ในวัดถัดมา พวกเขาเดินทางไปที่เมืองเซินเย้า
มู่อวิ๋นจิ่นรู้สึกแน่นหน้าอกั้แ่เช้า ราวกับมีบางอย่างในร่างกายกำลังดิ้นอยู่ อุดอยู่จนไม่สบายใจ
คิดไปคิดมา จะต้องเป็ิญญาดอกบัวดำออกฤทธิ์เป็แน่
ช่างโชคร้ายเสียจริง ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ดันเจอเื่ซวยเช่นนี้เข้า หากอาจารย์ท่านนั้นมู่อวิ๋นจิ่นจะให้นางกีดร่างกายแหวกดูข้างในให้รู้แล้วรู้รอด
“เ้ากำลังคิดอะไรอยู่?” ฉู่ลี่หันมองมู่อวิ๋นจิ่น เห็นนางยกมือขึ้นจับหน้าอกด้วยใบหน้าคิ้วขมวด
มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหน้าไปมา “ไม่มีอะไร”
ฉู่ลี่เงียบนิ่งเป็เวลานาน
ไม่รู้นานเพียงใด รถม้าเดินทางมาถึงหน้าประตูเมืองเซินเย้า ถูกทหารรักษาประตูเมืองกันรั้งให้เข้าแถว
ติงเซี่ยนที่นั้งอยู่ข้างนอกรีบหยุดรถม้า เมื่อทหารเดินเข้ามา เขาควักป้ายขึ้นมายื่นให้ทหาร
ทหารรับฝ้ายไปดู สีหน้าเปลี่ยนทันใด รีบโค้งคำนับติงเซี่ยนทันที จากนั้นเอ่ยปากอย่างลำบากใจ “เ้าเมืองมีคำสั่ง ไม่ว่าใครเข้าเมืองเซินเย้าจะต้องผ่านด่านตรวจทุกคน รวมทั้ง… ผู้สูงศักดิ์ในรถม้าด้วย”
ติงเซี่ยนมาที่เมืองเซินเย้ากับฉู่ลี่บ่อยครั้ง รู้ว่ากฏระเบียบของที่นี่ดี ในเวลานี้ติงเซี่ยนยื่นหน้ารายงานผ่านม่าน “องค์ชาย ถึงเมืองเซินเย้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม” เสียงของฉู่ลี่ตอบนิ่งๆ จากนั้นยื่นไข่มุกออกมาเม็ดหนึ่งออกม่าน
ทหารเห็นไข่มุกมรกตเม็ดนั้นก็เข้าใจทันที โค้งตัวผายมือ “เชิญ” จากนั้นสั่งทหารรักษาประตู “เปิดประตูเมืองได้”
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนคล้อยเข้าไปในเมืองเซินเย้า
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งพิงพนัก พลางเอื้อมมือไปคว้าไข่มุกมรกตจากมือฉู่ลี่มาดู “นี่มันคืออะไร?”
“สิ่งของของฉวีซินเหยา” ฉู่ลี่ตอบกลับ
มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยรับทราบ พลางขมวดคิ้วด้วยความคันปาก “เ้ากับฉวีซินเหยามีความสัมพันธ์กันด้วยเหรอ?”
“ไม่มีสักหน่อย” ฉู่ลี่ปฏิเสธ ก่อนเสริมขึ้นอีกประโยคว่า “เมื่อวานนี้สวี่เหออวี๋ได้ฝากเปิ่นหวงจื่อนำของชิ้นนี้มาให้ฉวีซินเหยา”
“ที่แท้ก็เป็อย่างนี้นี่เอง เมืองเซินเย้าแห่งนี้ ช่างแตกต่างกับเมืองอื่นๆ โดยสิ้นเชิง” แค่จะผ่านเข้าประตูเมืองต้องตรวจอย่างเข้มข้น ไม่รู้ใช้ชีวิตผู้คนที่นี่เป็อย่างไร
คิดมาถึงตรงนี้ มู่อวิ๋นจิ่นเลื่อนผ้าม่านหน้าต่างขึ้น ชะเง้อออกไปดูด้านนอก
เมื่อเห็นว่าทัศนาภาพไม่เป็ไปอย่างที่คาดหวังไว้ มู่อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นมานั่ง ยื่นแขนออกไปรับลม
“พวกเราจะไปหาอาจารย์คนนั้นไหม?” มู่อวิ๋นจิ่นหันมองไปทางฉู่ลี่
“อืม”
พอได้ยินว่าเดินทางไปหาอาจารย์คนนั้น มู่อวิ๋นจิ่นกลับรู้สึกใจเต้นรัวไปหมด จนต้องหายใจยาวๆ ลึกๆ ผ่อนคลาย
ภาพในหัว ปรากฏอีกเื่หนึ่งขึ้นมา
ถ้าหากการทำลายค่ายกลสำเร็จ ช่วยหรงเฟยออกมาได้แล้ว เช่นนั้นหน้าที่ดูแลตำหนักหวงอวี่จะต้องคืนกลับไปด้วยไหม?
