อวิ๋นซีดึงชายเสื้อของจวินเหยียน นางถาม “ท่านตั้งใจจะทำให้ผู้อื่นได้สมปรารถนาอย่างนั้นหรือ? ”
จวินเหยียนยิ้มบางๆ พูดด้วยท่าทีมีลับลมคมใน “เื่เหล่านี้จำเป็ต้องให้พวกเราลงมือเองที่ไหนกัน” เขามองนาง ในสายตายังคงเต็มไปด้วยความรักใคร่ดังเช่นที่ผ่านมา “หากให้พูดตามจริง ในสายตาของคนมากมาย หลินหลานซินผู้นั้นมีใบหน้างดงาม ที่สำคัญคนยังเกิดในจวนเจิ้นหนานอ๋อง ด้วยสถานะนี้ย่อมมีคนไม่น้อยที่คิดอยากจะข้องเกี่ยวกับนาง”
คำพูดของจวินเหยียนราวกับเป็สายฟ้าผ่าสว่างวาบที่ทำให้อวิ๋นซีเข้าใจในทันที ชาติกำเนิดที่สูงส่ง ทั้งยังหน้าตางดงาม คนเช่นนี้ไม่แปลกที่จะตกเป็ที่สนใจของใครหลายคน
“เื่นี้เ้าไม่ต้องยุ่ง ให้เป็หน้าที่ของสามีก็พอ ส่วนเ้า รอชมละครสนุกๆ ได้เลย” จวินเหยียนแนบหน้าผากตนเข้ากับหน้าผากนาง ลูบไล้ใบหน้างามด้วยความสนิทสนมเบาๆ
เขาเคยพูดว่า มือของนางมีไว้ใช้ช่วยคน แต่เขากลับไม่สามารถปกป้องนางได้ และมักจะต้องให้นางที่เป็ผู้หญิงตัวคนเดียวต้องมาแบกรับอะไรมากมาย
“เื่เหล่านี้จะให้สกปรกบนมือท่านได้อย่างไร” อวิ๋นซีถลึงตาใส่จวินเหยียนไปทีหนึ่ง “ให้เป็หน้าที่ข้าเถอะ อย่างไรเสียข้าก็มีตัวเลือกดีๆ แล้ว” สายตาของอวิ๋นซีมีประกายจิตสังหารเ็าวาบผ่านไป ไม่ว่าสตรีนางใดที่มีใจคิดปรารถนาในตัวจวินเหยียน นางล้วนไม่มีทางปล่อยไว้
โดยเฉพาะสตรีที่มีอุบายล้ำลึกเช่นหลินหลานซิน หากว่าไม่สามารถสังหารได้ เหลือไว้ก็มีแต่จะเป็หายนะในภายหลัง สำหรับนาง สิ่งที่สนใจมีแค่เื่ปกป้องชีวิตแต่งงานของตน ครอบครัวของตน ส่วนเื่ความสัมพันธ์ทางสายเืที่ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงกับหลินหลานซินนั้น นางไม่เห็นอยู่ในสายตาจริงๆ
จวินเหยียนเห็นว่าภรรยายังคงดื้อดึงก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน “ข้าบอกแล้วไง เื่นี้เ้าไม่ต้องใส่ใจให้มาก คืนพรุ่งนี้ ข้าจักทำให้สตรีนางนั้นต้องย้ายออกไปอย่างแน่นอน พร้อมกับตัดความคิดที่ไม่ดีเ่าั้ของนางทิ้งไปด้วย”
ความดื้อดึงของนาง เขาเคยเห็นมาแล้ว แต่เื่นี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเจรจาได้ เพราะหลินหรงเว่ยนั่นยังคงคิดจะใช้ลูกสาวคนนี้เพื่อให้ตนได้ไปถึงเป้าหมายบางอย่าง คนคนนั้นอันตรายเกินไป เขาจึงไม่อยากให้อวิ๋นซีต้องเผชิญหน้ากับหมาป่าชั่วร้ายที่แอบซ่อนตัวตนอยู่นานผู้นี้
สองสามีภรรยาถกเถียงกันอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เป็อวิ๋นซีที่พ่ายแพ้ไป...
