หลินอวิ๋นกับไป้เอ๋อร์อยู่ท่ามกลางพวกเขา นั่งบนโต๊ะฟังพวกเขาพูดอย่างน้ำไหลไฟดับ ทว่าตนเองกลับจดจ่ออยู่กับการยัดอาหารเข้าปากอย่างเงียบงัน ด้วยการต้อนรับของจวนอัครเสนาบดี ที่อยู่อาศัยหรืออาหารการกินของชาวสำนักเต๋าที่อาศัยอยู่ด้านนอกจึงไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ไป้เอ๋อร์ผู้น่าสงสารผู้ไม่เคยเห็นกองอาหารอันโอชะมากมายถึงเพียงนี้มาก่อน ภาพอันงดงามของอาหารที่ไม่มีใครลงมือกินเสียที เมื่อมีอาจารย์เฉกเช่นหลินอวิ๋น เขาก็ได้เรียนรู้วิธีกินราวกับเมฆพายุ โชคดีที่ตอนนี้ทุกคนให้ความสนใจกับอี้จื่ออี จึงไม่มีใครสนใจอาจารย์ศิษย์ทั้งสองเลย
“ฉิงชางจวินผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลก! ชิ!” อี้จื่ออีตบต้นขาของตน “ชื่อของาาผีแห่งแดนเหนือผู้หายสาปสูญไปเกือบสองร้อยปี ไม่นึกเลยว่าสำนักเต๋าในปัจจุบันยังคงมีเด็กเหลือขอที่ไม่เคยฟังเื่นี้มาก่อน นี่มันช่าง...หากนึกย้อนกลับไปยังยุครุ่งเรืองของคนผู้นั้น มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งสามโลก มีศาลบูชาาาผีอยู่ทุกหนทุกแห่ง จำนวนผู้ศรัทธาที่บูชาาาผีท่านนี้มีไม่น้อยไปกว่าเทพหรือเซียนจวินจาก์ ในบรรดาขุนนางของราชวงศ์ซีเฉียนในราชวงศ์ก่อนก็มีสาวกผู้ศรัทธาอยู่ไม่น้อย...”
“เก่งกาจเพียงนั้นเชียวหรือ?”
อี้จื่ออีกล่าว “ระดับาาผีควรมีสถานะเช่นไรในปรโลก ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็าาผีในบรรดาาาผี ฉายาหนึ่งในสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลก รู้หรือไม่ว่าสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลกหมายความว่าอย่างไร? ก็คือาาผีที่ทรงพลังที่สุดสองคนในปรโลกอย่างไรเล่า!” สายตาของเขาเหลือบมองหลินอวิ๋นโดยไม่ได้ตั้งใจ มุมปากกระตุกเล็กน้อย จากนั้นนึกได้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้เอ่ยอะไรมานานแล้ว คงไม่ดีหากเพิกเฉยต่ออีกฝ่ายจึงรีบถาม “ใช่แล้ว นักพรตหลิน ท่านเคยได้ยินนามของคนผู้นี้หรือไม่?”
หลินอวิ๋นตกตะลึงก่อนพยักหน้าอย่างแข็งขัน “ได้ยินมาบ้าง ได้ยินมาบ้าง” จากนั้นนึกบางสิ่งขึ้นได้จึงถอนหายใจ “คุณชายอี้ ท่านรู้มากจริงเชียว”
อี้จื่ออียิ้มอย่างอับอาย “เฮ้ ทำให้นักพรตหลินต้องหัวเราะเยาะเสียแล้ว ข้าน้อยเป็ศิษย์ของไท่ซื่อซาน ย่อมรู้มากกว่าผู้อื่นโดยปกติ”
หลินอวิ๋นประหลาดใจก่อนที่จะนึกขึ้นได้ ไท่ซื่อซานเป็แหล่งกระจายข้อมูลของสำนักเต๋า อีกทั้งหนังสือประวัติศาสตร์โบราณสามโลกหกเหล่าอะไรก็แล้วแต่ก็เป็คลังหนังสือที่ครบครันที่สุด หาก้าสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสำนักเต๋า เพียงไปที่ไท่ซื่อซาน ตราบเท่าที่มีเงินมากพอ ข่าวคราวแบบใดย่อมขายให้ได้
ผู้ชมรอบข้างเห็นว่าหัวข้อสนทนาเปลี่ยนไป ไม่ปะติดปะต่อกันเท่าไรจึงมีคนถาม “เฮ้ ศิษย์พี่อี้ ท่านยังพูดไม่จบ เหตุใดฉิงชางจวินผู้นี้จึงเป็ ‘สองผู้ยิ่งใหญ่’ นอกจากเขาแล้วยังมีผู้ใดเป็หนึ่งสองผู้ยิ่งใหญ่อีกหรือ? เช่นนั้นเหตุใดเขาถึงหายตัวไปในภายหลังกันเล่า?”