ถ้าเป็เช่นนั้นนับว่าเป็เื่ดี เพราะอย่างไรเสียความสามารถของนางมีจำกัด การต้องแบกรับความลับยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ทำให้นางกดดันอยู่ตลอด
ยิ่งไปกว่านั้น… เหล่าครึ่งคนครึ่งสัตว์
ยากยิ่งที่จะให้นางควบคุมได้
……
เมื่อรถม้าผ่านด่านตรวจเขตเมือง ยังต้องเดินทางอีกประมาณครึ่งชั่วยาม ก่อนมาหยุดเรือนมุงจากที่ห่างออกมา
มู่อวิ๋นจิ่นที่นั่งจนเกือบเคลิ้มหลับเดินลงจากรถม้า มองไปโดยรอบพบว่านางอยู่ในพื้นที่แห้งแล้งที่ไม่มีแม้แต่พืชสักคนต้นยืนหยัดได้ ส่วนเรือนมุงจากครึ่งหนึ่งทะลุเป็รู กำแพงเรือนก็ทะลุเป็รูเช่นกัน ให้ความรู้สึกพร้อมจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
“ที่นี่มีคนอยู่ไหม?” มู่อวิ๋นจิ่นะโถาม
ฉู่ลี่หันมองนาง “เข้าไปข้างในเถอะ”
ทั้งสามคนจึงเดินเข้าไปด้านใน ติงเซี่ยนเคาะที่ประตูเบาๆ แต่ไม่พบเสียงตอบกลับแต่อย่างใด จึงค่อยๆ ผลักประตูออก
“เอี๊ยด ปั้ง…” เสียงทั้งสองเกิดขึ้นไล่เรียงกัน ประตูไม้ที่หนักอึ้งหลุดร่วงกระแทกพื้นจนฝุ่นกระจายเป็วงกว้าง
มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้ว พึมพำต่อว่าสถานที่แห่งนี้ จากนั้นเดินเข้าไปสำรวจพบว่าที่พื้นมีฟางปูอยู่กองหนึ่ง ส่วนอย่างอื่นก็ไม่เห็นมีอะไร
พอมองเข้าไปที่กองฟางให้ชัด เห็นชายชราในชุดคลุมสีเทากำลังนั่งสมาธิหลับตา เหมือนกำลังนั่งสมาธิภาวนา
ในเวลานี้ ไม่มีใครเอ่ยคำใดขึ้นมา
มู่อวิ๋นจิ่นคอยจ้องชายชราคนนั้นอยู่ตลอด เห็นชุดคลุมสีดำขาดเป็รูบ้าง แหว่งบ้าง ผมที่ขาวโพลนทอดยาวลงมาใช้ไม้เสียบ และรองเท้าที่ใส่กลับขาดเป็รูจนเห็นนิ้วเท้า
แค่คนชราเสื้อผ้าสกปรกขาดรุ่งริ่ง ดูยังไงก็เหมือนคนพเนจร เหตุใดหนอฉู่ลี่นับถือชายชราผู้นี้เป็อาจารย์
ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย
มู่อวิ๋นจิ่นยืนจ้องอยู่อย่างนั้นเป็เวลานาน จนรู้สึกปวดแข้งปวดขาไปหมดแล้ว พอมองที่พื้นเห็นว่าทำมาจากดิน จึงพยายามมองหาที่นั่งกลับไม่พบ กระทั่งนางจนปัญญาแล้ว
“แม่นางแค่นี้ก็ยืนไม่ไหวแล้วเหรอ?” เสียงที่แหบแห้งดังสัพยอกขึ้นมา
มู่อวิ๋นจิ่นหันขวับไปที่เสียงแหบแห้งนั้น เห็นชายชรากำลังนั่งสมาธิภาวนา ลืมตาข้างหนึ่งขึ้นพิจารณามู่อวิ๋นจิ่น ด้วยแววตาที่ดูแคลน
พอเห็นชายชราคนนั้นมองนางด้วยสายตาไม่เป็มิตร มู่อวิ๋นจิ่นจึงสวนกลับไปบ้าง “เ้านั่งอยู่ตั้งนาน ทำไมจะให้ข้านั่งไม่ได้?”