กลางดึกในคืนนั้น เสี้ยวเหวินตี้ได้จัดงานเลี้ยงบนทุ่งหญ้าที่ลานล่าสัตว์ของราชวงศ์ ทุกคนร่วมกันกินเนื้อย่างที่เป็ฝีมือการล่าของเหล่าองครักษ์ข้างกายเสี้ยวเหวินตี้ คนเ่าั้ต่างก็เข้าไปล่าในเขตล่าสัตว์ของราชวงศ์ และตอนที่อวิ๋นซีกับจวินเหยียนไปถึง กลิ่นเนื้อย่างหอมๆ ก็ลอยโชยมาพอดี พวกเขาล้วนเป็คนที่เคยอาศัยอยู่ในดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือมาก่อนย่อมคุ้นเคยกับเนื้อย่างเหล่านี้จนซึมเข้ากระดูก
นางพูดเสียงเบาข้างหูเขา “ขาดเครื่องปรุงรสบางอย่างไป”
จวินเหยียนได้ยินก็ยิ้มพูดว่า “เ้านี่ จมูกสุนัขจริงๆ ” แน่นอนเขารู้ สตรีข้างกายตนพอจะมีความสามารถในด้านการย่างเนื้ออยู่บ้าง มิหนำซ้ำนางยังเคยทำเครื่องปรุงรสเนื้อขึ้นมาไม่น้อย
“ความสัมพันธ์ของน้องรองและน้องสะใภ้รอง ช่างชวนให้ผู้คนอิจฉาจริงๆ ตอนนี้ยังจะมากระซิบกระซาบกันสองต่อสองอยู่ตรงนี้อีก” โอวหยางเทียนหัวมองอวิ๋นซีและจวินเหยียนที่กระซิบคุยกันอย่างแนบชิด ชั่วขณะนั้นเขาก็รู้สึกโกรธมากอย่างไม่อาจแน่ใจได้ว่า เป็เพราะสาเหตุอะไร เพียงแต่ทุกครั้งที่เห็นอวิ๋นซีและจวินเหยียนสนิทสนมกันต่อหน้าต่อตา ในใจเขาก็มักจะรู้สึกไม่ดีเป็อย่างมากถึงขนาดที่อยากจะเข้าไปกระชากคนทั้งสองออกจากกัน
ความรู้สึกเช่นนี้มีแต่จะยิ่งมากขึ้นจนคุมไม่อยู่ตามจำนวนครั้งที่ต้องพบเจอกับอวิ๋นซีที่นับวันจะบ่อยครั้งขึ้น ตามหลักแล้วสตรีนางนี้ที่ทำเขาเสียเื่ไปมากมายก็ควรต้องถูกสังหารเสีย แต่เป็เขาเองที่ทำไม่ลง
จวินเหยียนยิ้มบางๆ “รัชทายาทตรัสให้ขำแล้ว ความสัมพันธ์ของท่านกับชายารองเจิ้งเองก็ดีมากเช่นกัน”
คำเอ่ยชมของจวินเหยียน ทำให้คนมากมายไม่กล้าพูดอะไร แม้แต่ลมหายใจก็ยังต้องคุมให้เบาลง ไม่ว่าใครในที่นี้ก็ล้วนรู้กันทั่ว รัชทายาทจำต้องพาชายารองเจิ้งมาร่วมงานล่าสัตว์ด้วยโดยไม่เต็มใจ แน่นอน หากเป็เมื่อก่อนที่เจิ้งอ๋องยังอยู่ ชายารองเจิ้งจักต้องได้รับความโปรดปรานเป็อย่างมาก แต่น่าเสียดาย เจิ้งอ๋องตายแล้ว ทั้งยังตายอย่างไม่น่ายกย่องด้วย
เหตุที่ชายารองเจิ้งยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้เป็เพราะนางแต่งเข้ามาในจวนรัชทายาทแล้ว ถึงกระนั้นนับแต่บัดนั้นเป็ต้นมา นางก็ถูกขับไล่ให้ไปอยู่ในตำหนักเย็น และั้แ่ที่เกิดเื่ของเจิ้งอ๋องขึ้น รัชทายาทก็ไม่แวะเวียนไปที่ห้องของนางอีกเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะัันางหรือไม่