อี้จื่ออีจิบน้ำเล็กน้อยก่อนตอบ “อย่ารีบร้อนๆ นี่ยังไม่จบ เกี่ยวกับ ‘สองผู้ยิ่งใหญ่’ นี้คือสองผู้ยิ่งใหญ่คนใด ‘ยิ่งใหญ่’ ที่ตรงไหน อันที่จริงมีหลายทฤษฎี ในบรรดาสองท่านที่เป็ ‘สองผู้ยิ่งใหญ่’ ก็มีการกล่าวถึงอยู่สองแบบ หนึ่งหมายถึงฉิงชางจวินกับเหวินเสี่ยนเซียนจวินที่ตอนนี้เลื่อนขั้นขึ้นสู่์แล้ว... “
“อา!” ก่อนที่เขาจะพูดจบมีคนะโอย่างตื่นเต้น “ว่ากันว่าเขาเป็าาผีเพียงผู้เดียวแห่งปรโลกที่สามารถขึ้น์ไปรับการจัดอันดับเซียนได้! ์ ฉิงชางจวินผู้นี้มีชื่อเสียงไม่แพ้กันกับเหวินเสี่ยนเซียนจวิน?!” ทันทีที่เขาพูดจบ ทุกคนต่างรีบขานรับ เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดล้วนคุ้นเคยกับนามของ ‘เหวินเสี่ยนเซียนจวิน’ นี้เป็อย่างดี
มุมปากของหลินอวิ๋นกระตุกอีกครั้ง
อี้จื่ออีกล่าว “ถูกต้อง เวลานั้นเหวินเสี่ยนเซียนจวินยังไม่ได้เลื่อนขั้น จึงเป็เพียงาาผี ว่ากันว่าเขากับฉิงชางจวินผู้นี้เป็เพื่อนสนิทกัน ทั้งสองเคยเล่นหมากล้อมกันบนระเบียงชมกวางที่เมืองปี่อั้นอันเป็ตลาดผี ทำให้ผู้คนจากสามโลกโชคดีที่ได้เห็นใบหน้าแท้จริงของทั้งสอง ว่ากันว่าผู้ที่ได้เห็นจะยกย่องาาผีทั้งสองอย่างเป็เอกฉันท์ แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในปรโลกกลับมีท่าทางราวกับเซียน อีกทั้งยังมีความสง่างามไม่ธรรมดา นั่นเป็เหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงได้รับฉายาว่า ‘สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลก’ และคำว่ายิ่งใหญ่นี้ ยังมีความหมายว่ารูปลักษณ์ที่เลิศล้ำ โดยธรรมชาติแล้วาาผีทั้งสองนี้มีเื่ราวอยู่ไม่น้อย เื่ลับๆ ก็มากจนยกมาพูดไม่ไหว เป็ตํานานที่เล่าสามวันสามคืนก็ไม่หมด”
ทุกคนหัวเราะ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจฉิงชางจวินผู้นี้ แต่เหวินเสี่ยนเซียนจวินเป็เช่นนั้นจริง
“ดูเหมือนว่าาาผีผู้นี้เคยเป็ผู้ที่สง่างามเช่นเดียวกัน” มีคนเอ่ยแสดงความคิดเห็น
อี้จื่ออีถอนหายใจอีกครั้ง “อย่าเพิ่งด่วนสรุปไป ‘สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลก’ ในที่นี้หมายถึงฉิงชางจวินกับโยวหยวน าาผีแห่งแดนใต้ เพราะทั้งสองเป็าาผีที่ฉาวโฉ่และโหดร้ายยิ่งนัก”
“าาผีแห่งแดนใต้...โยวหยวน?!” บางคนในที่นี้อ้าปากค้างเมื่อได้ยินนามนั้น เห็นได้ชัดว่าเคยได้ยินนามของคนผู้นี้ เวลานี้ทุกคนต่างเลิกติดตลก พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม “คนผู้นั้น...ในสามโลกหกเหล่าไม่ว่าใคร เพียงแค่ทำสิ่งใดไม่เข้าตาจะถูกล้างบางทั้งตระกูล และเขาไม่เคยพ่ายแพ้แม้เพียงสักครั้งเดียว...”