“อั๊ยย่ะ ยังกล้าสวนคำพูดอีก?” ชายชราหัวเราะเย้ยหยัน เพียงชายชราสะบัดแขนเสื้อลมวูบใหญ่พุ่งหมายปะทะที่มู่อวิ๋นจิ่น
ทางด้านติงเซี่ยนพยายามจะเข้ามาขวาง กลับถูกฉู่ลี่ยกมือกันเอาไว้ก่อน
มู่อวิ๋นจิ่นไม่รู้สึกหวาดกลัวลมที่ใช้มาเล่นงานนางแม้แต่น้อย ด้วยนางสามารถหลบได้อย่างสบาย หลังจากนางกลับมายืนไม่นาน ลมวูบใหญ่พุ่งมาอีกสองสาย
มู่อวิ๋นจิ่นหลบอย่างเนื่อง จนเกิดโมโหขึ้นมาจนสะบัดแส้หางหงส์ออกมา “ไอ้คนแก่บ้า สมองเลอะเลือนเหรอ?”
ชายชราผู้นั้นขยับเปลือกตาขึ้นดูเพียงเล็กน้อย ยกฝ่ามือขึ้นมา ทำให้เศษก้อนหินที่กระจัดกระขายในห้องลอยขึ้นมา พุ่งใส่มู่อวิ๋นจิ่นทุกทิศทุกทาง
พอมู่อวิ๋นจิ่นเห็นชายชราผู้นี้เล่นงานนางอย่างไม่เกรงใจ ก็ไม่มีความจำเป็ที่นางจะไว้หน้าอีกต่อไปแล้ว
แส้หางหงส์ถูกสะบัดออกไปฟาดก้อนหินเ่าั้จนแตกกระจุย สุดท้ายฟาดแส้ไปทางชายชราคนนั้น
ชายชราผู้นั้นไม่ลืมตาขึ้น ยังคงรักษาสมาธิภาวนา เมื่อแส้หางหงส์กำจัดเคลื่อนเข้าไปใกล้ร่างของชายชรา ร่างของเขากลับเคลื่อนหลบได้สบายๆ โดยไร้ความกังวล
มู่อวิ๋นจิ่นสะบัดแส้หมายเล่นงานเท่าไหร่ก็ไม่โดนสักครั้ง จนนางเดือดดาลอดไม่ไหวแล้วที่ชายชราตั้งใจกลั้นแกล้งนาง
“ฝีมือการใช้แส้ของเ้ายังไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าแค่นี้ยังไม่เพียงพอเป็คู่ต่อสู้ข้า” ชายชราขยับเปลือกตามองด้วยความเยาะเย้ย
ตอนนี้มู่อวิ๋นจิ่นบ้าคลั่งจนควบคุมอารมณ์ไม่ได้แล้ว
นางคว้าแส้เสริมพลังลมปราณ จนแส้เรืองแสงสีม่วงอ่อนๆ มู่อวิ๋นจิ่นเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิ “ไอ้แก่ อย่าโทษว่าข้าไม่เคารพแล้วกัน”
สิ้นเสียง มู่อวิ๋นจิ่นสะบัดแส้ฟาดไปยังชายชราจนเสียงดังสนั่น
ชายชราคนนั้นยังคงหลบหลีกได้เหมือนเดิม แต่ว่ามู่อวิ๋นจิ่นได้คิดแก้ไขมาแล้ว มือหนึ่งฟาดแส้ มือหนึ่งใช้พลังลมปราณปล่อยพลังใส่ชายชราจนขยับตัวไม่ได้ ถูกแส้กระทบเข้าไปหนึ่งที
“โอ๊ย…” ชายชราร้องด้วยความเ็ปที่โดนแส้หางหงส์
ในระหว่างที่มู่อวิ๋นจิ่นกำลังจะหาดแส้ซ้ำเป็ครั้งที่สอง ฉู่ลี่ที่อยู่ด้านข้างเดินขึ้นมาจับแส้เอาไว้ในมือ ห้ามการกระทำของนาง
มู่อวิ๋นจิ่นเหลือบมองฉู่ลี่ เห็นเขาส่ายหน้าห้ามปราม นางจึงยอมเก็บแส้หางหงส์
“แม่นางไม่เลวนี่หน่า เอาเป็ว่ามาเป็ศิษย์ของข้าเอาไหม?” ชายชราที่โดนแส้ฟาดหันมายิ้มให้มู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นมองเขาด้วยสายตารังเกียจ “เ้ายังสู้ข้าไม่ได้ ถือดีอะไรจะมาเป็อาจารย์ของข้า?”