อวิ๋นซีเองก็หันมองไปทางชายารองเจิ้งทีหนึ่ง ตอนนั้นคนดูสง่างามนัก เป็สตรีที่งดงามยิ่ง แต่ตอนนี้ในสายตากลับมีแต่ความโกรธแค้น สีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
มิคาดโอวหยางเทียนหัวจะพาสตรีนางนี้มาด้วย สิ่งที่ต้องรู้ก่อน คนไม่ได้มีประโยชน์อันใดอีกแล้ว เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็เริ่มเงียบขรึมพลางครุ่นคิดถึงสาเหตุที่โอวหยางเทียนหัวพาชายารองเจิ้งมาที่นี่ หากจะบอกว่าเขาแค่้าคนมาอยู่เคียงข้าง เช่นนั้นก็ย่อมไม่มีทางเลือกชายารองเจิ้งมาแน่ เพราะเรือนหลังของเขามีสตรีอยู่มากมาย ขอแค่เขาชอบก็สามารถมอบสถานะสนมซู่เฟยให้และพามาที่นี่ด้วยได้แล้ว
ในตอนที่อวิ๋นซีกำลังเงียบขรึมอยู่นั้น จวินเหยียนและโอวหยางเทียนหัวก็โต้ตอบกันไปหลายคำรบแล้ว ทว่าอย่างไรคนทั้งสองก็ยังสังเกตเห็นว่าอวิ๋นซีเงียบขรึมไป ฉับพลันนั้นชายารองเจิ้งที่เป็คนในหัวข้อสนทนาของสองหนุ่มกลับยิ้มบางๆ เป็ฝ่ายเอ่ยถามบ้าง “ชายาหนิงอ๋อง รัชทายาทตรัสว่าท่านจิตใจงดงาม เปรียบเป็ดั่งโพธิสัตว์ในใจชาวหานโจวเชียวนะ”
อวิ๋นซีที่ได้ยินคำกล่าวนั้นก็ถึงกับขมวดคิ้วมองไปยังฝั่งตรงกันข้ามที่ชายหญิงคู่สุนัขที่สมคบคิดทำเื่ชั่วร้ายกันกำลังนั่งอยู่ นางทำเพียงยิ้มน้อยๆ แล้วหันมองไปทางเสี้ยวเหวินตี้ที่กำลังรอคำตอบของนางอยู่เช่นกัน “ชายารองเจิ้งพูดให้ขำแล้ว กินเบี้ยหวัดจากฝ่าาก็ควรช่วยฝ่าาแบ่งเบาภาระ นี่เป็หน้าที่ของเหล่าขุนนาง ทว่า ในฐานะที่เป็สะใภ้ของฮ่องเต้ สิ่งที่ต้องทำแน่นอนว่าไม่อาจยิ่งหย่อนไปกว่าขุนนางทั้งหลายได้ เปิ่นเฟยคิดมาตลอดว่ามีแต่ทำเช่นนี้ถึงจะไม่ผิดต่อคำเรียกสองสามคำที่ว่า โอวหยางอวิ๋นซื่อ [1] ”
คำพูดของอวิ๋นซีทำให้ใครหลายคนอดรู้สึกครั้นครามไม่ได้ พวกเขาพากันขบคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่สายพระเนตรของเสี้ยวเหวินตี้ที่ยังคงทอดมองอวิ๋นซีปรากฏแววขบคิดลึกล้ำขึ้นหลายส่วน สตรีนางนี้หลักแหลม มีแผนการ และมากอุบาย แต่ถึงอย่างนั้นจิตใจก็ยังเป็ห่วงเป็ใยชาวประชา
เขาถอนใจเบาๆ ลู่หลิงฉิงเทียบกับนางแล้วยังเรียกได้ว่า ห่างชั้นกันอีกมาก
การถอนใจของเสี้ยวเหวินตี้ถึงแม้จะไม่ได้ดังนัก แต่ก็ยังมีขุนนางหลายคนที่ได้ยิน คนเ่าั้ต่างขบคิดในใจว่า หรือว่าชายาหนิงอ๋องผู้นี้คิดจะตีก้นม้า แต่กลับตีไปโดนขาม้าแทน [2] ?