อี้จื่ออีพยักหน้าเงียบๆ
“ฉิงชางจวินมีชื่อเสียงพอกันกับเขา ไม่ใช่ว่าชั่วร้ายพอๆ กับเขาหรือ?”
อี้จื่ออีเอ่ยเสียงทุ้ม “ไม่...ชั่วร้ายยิ่งกว่าอีก ว่ากันว่าฉิงชางจวิน...เข่นฆ่าเมืองและทำลายประเทศ คร่าชีวิตผู้คนมากเกินไปจึงละเมิดกฎ์ ดังนั้น ์จึงต้องลงมือจัดการแยกิญญาของเขา แล้วลบล้างเขาออกจากสามโลกโดยสิ้นเชิง”
ทุกคนเงียบไปอย่างตกตะลึง แม้แต่ไป้เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างหลินอวิ๋นก็หยุดแทะขาไก่ จ้องมองด้วยความประหลาดใจ เห็นได้ว่าเมื่อครู่ก็ฟังอย่างออกรสออกชาติเช่นเดียวกัน
เป็เวลานานกว่าจะมีคนพึมพำออกมา “ไม่น่าแปลกใจ...ไม่น่าแปลกใจเลยที่เมื่อคืนไป๋เจ๋อจวินและคนอื่นๆ มีสีหน้าเช่นนั้น”
มีผู้ถามขึ้นมาอีก “ไป๋เจ๋อจวินและคนอื่นๆ ทราบได้อย่างไรว่าฉิงชางจวินผู้นี้กลับมาจุติบนโลก? ในเมื่อเขาถูก์แยกิญญา...จะกลับสู่โลกได้อย่างไร? เขาเข่นฆ่าเมืองและทำลายประเทศใดอีกอย่างนั้นหรือ?”
อี้จื่ออีกล่าว “เมื่อคืนนี้ไม่ใช่ว่าพวกเขาจับิญญาร้ายได้หรอกหรือ? บนไหล่ของิญญาร้ายตนนั้นมีเครื่องหมายอยู่ พวกเ้าเห็นมันหรือไม่? เครื่องหมายนั้นเป็สัญลักษณ์ของฉิงชางจวิน มีข่าวลือว่าเครื่องหมายที่ตัวนั้นได้รับการคุ้มครองจากฉิงชางจวิน สิ่งนี้ถูกส่งต่อมาั้แ่การล่มสลายของซีเฉียนในราชวงศ์ก่อน เป็สิ่งที่ฉิงชางจวินให้คำสัญญากับปากของตนเอง ทำการประทับตราให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาเองกับมือ ส่วนที่ว่าเขาเข่นฆ่าผู้คนในเมืองและทำลายประเทศใด คิดว่าพวกเ้าคงเดาออกแล้ว หลังจากการล่มสลายของซีเฉียน ศาลของาาผีผู้นี้ก็ถูกทำลายทั้งหมด และราชวงศ์ยังกำหนดกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อห้ามประชาชนบูชาสิ่งโสโครกเหล่านี้เป็การส่วนตัว...นั่นคือเหตุผลทั้งหมด”
ทุกคนประหลาดใจอย่างไม่สิ้นสุด “ท้ายที่สุดแล้วเหตุผลคืออะไรกันเล่า?”
