เดิมทีซูอี้เฉิงก็รังเกียจเธออยู่แล้ว ยิ่งเขาเห็นเธอในสภาพนี้คงรังเกียจยิ่งกว่าเดิมแน่ๆ
ลั่วเสี่ยวซีรีบลุกเดินเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนปิดประตูเธอฝากฝังกับซูอี้เฉิงไว้หนึ่งเื่
“ไปเปิดประตูด้วยล่ะถ้าอาหารมาส่ง”
ซูอี้เฉิง “อืม” ตอบรับกลับมา เธอจึงล็อกประตูห้องน้ำลง เมื่อส่องกระจกก็เห็นตาบวมๆ ของตัวเอง เธอรีบโปะมาสก์เพื่อช่วยเยียวยาก่อนจะลงไปแช่น้ำอุ่น
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เสียงเคาะประตูห้องน้ำก็ดังขึ้นตามมาด้วยเสียงของซูอี้เฉิง
“เสี่ยวซีฉันไม่มีเงินสด กระเป๋าสตางค์เธออยู่ไหน”
“ลิ้นชักซ้ายสุดของชั้นวางทีวีมีเงินอยู่”
ซูอี้เฉิงเปิดลิ้นชักออกมาก็พบธนบัตรและเศษเหรียญวางกระจัดกระจายอยู่ในนั้น ไม่ต้องถามก็รู้ว่าลั่วเสี่ยวซีคงไม่รู้แน่ๆ ว่าในนี้มีเงินอยู่เท่าไร
หลังจ่ายเงินเสร็จ ซูอี้เฉิงก็หิ้วอาหารเข้ามา กับข้าวสี่อย่างที่เข้ากันได้ดี ซุปเนื้อต้มไช้เท้าสองถ้วย อุปกรณ์การกินครบถ้วน กลิ่นอาหารหอมยวนใจ
ถ้าเป็เื่กินไว้ใจลั่วเสี่ยวซีได้รับรองว่าไม่ผิดหวัง
เขาจัดชามกับตะเกียบแล้วเรียบร้อย
“ลั่วเสี่ยวซี อีกนานไหมกว่าจะเสร็จ”
“เสร็จแล้ว!”
ลั่วเสี่ยวซีเดินออกมาจากห้องน้ำ เธออยู่ในชุดอยู่บ้านสีฟ้าอ่อนสำหรับฤดูใบไม้ร่วง ผมลอนยาวของเธอถูกมัดเอาไว้ลวกๆ ใบหน้าไร้การแต่งเติม ต่างจากทุกทีที่เธอมักจะแต่งหน้าเนี้ยบสะดุดตาคนมอง ผิวหน้าของเธองดงามนวลเนียนไร้ที่ติ ดูสดใสเปล่งปลั่งสมวัย
ซูอี้เฉิงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเธอนานกว่าทุกที
ลั่วเสี่ยวซีถามอย่างพอใจ “เห็นฉันแบบนี้ เริ่มรู้สึกอยากจะขอฉันแต่งงานขึ้นมาบ้างหรือยัง”
ซูอี้เฉิงยิ้มเย็น ก่อนจะแกะห่อตะเกียบส่งมาให้เธอ
ลั่วเสี่ยวซีรับมันมาก่อนจะทำหน้าเซ็ง
“นายยิ้มแบบนั้นหมายความว่าไง”
ซูอี้เฉิงี้เีเถียงกับเธอเื่นี้ เขาตักซุปเข้าปากก่อนถาม
“บ่ายนี้เธอจะไปไหน”
“ไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ นอนเติมพลังอยู่บ้าน!” ลั่วเสี่ยวซีตอบ “พรุ่งนี้ฉันต้องไปถ่ายงานให้กับ ZuiShiShang ถ้าผู้จัดการมาเห็นฉันสภาพนี้ คงเอาฉันตายแน่”
ซูอี้เฉิงยิ้มเยาะเธออีกครั้ง “นอนตอนบ่าย แล้วคืนนี้จะนอนหลับไหม?”
ลั่วเสี่ยวซีลองคิดดูแล้วมันก็จริงอย่างที่เขาว่า ถ้าคืนนี้เธอนอนไม่หลับ พรุ่งนี้ตื่นมาคงโทรมกว่านี้แน่ ถึงตอนนั้นผู้จัดการคงไม่แค่เอาเธอให้ตาย แต่คงฆ่าเธอซ้ำอีกหลายรอบ!
