ไม่ใช่แค่รวดเร็วเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือเซียวหลิงอวิ๋นััได้ถึงความพิเศษของอีกฝ่ายด้วย ราวกับมันสามารถไล่ตามเป้าหมายได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเคลื่อนไหวอย่างว่องไวเพียงใด ก็ไม่สามารถหลบหลีกการไล่ตามของอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์ได้ เป็อะไรที่ล้ำลึกมาก!
ชายร่างผอมบางคล้ายไม้ไผ่ผู้นี้น่าสนใจจริงๆ
งั้นก็ขอชนแบบซึ่งๆ หน้าสักครั้งก็แล้วกัน
เมื่อเซียวหลิงอวิ๋นตัดสินใจได้แล้ว แสงสีเขียวก็เปล่งออกมาจากร่างกายของเขา กายค้อนสำริดนี้ก็ถูกเรียกใช้จนถึงขีดสุด อีกฝ่ายแม้ดูผอมแห้ง แต่กลับซ่อนพลังอันยิ่งใหญ่เอาไว้ภายใน แม้ว่าในเวลานี้เซียวหลิงอวิ๋นจะบรรลุขึ้นระดับนักยุทธ์ระดับแปดไปแล้วครึ่งตัวก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถต่อกรกับอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นเซียวหลิงอวิ๋นจึงต้องใช้วิชากายค้อนสำริดในขั้นเกือบสมบูรณ์นี้ในทันที!
ดาบภูติน้ำในมือของเขาพุ่งทะยานออกไปเป็แสงสีฟ้าสดใส เข้าต้านรับแสงสีแดงตรงๆ
เกิดเสียงดังโช้งเช้งอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่ทั้งสองร่างจะแยกออกจากกันแล้วกลับไปปะทะกันอีกครั้ง ราวกับดาวตกสีเขียวที่ตกท่ามกลางท้องฟ้าในยามค่ำคืน ทั้งสว่างไสวและเจิดจ้า แต่จู่ๆ ก็กลายเป็เหมือนดั่งเส้นไหมที่ยืดยาวทันที การเคลื่อนไหวของเซียวหลิงอวิ๋นราวกับพายุหมุนที่รุนแรง ซึ่งหลังจากที่หลบการโจมตีของอีกฝ่ายแล้ว ตัวเขาก็ตอบโต้กลับไปอย่างรุนแรงยิ่งกว่า
ในขณะเดียวกันร่างกายผอมสูงของเฉียนหม่านควงก็ราวกับเป็แมลงปอที่กำลังร่ายรำอย่างสง่างามดาบิญญาผลึกเพลิงในมือของเขาเป็เหมือนดั่งสายรุ้งที่ยาวนับพันลี้พาดผ่านท้องฟ้า แสงสีแดงที่ส่องแสงจ้าราวกับดวงอาทิตย์ก็ทำให้เหล่าศิษย์สำนักชั้นนอกที่คอยชมอยู่รอบๆ พากันตาพร่าไปหมด
ร่างกายที่สมส่วนของเซียวหลิงอวิ๋นเองก็คล่องแคล่วมาก ราวกับปลาตัวหนึ่งที่ลื่นหลบไปมาอยู่ท่ามกลางแสงดาบสีแดง เฉียนหม่านควงคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ท้าชิงทั้งสิบสองคนอย่างไม่ต้องสงสัย เป็สิ่งที่เขาเองก็รู้แต่แรกแล้ว
เพียงแต่หลังจากที่ได้ต่อสู้กันจริงๆ แล้ว เซียวหลิงอวิ๋นก็พบว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้นมากกว่าที่เขาคาดเอาไว้ถึงสามเท่าเลยทีเดียว
แสงดาบสีเขียวอมฟ้าและแสงดาบสีแดงได้รวมกันกลายเป็เส้นแสงที่วิ่งขนานต่อกันยืดยาว บางครั้งก็พัวพันกันไปมา บางครั้งก็กลายเป็เส้นโค้ง บางครั้งก็กลายเป็ดาวตกที่พุ่งทะยานลง บางครั้งก็เหมือนดั่งพายุฝน และบางครั้งก็เหมือนดั่งดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงเจิดจ้า เสียงดาบและดาบที่แหวกผ่านดังก้องกังวานราวกับจะทำให้บริเวณตรงที่ทั้งสองคนอยู่กลายเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ตัวดาบภูติน้ำและดาบิญญาผลึกเพลิงแทบจะมองไม่เห็นทั้งสองเล่มแล้ว จากการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงของทั้งคู่ ทำให้ยากที่จะแยกแยะออกว่าอันไหนคือแสงและเงาของดาบ