อี้จื่ออียักไหล่ “ข้าก็ไม่รู้ เป็เพียงข่าวลือเท่านั้น การปิดล้อมเมืองยงเป็จุดสําคัญที่สุดที่ซีเฉียนราชวงศ์ก่อนล่มสลาย หยวนรั่วหลี ฉู่อ๋องแห่งซีเฉียนได้ปิดล้อมและปราบปรามพระชายาปีศาจผู้มีชื่อเสียงในราชวงศ์ก่อนกับหยวนรั่วเซี่ยน จิ่งอ๋องแห่งเมืองยง แต่พระชายาปีศาจผู้นั้นเรียกตัวาาผีผู้นั้นมาเข่นฆ่าทหารนับหมื่นคนในพระนครซีเฉียนก่อนพลิกสถานการณ์ ว่ากันว่าศพของการต่อสู้ครั้งนั้นถูกกองเป็ูเาโลหิต ต่อมาประสบภัยแล้งอีกสามปี ในที่สุดราชวงศ์ซีเฉียนจึงมาถึงชะตากรรมสุดท้าย ปัจจุบันผู้คนกล่าวถึงซีเฉียนในราชวงศ์ก่อนอย่างบ่อยครั้งว่าถูกทําลายด้วยน้ำมือของสวีกุ้ยเฟย ผู้ที่ความงามนำมาซึ่งภัยพิบัติ การปกครองจึงยุ่งเหยิงวุ่นวาย เพราะการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในวังทำให้อำนาจของซีเฉียนหมดลง และซีเฉียนในราชวงศ์ก่อนก็ล่มสลายลงจริง ว่ากันว่าเขาผู้นี้มีความรับผิดชอบเป็อย่างมาก ความผิดของเขานั้นหนักหนาเกินไป ทําให้์ต้องจัดการกับเขา”
เมื่อทุกคนได้ยินเื่นี้กลับลิ้นจุกปาก เศร้าซึมเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานจึงแยกย้ายกันไป
.............................
่เวลากลางคืน ไป๋เจ๋อจวินและคนอื่นๆ ที่กระตือรือร้นจะหาข้อเท็จจริงได้หารือและเห็นพ้องต้องกันว่า ไม่อาจรอคอยโชคชะตาเช่นนี้ได้อีกต่อไป จึงเลือกที่จะเริ่มลงมือแทน
หนีรั่วหลีเดินไปอย่างเงียบงันภายใต้สายตาของทุกคน ไม่มีการเคลื่อนไหวใด จากนั้นยื่นมือออกไปเพื่อวาดค่ายกลในอากาศ เมื่อค่ายกลตกลงบนพื้นจึงเริ่มสว่างขึ้น ทันใดนั้นเขาตบฝ่ามือลงบนพื้น เมื่อเขายกมือขึ้นสูง หมอกสีดำที่อยู่ตรงกลางของค่ายกลค่อยๆ หนาขึ้น ในหมอกสีดำนั้นเริ่มควบแน่นเป็เงารูปร่างมนุษย์ หลังจากนั้น แสงของค่ายกลแข็งแกร่งและเป็รูปธรรมมากขึ้น จนกระทั่งมันควบแน่นราวกับว่าเป็ ‘มนุษย์’ ที่มีชีวิต
ศิษย์รุ่นหลังในสำนักเต๋าหลายคนที่ดูอยู่ราวกับว่าเพิ่งจะเห็นเคล็ดวิชาอัญเชิญที่น่าทึ่งเป็ครั้งแรก ทันใดนั้นกลับตื่นเต้นแล้วลดเสียงกระซิบด้วยโทนเสียงต่ำ อี้จื่ออียืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนแล้วโน้มตัวเข้าไปที่ใบหูของหลินอวิ๋นก่อนกล่าว “หากบอกว่าไท่ซื่อซานของเราแลกเปลี่ยนข้อมูลจากสำนักเต๋าโลกมนุษย์...จงหลีซานก็แลกเปลี่ยนข้อมูลจากปรโลก ท้ายที่สุดแล้ววิชาเฉพาะที่โด่งดังไปทั่วหล้าของสำนักจงหลีซานคือการขับไล่ผีกับอัญเชิญเทพเ้า”