เธอกัดริมฝีปากอย่างลังเล
“ซูอี้เฉิง นายอยากจะพูดอะไรกันแน่”
“กินข้าวเสร็จแล้วไปบริษัทกับฉัน” ในที่สุดเขาก็เอ่ยปาก “ไปช่วยฉันแปลเอกสารภาษาญี่ปุ่นชุดหนึ่ง”
ลั่วเสี่ยวซีพูดได้หลายภาษา นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว ภาษาญี่ปุ่นเป็ภาษาที่เธอถนัดที่สุด เธอเชี่ยวชาญมากพอจะแปลงานเอกสารได้
แต่ลั่วเสี่ยวซีกลับถามอย่างสงสัย “แล้วล่ามบริษัทนายล่ะ?”
“ลาป่วย” ซูอี้เฉิงตอบ “เอกสารชุดนั้นฉันต้องใช้วันพรุ่งนี้”
“แล้วทำไมฉันต้องช่วยนาย?” ลั่วเสี่ยวซีแอบบ่นในใจ “นายเรียกฉันฉันก็ไปแบบนี้ ไม่เอาด้วยหรอก”
“ฉันอุตส่าห์มาส่งเธอเมื่อเช้า” ซูอี้เฉิงมองเธอ “ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน เธอคงได้นอนอยู่ในโรงรถที่บ้านลู่เป๋าเหยียนแน่”
ลั่วเสี่ยวซียิ้ม “แต่...นายจะให้ฉันเป็ล่ามให้นายแบบนี้ ไม่กลัวคนที่บริษัทจะเข้าใจผิดหรือไง”
ซูอี้เฉิงยิ้มมุมปาก “พวกเขาคงคิดแค่ว่า เธอตามตื้อฉันไม่เลิกเลยยอมมาทำงานให้”
“บ้าชะมัด!” ลั่วเสี่ยวซีชักจะโมโห “ซูอี้เฉิง นายอย่ามาเ้าเล่ห์แบบนี้ได้ไหม ฉันจะบอกนายให้ ถ้าฉันเจอจางเหมยล่ะก็ฉันจะบอกเื่ที่เมื่อคืนเราอยู่ด้วยกันทั้งคืน แถมเมื่อเช้ายังนอนด้วยกันอีกกับเธอให้หมด!”
ซูอี้เฉิงหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปากอย่างช้าๆ ก่อนพูดอย่างไม่แยแส
“เธอจะพูดอะไรก็ตามใจ รีบกินเถอะ อีกสิบห้านาทีพวกเราต้องไปกันแล้ว”
ดูเขาจะไม่กลัวจางเหมยเข้าใจผิดแม้แต่น้อย ลั่วเสี่ยวซีรู้สึกแปลกใจ จางเหมยไม่ใช่แฟนเขาหรือไง? ถ้าเธอจะแกล้งทำให้เขากับจางเหมยเข้าใจผิดกัน ตามปกติแล้วเขาควรบีบคอเธอพลางขู่ไม่ให้เธอไปทำอะไรผู้หญิงของเขาไม่ใช่เหรอไง?
สงสัยพระเอกจอมเผด็จการตามละครน้ำเน่า คงเป็แค่เื่หลอกลวงประชาชน!
“ไปๆๆ!” ลั่วเสี่ยวซีกระแทกตะเกียบลงบนโต๊ะ “ถ้านายไม่กลัว แล้วฉันจะกลัวทำไมล่ะ”
เธอเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้าอ่อนๆ เมื่อออกมาก็เห็นซูอี้เฉิงเปลี่ยนชุดเป็เสื้อสูทแล้วเรียบร้อย เธอจึงถามอย่างข้องใจ
“เมื่อวานที่ไปดูบอล นายพกชุดไปเปลี่ยนด้วยงั้นเหรอ”
“เปล่า” ซูอี้เฉิงตอบพลางจัดระเบียบเนกไท “ฉันให้เสี่ยวเฉินเอามาให้”
เปรี้ยง! ลั่วเสี่ยวซีรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ
เสี่ยวเฉินเป็ผู้ช่วยของซูอี้เฉิง เป็พนักงานของเขาที่เธอสนิทที่สุดคนหนึ่ง สนิทถึงขนาดรู้ว่าที่นี่คือบ้านของเธอ ถ้าซูอี้เฉิงบอกให้เขาเอาชุดมาให้ล่ะก็...