“เหอะๆ ข้าตั้งใจออมมือให้เ้า เ้ากลับคิดว่าตัวเองเก่งกาจเกินใคร แต่ว่าวิธีการเมื่อครู่ ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง” ชายชราเอ่ยขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นสีหน้าชะงักไป เมื่อครู่ด้วยความโมโหเข้าครอบงำ นางเลยลืมตัวใช้การรวมลมปราณจากในคัมภีร์เฉวียนหลิงมาใช้
ตายแล้ว ตายแน่ๆ……
ฉู่ลี่มองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยสายตาแข็งทื่อ พอเห็นชายชราและมู่อวิ๋นจิ่นเถียงกันไปมาแล้วพอหอมปากหอมคอแล้ว จึงเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์เฟิงเสวียน ิญญาดอกบัวดำเข้าสู่กายภายในของมู่อวิ๋นจิ่นเมื่อวานนี้”
อาจารย์ที่นามว่า ‘เฟิงเสวียน’ ได้ยินดังนั้นถึงกับหัวเราะจนท้องแข็ง “เ้าหมายความว่า ิญญาดอกบัวดำเข้าสู่ร่างนางหนูเนี่ยนะ?”
ฉู่ลี่พยักหน้าแทนคำตอบ
“ฮ่าๆๆๆ ช่างน่าขันสิ้นดี ข้ายังเครียดอยู่เลยว่าถูกฟาดมาหนึ่งที ไม่รู้จะแก้แค้นอย่างไรดี นางหนูนี่ก็หามาถึงที่ซะแล้ว” อาจารย์เฟิงเสวียนมิอาจกลั้นเสียงหัวเราะอยู่
มู่อวิ๋นจิ่นกัดริมฝีปาก ควบคุมอารมณ์ที่อยากจะควักแส้หางหงส์ออกมาฟาดอีกสักสองสามที “เ้าตั้งใจพูดหน่อย จะทำยังไงถึงจะเอาิญญาดอกบัวดำออกจากร่างกายข้า?”
“เชอะ!!!” อาจารย์เฟิงเสวียนเบือนปาก “นางหนู ิญญาดอกบัวดำมิใช่ของธรรมดา หากเ้าไม่ถอดอย่างทันท่วงที มันจะรวมเข้ากับกระแสเืของเ้า เปลี่ยนสีเืจากแดงเป็ดำ จากนั้นค่อยๆ ทรมานและอย่างอย่างอเนจอนาถ……”
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเข้าหากัน ด้วยไม่อยากเชื่อคำพูดของอาจารย์เฟิงเสวียน จากนั้นมองไปหาฉู่ลี่ด้วยใบหน้าสร้อยเศร้า “ฉู่ลี่ เื่ที่เกิดขึ้นกับข้าเป็เพราะเ้าแท้ๆ”
ฉู่ลี่เห็นหน้านางจ๋อย ทว่าเขากลับอยากจะหัวเราะออกมา จึงหันไปถามอาจารย์เฟิงเสวียนด้วยรอยยิ้ม “ขออาจารย์เฟิงเสวียนช่วยชี้แนะทางออกด้วย”
“ง่ายนิดเดียว ให้นางหนูรับข้าเป็อาจารย์มัน ข้าจะช่วยสอนวิธีการให้นาง พอฝึกสำเร็จแล้วที่เหลือนางก็ช่วยตัวเองได้แล้ว” อาจารย์เฟิงเสวียนชี้แจง
จากนั้นอาจารย์เฟิงเสวียนหันมองมู่อวิ๋นจิ่น และเสริมขึ้นอีกประโยค “วิชาวรยุทธ์ของข้านั้น ข้าเป็คนคิดค้นเองทั้งหมด หากนางหนูไม่ไหว้ข้าเป็อาจารย์ อย่าหวังจะเรียนรู้วิชา!”
“เอายังไงนางหนู จะไหว้ข้าเป็อาจารย์ไหม?” อาจารย์เฟิงเสวียนเลิกคิ้วถามด้วยถือไพ่เหนือกว่า
มู่อวิ๋นจิ่นได้แต่กัดฟันกรอดๆ จ้องกินเืกินเนื้ออาจารย์เฟิงเสวียน
ไอ้แก่นี่นะ ทำไมมันช่างวอนเสียเหลือเกิน!!!
การให้นางไหว้เขาเป็อาจารย์ ด้วยท่าทางอย่างกับคนพเนจร ดูก็รู้ว่าคงไม่มีใครเป็ศิษย์… มิน่าเล่า ิญญาดอกบัวดำถูกสร้างจากฝีมือเขา จึงไม่ใช่ของที่ดี……
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้