หลินอวิ๋นพยักหน้า
ผู้ฝึกฝนธรรมดาในใต้หล้า นักพรตที่มีการบ่มเพาะขั้นสูงมักสามารถนำจิตออกจากร่างกายเข้าสู่โลกอื่น น้อยคนนักที่จะมีชะตาเป็เซียนแล้วเข้าสู่แดน์ได้ ซึ่งมีอยู่เพียงในตำนานเท่านั้น ทว่าตราบใดที่บ่มเพาะมากพอย่อมเข้าสู่ตลาดผีได้ราวกับเดินบนพื้นราบ อย่างไรก็ตาม การเปิดปิดของตลาดผีมีเวลาจำกัด หากเข้าไปเป็เวลานานจะเป็การทำร้ายจิติญญาอย่างง่ายดาย...หากไม่มีความจำเป็ ไม่มีใครสามารถไปที่ตลาดผีได้ทุกวันหรอก
ถึงอย่างนั้น สำนักจงหลีซานซึ่งสามารถไล่ผีได้นั้นกลับแตกต่างกัน เพราะอย่างนั้นจึงสามารถรับข่าวสารมากมายเกี่ยวกับปรโลกผ่านทางพวกมันได้...สันนิษฐานได้ว่าราคาเป็ที่น่าพึงพอใจ หากเงินถึง เหล่าศิษย์จะสร้างที่พำนักของเซียน อาวุธิญญา อาวุธวิเศษ ผลึกและยาวิเศษอย่างแน่แท้...เช่นนี้การที่ปัจจุบันจงหลีซานกลายเป็ผู้นำในการบ่มเพาะในใต้หล้านับว่าไม่ใช่เื่ที่เข้าใจยากนัก
เมื่อเห็นสีหน้าอิจฉาและประหลาดใจของทุกคน หนีอิ๋นเสวี่ยที่อยู่ด้านหลังหนีรั่วหลีแสดงความพอใจเล็กน้อย ท้ายที่สุดเขายังคงมีจิตใจของความเยาว์วัยอยู่
หลังจาก ‘มนุษย์’ ที่ถูกอัญเชิญมองไปโดยรอบอย่างเฉยเมย เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้หนีรั่วหลีอย่างไม่แยแส หนีรั่วหลีประสานมือเคารพเสร็จก็ไม่สุภาพอีกต่อไป เริ่มโพล่งถามกลางฝูงชน “ผู้ที่มาคือผู้ใด?”
‘มนุษย์’ ที่มาตอบ “ซวีอวี่ จากเมืองปี่อั้นแห่งแดนเหนือ”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนต่างตกตะลึง
เมืองปี่อั้น เป็เมืองที่ใหญ่ที่สุดในแดนเหนือแห่งปรโลก ซวีอวี่เป็ผู้คุมิญญาในเมืองปี่อั้น ในสำนักเต๋าน้อยนักที่จะทราบพร้อมทั้งไม่เคยได้ยินเื่นี้มาก่อน หากศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักจงหลีซานผู้นี้ไม่ลงมือ จะสามารถดึงดูดผู้คุมิญญาระดับนี้ได้หรือไม่กัน?
อี้จื่ออีลดเสียงของเขาแล้วแสดงความคิดเห็นที่ข้างใบหูของหลินอวิ๋น “ชิ ไม่เสียทีที่...เกือบจะได้เป็ไป๋เจ๋อจวินรุ่นต่อไปจริงเชียว”
หลินอวิ๋นปิดปากยิ้มถามเสียงเบา “ยังมีวิธีอีกหรือ?”