“หมดกัน!” ลั่วเสี่ยวซีทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง “คราวนี้ชีวิตฉันคงแปดเปื้อนต่อให้ะโลงแม่น้ำหวงโหก็ล้างไม่สะอาดแล้วแน่ๆ...”
“เธอไม่ได้คาดหวังเื่แบบนี้มาตลอดหรือไง?” ซูอี้เฉิงดูนิ่งกว่าเธอมาก เขาดึงเธอให้ลุกขึ้น “ไปได้แล้ว”
ณ เครือเฉิงอัน
เสี่ยวเฉินที่เพิ่งกลับมาจากการเอาชุดไปให้ซูอี้เฉิง เขายังคงมึนงงไม่หายจนเผลอเดินชนรองผู้จัดการเข้า
ผู้ช่วยของซูอี้เฉิงอย่างเขา ปกติแล้วมักจะดูสุขุมเป็มืออาชีพอยู่เสมอ ต่อให้เจอเื่ใหญ่แค่ไหนก็ไม่เคยหวั่น หายากที่จะเดินเหม่อลอยแบบนี้ รองผู้จัดการจึงเอ่ยปากถาม
“ผู้ช่วยเฉิน คุณเป็อะไรไป”
“คุณรู้ไหม เมื่อกี้ผมเอาเสื้อผ้าไปให้ผอ.ซูมา” เสี่ยวเฉินจับตัวรองผู้จัดการ ก่อนจะพูดสิ่งที่ค้างคาในใจ “แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าผอ.ซูอยู่ที่ไหน เขาอยู่ที่บ้านของคุณหนูลั่ว!”
รองผู้จัดการทำหน้าเหมือนไม่แปลกใจอะไร “ผมนึกว่าคุณรู้แล้วซะอีก เหมือนว่าผอ.ซูจะคบกับคุณหนูลั่วแล้วนะครับ”
“ฮะ?” เสี่ยวเฉินช็อกไป “คุณไปเอาข่าวนี้มาจากไหน”
“ผมเห็นเองกับตาน่ะสิ!” รองผู้จัดการกล่าว “เมื่อหลายวันก่อน ผมเห็นผอ.ซูกำลังซื้ออาหารเช้าให้คุณหนูลั่วอยู่ที่ข้างล่างอพาร์ทเมนท์ เมื่อคืนไม่รู้ว่าพวกเขาไปไหนกันมา ตอนเช้าผมเห็นผอ.ซูอุ้มคุณหนูลั่วกลับเข้าไปในอพาร์ทเมนท์ ถ้าพวกเขาไม่ได้คบกันแล้วจะสนิทสนมขนาดนั้นได้ยังไง?”
เสี่ยวเฉินยังตามไม่ทัน “โลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงไวไปแล้ว วันก่อนยังรังเกียจแทบตาย มาอีกวันกลับไปคบกันซะงั้นเนี่ยนะ?”
รองผู้จัดการตบไหล่เสี่ยวเฉินเบาๆ
“คุณต้องปรับตัว”
ด้วยเหตุนี้ ข่าวเื่ซูอี้เฉิงกับลั่วเสี่ยวซีคบกันจึงถูกแผ่กระจายไปทั่วบริษัทอย่างรวดเร็ว
ใช่ว่าซูอี้เฉิงไม่เคยมีแฟนมาก่อน เขาเคยคบกับสาวแกร่ง Working women เคยคบกับพิธีกรสาวสวยแห่งวงการ ทนายความชื่อดังผู้ชาญฉลาดก็เคยเป็แฟนเขามาแล้ว แต่คนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดกลับเป็ลั่วเสี่ยวซี
หลายคนในบริษัทคาดเอาไว้แล้วว่า สักวันหนึ่งลั่วเสี่ยวซีคงเอาชนะใจผอ.ซูได้ และจะกลายมาเป็คุณนายซูในที่สุด แต่ก็มีหลายคนที่คิดว่าคู่นี้คงไม่มีทางเป็ไปได้
ในตอนนี้พวกเขาคบกันแล้ว ทุกคนให้ความสนใจกันมากแค่ไหนไม่ต้องบอกก็คงรู้
และแน่นอนว่า จางเหมยเองก็ได้ยินเื่นี้แล้วเช่นกัน
ั้แ่ที่จางเหมยถูกย้ายมาที่ฝ่ายการตลาด หลายคนก็พากันพูดลับหลังว่าเธอล้มเหลวกับการยั่วยวนซูอี้เฉิง เธอเองก็รู้มาบ้างว่ามีคนหัวเราะเยาะเธอ นินทาเธอ แต่เพื่อจะได้กลับไปอยู่ข้างกายซูอี้เฉิงอีกครั้ง เธอจึงเลือกที่จะอดทน
แต่ตอนนี้เมื่อมีข่าวว่าซูอี้เฉิงคบกับลั่วเสี่ยวซีออกมา คนพวกนั้นไม่หัวเราะเยาะเธออีกต่อไป แต่หันมาสงสารเธอแทน
ความสงสารที่เธอไม่้า!