ตอนนี้ทั่วทั้งเวทีประลองเต็มไปด้วยดาบและดาบสีเขียวสีแดง
ไม่มีใครที่คาดคิดว่าการต่อสู้ของคนทั้งสองจะดุเดือดกันั้แ่ต้นเช่นนี้
เป็การต่อสู้ที่ทั้งรุนแรง ตึงเครียด และเร้าใจ จนทำให้หัวใจของเหล่าศิษย์จำนวนมากที่คอยชมอยู่รอบๆ พากันเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกจากคอได้ ทั่วทั้งลานประลองเงียบกริบราวกับถูกผีสิง มีเพียงแค่เสียงดาบและดาบที่กระทบกันรัวๆ ราวกับเสียงประทัดเท่านั้น
แม้แต่ฉินหรูเยียนที่มั่นใจในตัวเซียวหลิงอวิ๋นอย่างที่สุดก็ยังต้องเบิกตากว้าง มือทั้งสองกำแน่นจนกลายเป็กำปั้นโดยไม่รู้ตัว และตรงกลางกำปั้นที่กำแน่นก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
จ้าวหนีอิ่งที่มักจะสงบเยือกเย็นก็จับจ้องมองไปที่ทั้งสองบนเวทีตาไม่กะพริบ หัวใจเต้นแรงอย่างเป็กังวลให้กับคนที่นางเป็ห่วงเป็ใย
หยางลู่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ฟันทั้งสองข้างประกบกันแน่น ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา
“ทำไมหลิงอวิ๋นถึงเข้าสู้กับอีกฝ่ายแบบประจัญหน้าเช่นนั้นล่ะ ไม่ใช่ว่าปกติจะพุ่งเข้าหาจุดอ่อนของอีกฝ่ายหรอกหรือ?” จ้าวเหวินจัวเองก็ดูอึดอัดใจมากเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมาเบาๆ
“เหวินจัว เ้าคงยังไม่รู้สินะ ศิษย์คนผอมสูงที่สู้กับหลิงอวิ๋นในเวลานี้คือคนของตระกูลเฉียน เขาเป็คนเดียวในตระกูลเฉียนในรอบสามร้อยปีที่สามารถใช้พลังสายเืตระกูลเฉียนได้มากที่สุด มีความสามารถในการดึงเอาพลังิญญาที่หลับใหลอยู่ของผู้ใช้พลังิญญาออกมาใช้ได้!” อูิอธิบายด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่จ้าวเหวินจัวประสบความสำเร็จในการปรุงยาระดับสามและกลายมาเป็หัวหน้าหอยาของสำนักชั้นนอก ความสัมพันธ์และการพูดคุยของทั้งคู่ก็เพิ่มมากขึ้น
หลังจากที่ได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกันอย่างลึกซึ้งในสองครั้งที่ผ่านมากับจ้าวเหวินจัว อูิก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าเ้าอ้วนคนนี้ แม้พลังยุทธ์จะยังน้อย แต่กลับมีความสามารถในการปรุงยาที่น่าทึ่งและมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับยาอีกด้วย อูิซึ่งกังวลมานานเกี่ยวกับผู้สืบทอดตำแหน่งนักปรุงยาของสำนัก รู้สึกดีใจราวกับว่าตัวเองได้พบกับหยกดิบ
สถานะของจ้าวเหวินจัวในสายตาของเขาจึงสูงส่งขึ้นมาทันที!
แม้แต่การคัดเลือกศิษย์ก้นกุฏิในครั้งนี้ เขาก็ยังเรียกให้มานั่งข้างๆ เพื่อคอยชมด้วยกัน!