อี้จื่ออีตอบ “อืม ไป๋เจ๋อจวินฉวีซูเอาชนะเขาได้ในปีนั้น ทำให้เขาไม่สามารถสืบทอดนามของไป๋เจ๋อจวินจากอาจารย์ของเขาได้ ถ้าฉวีซูไม่ปรากฏตัวออกมา ด้วยการบ่มเพาะของหนีรั่วหลี นอกเหนือจากปรมาจารย์สวินเอ๋อ ท่านอาจารย์ของข้าแล้ว ปรมาจารย์เจิ๋นฝ่าแห่งวัดก่วงเจ๋อเป็นักพรตในปราณพิสุทธิ์ขั้นปลายเช่นกัน สำนักเต๋าทั่วหล้าต่างก็มาหาเขา อาจารย์ของข้ากับปรมาจารย์เจิ๋นฝ่าต่างก็เข้าใกล้ขอบเขตเซียน จึงยุ่งอยู่กับการเลื่อนขั้น หากขึ้นเป็ไป๋เจ๋อจวินก็ต้องดูแลสำนักเต๋าทั้งใต้หล้า โดยปกติแล้วพวกเขาไม่มีเวลาหรือความสนใจที่จะแข่งขันกับคนรุ่นหลังเพื่อชื่อธรรมดาสามัญนี้หรอก ดังนั้นหนีรั่วหลีจึงสามารถรับชื่อไป๋เจ๋อจวินได้อย่างแท้จริง”
ไม่น่าแปลกใจนักที่เวลานี้ในโถงห้องพัก สีหน้าของทั้งสองคนถึงได้ดู...ประหลาดใจเช่นนั้น
หลังจากที่ซวีอวี่ตอบเสร็จก็ถามซ้ำ “ใครเรียกข้ามา?”
หนีรั่วหลีตอบกลับ “หนีรั่วหลี จากจงหลีซาน ข้าน้อยเต็มใจที่จะใช้ผลึกเทียนเสวียนจำนวนหนึ่งร้อยก้อนเป็เครื่องบูชา หวังให้เซียนจวินชี้แนะสักหน่อย”
ทุกคนรอบตัวเงียบไปครู่หนึ่ง อี้จื่ออีแอบไปกระซิบข้างหูของหลินอวิ๋นด้วยความอับอายอีกเล็กน้อย แสดงความคิดเห็นอย่างประชดประชันอยู่สองคำ “รวยนัก!”
ซวีอวี่ขมวดคิ้ว “พูดมา”
หนีรั่วหลีกล่าวอีก “เพียงถามเื่หนึ่งจากเซียนจวิน ที่แดนเหนือแห่งปรโลก ่นี้มีข่าวคราวว่ามีคนกลับมายังโลกหรือไม่?”
ซวีอวี่ใ จากนั้นมองไปที่หนีรั่วหลีด้วยท่าทางจริงจัง ถามอย่างรู้ทัน “ผู้ใด?”
หนีรั่วหลีกล่าว “าาผีแห่งแดนเหนือ ฉิงชางจวิน”
ซวีอวี่เงียบไปอีกครู่หนึ่ง ่ที่ทุกคนต่างก็เป็กังวลเล็กน้อย เขากลับตอบอย่างรวบรัด “ไม่มี”
หนีรั่วหลีทั้งคาดไม่ถึงและรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ไป๋เจ๋อจวินหรือแม้แต่หนีอิ๋นเสวี่ย สวี่ฮ่วนเจ๋อและคนอื่นๆ ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก เคล็ดวิชาการอัญเชิญิญญาเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายจะใช้ิญญาในการทำสัญญา ไม่มีวันขายข่าวปลอมตามที่สัญญากำหนดไว้ ซวีอวี่จึงไม่สามารถโกหกได้
“ข้าก็แค่พูดไปเท่านั้น...์เป็ผู้ลงมือเอง แล้วจะให้เขาฟื้นคืนมาได้อย่างไร?”
“เช่นนั้นเครื่องหมายนั่นเป็มาอย่างไรกัน? เกรงว่าจะมีคนจงใจสร้างเื่หลอกลวงกระมัง?”
หนีรั่วหลีถามอีกครั้ง “เพียงคำพูดใดก็ไม่มีเลยหรือ?”
ซวีอวี่ส่ายศีรษะ
หลังจากที่รั่วหลีร่ายคาถาเพื่อส่งผีที่อัญเชิญออกไป ฝูงชนที่ระงับการสนทนาก่อนหน้านี้แปรเปลี่ยนเป็เสียงดังขึ้น
“สิ่งที่ผีตนนี้พูดถูกต้องหรือไม่?”