อย่างไรก็ตาม อวิ๋นซีและจวินเหยียนยังคงท่าทีสงบนิ่ง ก่อนที่จวินเหยียนจะหยิบเนื้อย่างไม้ที่เพิ่งถูกส่งมาเมื่อครู่ให้อวิ๋นซี เขายิ้มพูดว่า “ถึงแม้จะขาดเครื่องปรุงบางอย่าง แต่ก็ยังหอมนัก เ้าชิมดูเถิด”
อวิ๋นซีอมยิ้มพยักหน้าพร้อมรับเนื้อย่างไม้มา ขุนนางบุ๋นบู๊ล้วนชินเสียแล้วกับการที่หนิงอ๋องแสดงท่าทีรักใคร่ภรรยาในที่สาธารณะ เพียงแต่ตอนนี้เหมือนว่าท่านนั้นจะยังไม่พอใจอยู่นะ เหตุใดพวกเขาสามีภรรยาจึงยังจะกินลงอยู่?
เสี้ยวเหวินตี้มองลูกชายคนรองและสะใภ้คนรองที่ไม่กังวลใจสักนิด เขาอดคิดไม่ได้ว่า คนทั้งสองนี้ช่างนิ่งเฉยเกินไปแล้ว หรือว่าพวกเขาจะไม่เกรงกลัวว่าตนจะเอาผิด?
จวินเหยียนเห็นทุกคนยังคงจดจ้องมาที่ตนและอวิ๋นซี เขาก็กล่าวขึ้นเรียบๆ กับเสี้ยวเหวินตี้ “เสด็จพ่อ อาซีพูดไม่ถูกหรือพ่ะย่ะค่ะ? คนตระกูลโอวหยางอย่างเรา ไม่ว่าจะหญิงหรือชายก็ควรต้องคิดคำนึงถึงชาวประชาอยู่ตลอดเวลา และยิ่งควรช่วยแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อ เช่นนี้ แผ่นดินของตระกูลโอวหยางถึงจะยืนยงต่อไปได้นับพันนับหมื่นปี”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็อยากจะพูดแขวะสักประโยคเช่นกัน ั้แ่อดีตกาลไม่เคยมีตระกูลใดที่สามารถปกครองแผ่นดินสืบต่อกันได้เป็พันปีหมื่นปี ถึงกระนั้นนางก็รู้ดีว่า คนในตำแหน่งผู้นั้นชอบฟังเื่อะไรเช่นนี้
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] โอวหยางอวิ๋นซื่อ(欧阳云氏)ผู้หญิงจีนแต่งงานแล้วจะไม่ได้เปลี่ยนไปใช้แซ่ของสามี แต่ในสมัยก่อนจะใช้วิธีเรียกสตรีที่แต่งงานแล้วด้วยแซ่ของสามี และตามด้วยแซ่ของผู้หญิงคนนั้น คำว่าซื่อ(氏)ในที่นี้ก็หมายถึงแซ่หรือตระกูลนั่นเอง
[2] ตีก้นม้า แต่กลับตีไปโดนขาม้าแทน(拍马屁,却拍到马腿上了)สำนวนตบก้นม้า มีความหมายว่า ประจบสอพลอ ส่วนสำนวนที่ว่า ตีก้นม้าไปถูกขาแทน เป็การเปรียบเทียบว่าอยากจะสอพลอผู้อื่น แต่สุดท้ายกลับทำให้เขาไม่พอใจแทน