ใช้พลังสายเืของตระกูลเฉียนได้มากที่สุด? สามารถดึงเอาพลังิญญาที่หลับใหลอยู่ออกมาใช้ได้? ชายร่างผอมบางคล้ายกระบอกไม้ไผ่คนนี้มีพลังเช่นนั้นด้วยหรือ! จ้าวเหวินจัวเบิกตากว้างทันที
หากก่อนหน้านี้ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้างแล้ว หลังจากที่ได้รับทราบข้อมูลนี้ ในใจของจ้าวเหวินจัวก็มีความกังวลขึ้นมาแทนที่ทันที อย่างไรเสียเดิมทีระดับพลังยุทธ์ของทั้งสองฝ่ายนั้นก็ห่างกันหลายขั้นอยู่แล้ว
ในขณะที่จ้าวเหวินจัวกำลังรู้สึกตึงเครียดอยู่นี้ สถานการณ์การต่อสู้ที่รุนแรงบนเวทีประลองก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน
เฉียนหม่านควงหัวเราะเสียงดัง ร่างผอมแห้งก็ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ดาบิญญาผลึกเพลิงที่ดูราวกับงูแลบลิ้นฟาดฟันออกไปด้วยความเร็วสูงจนน่าใ ในชั่วเวลาอันสั้นตัวเขาฟันดาบออกไปได้ถึงสี่สิบเก้าครั้งรวมกัน จนกลายเป็เส้นโค้งดาบหนาทึบ แล้วแสงดาบทั้งสี่สิบเก้าเส้นที่โค้งงอในอากาศราวกับครึ่งวงกลมขนาดใหญ่สีเืนี้ก็พุ่งเข้าหาเซียวหลิงอวิ๋น
นี่คือท่าไม้ตายของเฉียนหม่านควง ‘สะบั้นเสี้ยวจันทราเพลิง’
เมื่อเผชิญหน้ากับท่าไม้ตายของอีกฝ่าย เซียวหลิงอวิ๋นก็หรี่ตาลง ดาบภูติน้ำก็ฟาดฟันออกไปด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง เป็แสงสีฟ้าสดใสที่วาดเส้นโค้งที่กลมมนออกมาอย่างต่อเนื่อง
แล้วปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อแสงดาบของเซียวหลิงอวิ๋นกลายเป็เส้นโค้งในอากาศเช่นกัน แม้เส้นโค้งเหล่านี้เล็กกว่าเส้นโค้งจันทร์เสี้ยวสีเืของเฉียนหม่านควงเล็กน้อย แต่กลับมีเส้นโค้งขนาดเล็กสามโค้งซ้อนทับกันอีกที
กระบวนท่านี้ของเซียวหลิงอวิ๋น คือการนำกระบวนท่าดาบพื้นฐานทั้งสี่ท่าของสำนักิญญาเมฆาสุดท้ายอย่าง ‘ครึ่งจันทร์เสี้ยว’ มาผสมผสานกับ ‘บุปผาโรยสามระลอก’ มารวมกันจนกลายเป็กระบวนท่าใหม่!
“เปรี้ยง” เกิดเสียงะเิอย่างรุนแรงดังขึ้นมาและต่อเนื่องยาวนาน!
“แกร๊ง!” พร้อมด้วยเสียงของดาบและดาบปะทะกันดังขึ้น!
“แกร๊ก!” ตามด้วยเสียงวัตถุร้าว ดาบภูติน้ำที่ปะทะกันเป็เวลานาน ในที่สุดก็เริ่มทนแรงไม่ไหวและหักออก!
ดาบิญญาผลึกเพลิงเป็เหมือนดั่งงูที่พุ่งเข้ามาฉกเซียวหลิงอวิ๋น ตัวของเซียวหลิงอวิ๋นเองก็เอี้ยวตัวหลบราวกับงูเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าเป็เพราะดาบิญญามาเร็วเกินไป หรือว่าพลังปราณของเซียวหลิงอวิ๋นไหลเวียนช้าลงกันแน่ในชั่วขณะนั้น แต่ผลที่ออกมาคือ “ฉึก” เสียงเืไหลพุ่งออกมาจากบริเวณเอวขวาของเซียวหลิงอวิ๋น
ความเสียหายจากการโจมตีด้วยดาบิญญานี้ก็ส่งผลในทันที ทำให้ตัวของเซียวหลิงอวิ๋นต้องเซถลาออกไป
เมื่อเห็นภาพนี้แล้ว เหล่าศิษย์สำนักชั้นนอกที่อัดอั้นตันใจอยู่ตลอดทั้งวันก็พากันเบิกตากว้างทันที ความรู้สึกยินดีและภาคภูมิผุดขึ้นมาในใจ
ในขณะที่หยางลู่ ชิวเทียนฉี่ หรือแม้แต่จ้าวเหวินจัวต่างก็รู้สึกไม่ดีราวกับมีฟ้าผ่าลงมากลางแดดจ้าในชั่วขณะนี้ ต่างก็ตกตะลึงในทันที!