“หรือบางทีอาจมีเพียงแดนเหนือที่ไม่มีข่าวคราว?”
ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ฉับพลันกลับมีเสียงหัวเราะดังขึ้น
หลินอวิ๋นมองไปตามเสียง กลับเห็นชายชราแปลกหน้าผู้หนึ่งข้างกายไป๋เจ๋อจวิน แต่งกายด้วยอาภรณ์สีเทา ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูถูก กวาดสายตามองทุกคนในที่แห่งนั้น เมื่อทุกคนสงบลงและจดจ่ออยู่กับเขา ชายชราจึงหรี่ตาแล้วมองไป๋เจ๋อจวินด้วยรอยยิ้ม ประสานมือกล่าว “ไป๋เจ๋อจวิน สหายนักพรตทุกท่าน...การค้นหาผู้ที่อยู่เื้ันั้นจะไปซับซ้อนอะไร? หากไป๋เจ๋อจวินไม่ถือสา ขอยืมผีตัวน้อยที่ไป๋เจ๋อจวิ๋นจับมาเมื่อคืนได้หรือไม่ ข้ามีแผนการของตนเอง”
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เริ่มสนใจ จ้องมองคนผู้นั้นทันที
ไป๋เจ๋อจวินดูเหมือนจะลังเล เขาหยุดคิดเป็เวลานาน การจะเชิญผีที่ใส่ไว้ในถุงกักอสูรปราบปีศาจเมื่อคืนออกมา ทำให้ศิษย์ที่สวมชุดคลุมแม่น้ำรั่วต้องหาทางที่เหมาะสมในการเชิญ
มีเสียงหัวเราะเย้ยหยันในหมู่ฝูงชน ถึงอย่างนั้นชายชรากลับแสร้งทำเป็ไม่ได้ยิน
หลังจากิญญาตนนั้นถูกขัง ชายชราเห็นเครื่องหมายสีแดงสดบนไหล่ของอีกฝ่าย เขายกยิ้มอย่างไม่อาจคาดเดา แล้วก้าวออกไปหยิบตุ๊กตากระดาษสีขาวที่ตัดเรียบร้อยแล้วออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นรับแปรงที่ทำจากขนพังพอนจุ่มชาด1 จากศิษย์ที่อยู่ข้างกายมาเขียนบางสิ่งบนกระดาษ ก่อนใช้นิ้ววาดค่ายกลใหม่ในอากาศ วางตุ๊กตากระดาษลงไป ภายหลังที่เต้นรำอย่างเฉิดฉายด้วยกายอยู่พักหนึ่งก็ะโออกมา “ทั่วทั้งฟ้าดินรับคำสั่ง ยมราชทั้งสิบรับการอัญเชิญ ิญญาจงมา!” หลังจากนั้น ตุ๊กตากระดาษที่อยู่ตรงใจกลางค่ายกลกลับมีไฟปะทุขึ้นในทันที พร้อมเผาไหม้อย่างรวดเร็ว ก่อนปรากฏเงาสีดําซึ่งมีร่างสูงใหญ่ะเิออกมาจากเปลวเพลิงในค่ายกลอย่างฉับพลัน
หลินอวิ๋นตกตะลึงจนตาค้าง
ไม่ใช่ว่าตกตะลึงกับแผนการของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่ตะลึงคือ…
เขาหันศีรษะไปแล้วพูดกับอี้จื่ออีด้วยเสียงต่ำ “นี่เป็คำสาป! ไม่กลัวจริงๆ หรือว่าลิ้นจะต้องลม?!” คิดว่าคาถาที่ท่องไปนี้ ต่อให้เป็เทพ์ากับเทพผู้สร้างที่ทั้งสามโลกหกเหล่าต่างก็ให้ความเคารพ หรือแม้แต่เผ่าเทพากับเทพผู้สร้างเอง เกรงว่าจะไม่อาจท่องคาถาที่ไร้ยางอายด้วยท่าทางไม่ถ่อมตนเช่นนี้ได้กระมัง
------------------------
[1] ชาด หมายถึง แร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีสีแดง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้