุ่งตัวเข้ามาพร้อมกับหมัดอันแข็งแกร่งที่มีพลังิญญาหลอมรวมกันเป็เปลวเพลิงซัดเข้ามาถึงตัวด้วยความเร็วจนข้าไม่ทันได้ตั้งตัว
ปั้ก!
ิัส่วนหน้าอกยุบเข้าไปอย่างเห็นได้ชัดแต่ไม่ทันไรพลังหมัดเมื่อครู่ก็พุ่งทะลุร่างที่กำลังลอยละลิ่วดุจขนนกไปกระแทกเข้ากับชะง่อนหินเต็มแรง
“แฮกๆ...แฮกๆ”กลิ่นเืคละคลุ้งไปทั่วปากและเมื่อข้าลืมขึ้นก็เห็นว่าเฉิ่นปู้หยุนกำลังแสยะยิ้มอย่างเหยียดหยามอยู่ตรงหน้า
“การที่ข้าใช้พลังเพียงสามส่วนในการประลองครั้งก่อนๆมันทำให้เ้าหลงไปว่าตัวเองแข็งแกร่งมากสินะคิดว่าน้ำหน้าอย่างเ้าจะรับมือข้าได้ถึงเจ็ดกระบวนท่างั้นเหรอ?”
ข้าที่สั่นไปทั้งตัวกัดฟันกรอดแล้วแค่นน้ำเสียงตวาดออกไป“ถ้าท่านจะลงมือสังหาร เพราะข้าแอบเรียนเคล็ดวิชาของท่านมันก็สมควรแล้วนี่เข้ามาเลย!”
พลังิญญาอันร้อนระอุที่เกิดจากการดูดซับพลังของพลังพร์แม้จะไม่ได้แข็งแกร่งแต่ก็สามารถซึมซับเอาพลังของอีกฝ่ายไปกว่าครึ่ง
“เ้ามันไม่กลัวตายจริงๆ สินะ?” เฉิ่นปู้หยุนกระตุกยิ้ม
“กลัวแล้วยังไง?” ข้าหายใจหอบพลางส่งสายตาที่เยือกเย็นก่อนจะพูดต่อ“เข้ามาสิ ถ้าเกิดว่าข้ารับมือท่านได้สิบกระบวนท่าก็ถือว่าเราหายกัน แต่ถ้าข้าตายก็ถือซะว่าข้ามันอ่อนแอเอง!”
“ดี ข้าจะสนองให้เ้าเอง แต่ถ้าเ้าไม่ตายข้าก็จะยอมสอนเพลงขาให้เ้าเช่นกัน!”
เฉิ่นปู้หยุนยกมือขึ้นสูงแล้วซัดลงมาแบบไม่ออมมือตามด้วยเสียงหักของกระดูกซี่โครง ขอแค่ไม่แทงทะลุหัวใจก็นับว่าโชคดีที่สุดแล้วเพราะไม่อย่างนั้น ต่อให้เทพเทวาองค์ใดก็ช่วยข้าไม่ได้
ความปวดร้าวแล่นปลาบเข้าไปในร่างกายส่วนสายจาก็แทบจะเลือนรางลงทุกที
หมัดที่สี่!
หมัดที่ห้า!
หมัดที่หก!
หมัดที่เจ็ด!
หมัดที่แปด!
แต่ละหมัดที่ซัดลงมาซ้ำๆจากที่แค่บอบช้ำ ตอนนี้กลับแทบไม่เหลือเค้าเดิมเลยแม้แต่นิดเดียวผิดกับพลังจากแก่นแท้ของิญญาภายในร่างกายที่คุกรุ่นขึ้นเรื่อยๆจนเกิดเค้าลางของการเกิดใหม่ซึ่งเป็ผลมาจากการโจมตีอันหนักหน่วงเมื่อครู่ที่ผ่านมา
“เ้าบ้าไปแล้วหรือไงเฉิ่นปู้หยุน!?”
เสียงของซูเหยียนดังขึ้นมาแต่ไกลพร้อมกับกระบี่เพลิงกัลป์อันร้อนระอุไปด้วยเปลวเพลิงที่พร้อมแผดเผาไปทั่วทุกอณู
เืสีแดงสดไหลจากหน้าผากลงมาเป็ทางซึ่งความรุนแรงของแต่ละหมัดที่เฉิ่นปู้หยุนซัดลงมาทำให้ร่างกายของข้ายุบลงไปกับก้อนหินไม่น้อยแม้สายตาจะพร่าไปบ้างแต่ก็ยังมองเห็นซูเหยียนกวัดแกว่งกระบี่และใช้กระบวนท่าทะลวงิญญาฟันลงกลางหลังของเฉิ่นปู้หยุนจนเกิดแสงสว่างวาบจากการทำลายเกราะรบ
ถึงแม้กระบี่เล่มนั้นจะทำลายเกราะรบได้แต่ถ้าเทียบกันเื่พลัง ทั้งสองยังแตกต่างกับเกินไป
“ข้าต้องขอโทษด้วยคุณหนูซูเหยียน!”
เฉิ่นปู้หยุนเบี่ยงตัวหลบแล้วซัดเข้าไปเบาๆเท่านั้น ร่างของซูเหยียนก็ปลิวออกไปไกล และต้องาเ็อย่างแน่นอน
เมื่อเฉิ่นปู้หยุนจัดการกับคนตรงหน้าเรียบร้อยแล้วเขาก็หันกลับที่ข้าและยิ้มอย่างเอาเื่ “เป็ไงบ้าง ข้ายังเหลืออีกสองหมัดถ้าเ้าอยากตายจริงๆ ข้าก็จะสนองให้!”
“เข้ามาสิ!”
ข้าแสยะยิ้มขึ้นมาทั้งที่ตัวเองเจ็บเจียนตาย แต่ก็ยังอวดเก่งตะเบ็งออกไปสุดเสียง“ถ้าลงมือไม่ถึงสิบกระบวนท่า ท่านก็แค่คนไม่ได้เื่!”
ตูม!!!
แรงหมัดที่ลุกโหมไปด้วยเปลวเพลิงพุ่งแหวกม่านอากาศจนแตกตัวเป็ระลอกคลื่นและกระจายออกเป็วงกว้าง