บทที่ 34 หุบผาชิงเยวียน และก้าวแห่งศรัทธา
ณ วังจันทรา
ตลอดทาง หลี่โม่ไม่ได้ใส่ใจกับการล่าสัตว์อสูรเก้าระดับเพื่อสังหารเท่าใดนัก แม้รางวัลจากสำนักจะมหาศาลเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบได้กับการได้รับมรกดกสืบทอดของอิ๋งปิงเลย หงส์ะเก้าสี... ช่างเป็วาสนาอันล้ำค่า หากไม่ได้พึ่งพานาง ชาตินี้เกรงว่าคงไร้วาสนาแล้ว
ในระหว่างที่ครุ่นคิด หลี่โม่ก็ได้มาถึงวังจันทราแล้ว
จากตรงนี้ หน้าผาสูงนับหมื่นจั้งทอดตัวลงสู่เบื้องล่าง เมฆหมอกปกคลุมจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง แม้แต่นกสักตัวก็ยังไม่ปรากฏให้เห็น
ชิงเยวียน... ที่แห่งนี้คือต้นกำเนิดของนามสำนักชิงเยวียนทั้งหมด หากมองออกไปไกลกว่านั้น จะพบว่าหน้าผาทั้งหมดดูราวกับผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไม่มีต้นสายปลายเหตุ ไม่เหมือนลักษณะทางภูมิประเทศที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเลย
“สถานที่สืบทอดอยู่ที่ไหน?”
หลี่โม่กวาดตามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบสิ่งที่เรียกว่าสถานที่สืบทอด
ก็จริง วังจันทราแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เดินทางมาได้ยากลำบากนัก ได้ยินว่ายอดเขาอสูรมักเป็ที่นัดพบของคู่รักหนุ่มสาวบ่อยครั้ง ในสำนักเองก็มีเื่เล่าขานเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้มากมาย หากสถานที่สืบทอดหาง่ายถึงเพียงนี้ คงเป็ที่รู้กันทั่วแล้ว
แล้วอิ๋งปิงค้นพบได้อย่างไรกัน?
หรือว่ามันก็เหมือนกับตอนที่เขาอยู่ในถ้ำเทพศาสตราวุธ และเกิดความรู้สึกเชื่อมโยงกับค้อนเล่มนั้น... วาสนาที่นี่กำลังเรียกหานางเช่นกันหรือ?
“ว่าแต่... คงไม่ใช่จะต้องะโลงไปในหน้าผาจากวังจันทราหรอกนะ มันลึกขนาดไหนกัน...?”
หลี่โม่เดินไปที่หน้าผาเพื่อสำรวจ ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็พร่าเลือนไปชั่วขณะ ในความมืดมิด คล้ายมีกระบี่อสนีบาตฟาดฟันลงมา คมกระบี่ราวกับหายนะจากสรวง์ ฟันผ่าอุปสรรคทุกสิ่งบนโลก และสังหารเป้าหมายให้สิ้นซาก
หลี่โม่รู้สึกว่ากายาศาสตราสังหารที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี กลับเปราะบางยิ่ง ตนไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ปุถุชนเลย
“เฮือก!...ในชิงเยวียนนี้... มีผู้ที่ฟันเพียงกระบี่เดียวได้ขนาดนี้เชียวรึ?” ความคิดอันน่าสะพรึงกลัวนี้ผุดขึ้นในใจของหลี่โม่
กระบี่ที่ถูกฟันออกมาเมื่อไม่รู้กี่ร้อยปีที่แล้ว ในวันนี้ยังคงทิ้งร่องรอยแห่งคมกระบี่ไว้ กระบี่เดียวที่แสงเย็นเยียบแผ่ไปทั่วสิบเก้ามณฑล
แล้วคนผู้นั้นจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน?
“ในอนาคต อิ๋งปิงเองก็อาจจะเป็ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ หรืออาจจะแข็งแกร่งกว่านี้อีกก็ได้?” หลี่โม่นึกถึงคำประเมินอิ๋งปิงในเนตรทิพย์ลิขิตฟ้า ในอนาคต นางจะต้องกลายเป็ผู้แข็งแกร่งที่สุดในเก้า์สิบดินแดนอย่างแน่นอน
ตัวเขาในตอนนี้ เมื่อเทียบกับนาง อย่างน้อยในด้านปราณโลหิต ก็ไม่น่าจะล้าหลังมากนัก...
เมื่อคิดถึงเื่นี้ หลี่โม่ก็ถอนหายใจ
“ทำไมข้าถึงไม่ใช่คนที่มีพร์ด้านการฝึกกระบี่กันนะ? ครั้งหน้าต้องเปลี่ยนเป็กระบี่ดีๆ แล้วค่อยลองใหม่...”
สายลมเย็นะเืพัดต้องวังจันทรา
อิ๋งปิงรวบผมยาวที่ยุ่งเล็กน้อยให้เรียบร้อย สายตาเหลือบมองไปพลางรำพึงในใจ
“วิชากระบี่หลิงเซียว พลังช่างกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก แผ่ซ่านทั่วฟ้าดิน... ตอนนี้ท่านอาจารย์ผู้ใช้วิชา คงจะยังเฝ้าหลุมศพกระบี่อยู่กระมัง?”