เธอไม่เชื่อเด็ดขาดว่าซูอี้เฉิงกับลั่วเสี่ยวซีจะคบกัน นอกจากจะได้เห็นกับตาตัวเอง!
หลายคนในบริษัทก็คิดคล้ายกับจางเหมย พวกเขาสงสัยในความจริงของเื่นี้ จึงนั่งรอดูสถานการณ์โดยไม่ปริปาก แต่แล้วหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ลั่วเสี่ยวซีกับซูอี้เฉิงก็ปรากฏกายที่บริษัท
คราวนี้เห็นได้ชัดว่า ลั่วเสี่ยวซีไม่ได้เป็คนมาหาซูอี้เฉิง แต่เป็ซูอี้เฉิงที่พาเธอเข้ามาด้วยตัวเอง!
ข่าวเื่การคบหาของทั้งสองคนจึงยิ่งน่าเชื่อถือ จางเหมยกุมปากกาในมือแน่นจนแทบหัก
ลั่วเสี่ยวซีเริ่มรู้สึกแปลกๆ ใช่ว่าเธอไม่เคยมาที่นี่สักหน่อย แต่ทำไมวันนี้...สายตาของพวกพนักงานที่มองมาถึงดูแปลกไป
เมื่อก่อนเวลาเธอทักพวกเขา ก็มักจะมีคนตอบกลับมาว่า “มาแล้วเหรอ?” แต่วันนี้พวกเขาแค่ยิ้มให้เธอ แถมยังเป็รอยยิ้มแบบมีความหมายแฝงอีกต่างหาก ทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ บางคนถึงกับเข้ามาพูดกับเธอว่า
“เสี่ยวซี ยินดีด้วยนะ!”
เธองงเป็ไก่ตาแตก หรือพวกเขาจะรู้ว่าเธอชนะพนันคู่ชิงฟุตบอลโลกเมื่อวาน?
ว่าแล้วเธอจึงยิ้มรับ “ขอบคุณนะ”
หลังเข้าไปในลิฟต์ลั่วเสี่ยวซีเอ่ยปากถามซูอี้เฉิงอย่างทนไม่ไหว
“พนักงานบริษัทนายวันนี้เป็อะไรไป? นายสั่งให้พวกเขาทำงานด้วยรอยยิ้มเ้าเล่ห์แบบนั้นหรือไง?”
ซูอี้เฉิงรู้ดีที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้น ต่อให้อธิบายไปลั่วเสี่ยวซีก็คงไม่เข้าใจ อีกอย่างนิสัยของเธอแบบนี้ เธอคงวิ่งไปอธิบายคนทั้งบริษัทด้วยตัวเองแน่หากรู้เื่เข้า
เขาอุตส่าห์ลงทุนสร้างเื่พวกนี้ขึ้นมา จะปล่อยให้เธอมาทำลายง่ายๆ ได้อย่างไร
ดังนั้น ซูอี้เฉิงจึงแค่เอ่ยเสียงเนือย “เธอคิดมากไปเองหรือเปล่า พวกเขาก็เป็แบบนี้อยู่แล้ว คงเพราะเธอไม่ได้มาที่นี่สักพักแล้วมั้ง”
“งั้นเหรอ” ลั่วเสี่ยวซีเริ่มี้เีคิดหาเหตุผลของเื่ตรงหน้า “เอาเถอะ ฉันอาจจะคิดมากไปเอง”
หลังเดินเข้าห้องทำงาน ซูอี้เฉิงก็เอาคอมพิวเตอร์กับเอกสารมาให้ เธอเปิดเอกสารออกมาดู เนื้อหาของเอกสารชุดนี้มีบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับความลับทางธุรกิจของเครือเฉิงอันอยู่ เธอเงยหน้ามองซูอี้เฉิงอย่างใ
“นายเอาเอกสารสำคัญขนาดนี้มาให้ฉันดูทำไม ไม่กลัวฉันเอาไปป่าวประกาศหรือไง?”