แม้แต่จ้าวหนีอิ่งก็ยังขมวดคิ้วทั้งสองข้าง ใบหน้าอันงดงามพลันแปรเปลี่ยนเป็เคร่งเครียด!
มีเพียงฉินหรูเยียนเท่านั้นที่ยังคงมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าสุดท้ายเซียวหลิงอวิ๋นจะได้รับชัยชนะในที่สุด ส่วนบรรดาผู้าุโสูงสุดทั้งหลายก็ยังคงมีรอยยิ้ม ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านใจแต่อย่างใดตอนที่เซียวหลิงอวิ๋นได้รับาเ็! แผนของบุตรแห่ง์จะสามารถมองออกได้อย่างง่ายดายโดยคนธรรมดาได้อย่างไร
ในขณะที่เหล่าศิษย์สำนักชั้นนอกกำลังจะโห่ร้องด้วยความดีใจ สถานการณ์บนเวทีประลองก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
ในตอนที่เอวของเซียวหลิงอวิ๋นถูกดาบิญญาของอีกฝ่ายเฉือนผ่าน อาการซวนเซที่ดูราวเกิดจากการาเ็นี้ กลับกลายเป็สัญญาณของการโจมตีสวนกลับในชั่วพริบตาต่อมา ตัวเขาที่เซถลาเมื่อสักครู่ก็เปลี่ยนมาเป็พุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้ท่าทางที่ดูแปลกประหลาดนี้เพื่อลอบเข้าประชิดตัวทางด้านขวาของเฉียนหม่านควงที่เป็มุมอับสายตา
เซียวหลิงอวิ๋นได้ใช้การหักของดาบให้เป็โอกาส ล่อศัตรูให้เข้ามาหาด้วยร่างกายตัวเอง กระบวนท่าเช่นนี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ แลกกับการสูญเสียอาวุธและาเ็เพียงเล็กน้อยเพื่อแลกกับโอกาสได้เข้าประชิดตัวอีกฝ่าย
มือขวาเขาเปล่งแสงสีเขียวราวกับดาบที่คมกริบ พร้อมด้วยเสียง ‘เปรี้ยง’ ดังสนั่นกึกก้อง ร่างผอมสูงของเฉียนหม่านควงก็กระเด็นลอยขึ้นฟ้าไปในทันที!
‘แกร๊ง’ ดาบิญญาผลึกเพลิงในมือร่วงตกลงมา ตามมาด้วยเสียง ‘ตุบๆๆ’ ร่างสูงผอมของเฉียนหม่านควงลงมายืนที่พื้นและต้องเซถอยไปอีกหลายก้าว มีร่องรอยปูดบวมที่บริเวณไหล่ขวากับแขน มือขวาหักงอจนผิดรูป เห็นได้ชัดว่าถูกดาบมือของเซียวหลิงอวิ๋นสับลงไป ก่อนจะอ้าปากออกมา “อุ่ฟ” พร้อมกับกระอักเืคำโต ใบหน้าของเฉียนหม่านควงซีดขาวราวกับกระดาษ
จากนั้นก็จ้องมองไปยังเซียวหลิงอวิ๋นที่ยืนอยู่อีกฝั่งอย่างนิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหวใดๆ รอจนมั่นคงแล้วก็อ้าปากพูดออกมาอย่างลำบาก พร้อมด้วยความรู้สึกขมขื่น เ็ป และความเสียดายในเวลาเดียวกัน “เก่งมาก...สมแล้ว...ที่เป็อัจฉริยะ...ในรอบหมื่นปี...เ้าชนะแล้ว!”
หลังจากที่หยัดยืนพูดคำสุดท้ายสามคำจบ เฉียนหม่านควงที่พยายามยืนอย่างยากลำบาก ร่างกายที่เคยยืนอยู่ก็หงายหลังล้มลงไปราวกับเสาหินที่พังทลาย