ซูอี้เฉิงหย่อนกายลงนั่งพลางยิ้ม “ลั่วเสี่ยวซี เธอไม่กล้าหรอก”
ลั่วเสี่ยวซีสบถก่อนเอ่ย “นายจะดูถูกกันเกินไปแล้ว ถ้านายหาเื่ฉันอีก ฉันจะเอาเื่นี้ไปบอกบริษัทคู่แข่งนาย!”
ซูอี้เฉิงทำท่าเหมือนจะยิ้มก็ไม่เชิง “คู่แข่งของฉันคราวนี้คือฉินเว่ย”
ลั่วเสี่ยวซีนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ซูอี้เฉิงพูดแบบนี้ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่า นอกจากฉินเว่ยจะเป็คู่แข่งทางธุรกิจแล้ว ยังมีความหมายแฝงอีกชั้นซ่อนอยู่
แต่...มันคงไม่มีทางเป็อย่างที่เธอคิด
เธอจึงหัวเราะแกนๆ “บังเอิญจังนะ”
“ไม่บังเอิญ” ซูอี้เฉิงกล่าว “เฉิงอันกับเครือฉินเดิมทีก็แข่งขันกันอยู่บ้าง คราวนี้คงเลี่ยงไม่ได้”
“งั้นคราวนี้...” ลั่วเสี่ยวซีถามอย่างลังเล “นายว่าใครจะชนะ?”
ซูอี้เฉิงถามย้อน “เธออยากให้ใครชนะล่ะ?”
ฉินเว่ยเป็เพื่อนเธอ ซูอี้เฉิงก็เป็คนที่เธอชอบ ลั่วเสี่ยวซีไม่รู้ว่าเธออยากให้ใครเป็ผู้ชนะกันแน่ จึงกลอกตามองบนใส่ซูอี้เฉิงไปหนึ่งที
“ฉันอยากให้ทุกคนบนโลกใบนี้เกิดมาเท่าเทียมกัน นายว่ามันจะเป็ไปได้ไหม?”
ใช่แล้ว เธอตอบคำถามนั้นไม่ได้ เลยต้องหาวิธีเบี่ยงเบนประเด็นแบบนี้
ซูอี้เฉิงเองก็คร้านจะหาเื่เธอ
“รีบแปลเอกสารให้เสร็จ คืนนี้ฉันเลี้ยงข้าวเธอเอง”
ลั่วเสี่ยวซีเบ้ปากเล็กน้อย “แบบนี้ค่อยน่าช่วยหน่อย”
เธอเข้าใจภาษาญี่ปุ่นดีไม่แพ้ภาษาอังกฤษ แถมเธอยังเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นเพื่องานธุรกิจมาอีกด้วย ฉะนั้นการแปลเอกสารชุดนี้จึงไม่ได้ยากเกินกำลัง ไม่นานเธอก็แปลเสร็จไปแล้วสองหน้า
ซูอี้เฉิงมองเธอจากโต๊ะทำงาน ลั่วเสี่ยวซีตอนตั้งใจทำงานไม่เหมือนกับทุกคราวที่มักจะร่าเริงสดใส ถึงเธอยังดูงดงามเหมือนเดิม แต่เขาไม่อาจปฏิเสธว่า เขาชอบมองเธอเวลายิ้มแย้ม ะโโลดเต้นอยู่ไม่สุขมากกว่า
บางทีการที่เธอเลือกอาชีพนางแบบโดยละทิ้งชีวิตการทำงานออฟฟิศไป อาจเป็เื่ที่ถูกต้องก็ได้