ผู้ที่ฟันกระบี่เล่มนี้ แม้แต่นางในยามที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ยังต้องยอมรับในความสามารถ
ต่อมา ท่านอาจารย์ผู้นั้นก็ได้ถ่ายทอดวิชากระบี่หลิงเซียวให้กับอดีตองค์หญิง ผู้ที่ซึ่งถูกปลดจากตำแหน่งของราชวงศ์ต้าอวี้ พูดไปแล้วก็บังเอิญ ทั้งนางและสตรีเซียนกระบี่ผู้นั้น ต่างก็รู้จักกันมาั้แ่ก่อนที่พวกนางจะโดดเด่น
ชาติก่อนนางถูกมองว่ามีเส้นชีพจรพิการ จึงไม่สามารถเข้าสำนักชิงเยวียนได้ในทันที ทั้งสองเคยมี่เวลาที่ช่วยเหลือเกื้อกูลและพึ่งพาอาศัยกัน นั่นคือครั้งแรกที่อิ๋งปิงได้เรียนรู้การใช้กระบี่
“ตอนนี้ชูหลงคงจะถูกเนรเทศไปยังที่ห่างไกลในแดนบูรพาแล้วกระมัง... และนางคงไม่รู้แล้วว่าข้าเป็ใคร” อิ๋งปิงอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มบางๆ
ขณะครุ่นคิดถึงอดีต นางก็มาถึงวังจันทราแล้ว
“หืม?”
เมื่อเห็นหลี่โม่ซึ่งเปรอะเปื้อนเืสัตว์อสูรไปทั้งตัว อิ๋งปิงถึงกับชะงักเล็กน้อย ในความคิดของนาง หลี่โม่ควรจะยังอยู่ในป่าหินธารา เพราะก่อนหน้าที่จะมาถึงที่แห่งนี้ อาจต้องเผชิญกับสัตว์อสูรเก้าระดับขั้นสูงสุด แม้เขาจะมีปราณโลหิตสิบสองเส้นชีพจร และวิชาดาบขั้นแตกฉาน ก็ไม่น่าจะจัดการได้อย่างง่ายดายแน่นอน
เมื่อพิจารณาว่าเส้นทางนี้ไม่สะดวกสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ปราณโลหิต นางจึงจงใจให้เวลาหลี่โม่เพิ่มอีกหนึ่งชั่วยาม
แต่... เขากลับมาถึงเร็วกว่านางเสียอีก?
“ในที่สุดเ้าก็มาแล้ว”
หลี่โม่ยิ้มอย่างสดใส ไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด เขาสังเกตเห็นว่าอิ๋งปิงเดินมาอย่างสบายๆ แม้แต่ผมก็ยังไม่ยุ่ง ต่างจากเขาที่เสื้อผ้าขาดวิ่นไปหมดแล้ว...
อืม…ก็เขาทำเองนั่นแหละ
“เ้าาเ็ก็รักษาตัวก่อน ข้าจะรอเ้า”
ในใจพลันกระจ่าง เธอเข้าใจแล้วว่าหลี่โม่คงไม่ได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรใดๆ ที่อยู่ระหว่างทาง แต่เป็เพราะไม่สนใจสิ่งใดเลย เมื่อเจอสัตว์อสูรก็จะหลบหลีกการต่อสู้ และวิ่งตรงมายังวังจันทราทันที
“รักษาตัวหรือ?” หลี่โม่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะ
“ข้าไม่ได้าเ็ นี่เป็แค่เืสัตว์อสูร ไม่เชื่อท่านลองดูสิ”
เขาเดินเข้าไปใกล้สองสามก้าว
“ข้าเจอสัตว์อสูรเก้าระดับที่ไม่แข็งแกร่งนักสองตัวขวางทาง และข้าก็รีบด้วย เลยไม่ได้สนใจอะไรมาก”
อิ๋งปิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือมาแตะที่หน้าอกของเขา มันเป็เืของสัตว์อสูรจริงๆ เป็ไปได้ไหมว่าตลอดทางเขาไม่ได้พบเจอเื่ยุ่งยากใดๆ มีเพียงตอนที่ขึ้นมาถึงวังจันทราเท่านั้น ที่เจอสัตว์อสูรขั้นต้นสองตัว? ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้...
แต่... นี่เท่ากับว่าเขายอมแพ้การทดสอบแล้วหรือ?
แน่นอนว่าอิ๋งปิงไม่ได้ใส่ใจรางวัลจากการทดสอบของสำนัก หลี่โม่เองก็ไม่รู้เลยว่านางเรียกเขามาทำอะไร แต่ทว่ายังเลือกที่จะมาโดยไม่ลังเล...
อิ๋งปิงเงยหน้าขึ้น เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่เปื้อนรอยยิ้มสดใส นางไม่พบแม้แต่ความไม่พอใจหรือหงุดหงิดเลยสักนิด มีเพียงความยินดีที่ได้ทำตามสัญญาทันเวลา ราวกับเขาเชื่อใจนางอย่างที่สุด เชื่อว่าการที่นางเรียกเขามานั้น ย่อมมีเหตุผลสำคัญอย่างแน่นอน
เหตุใดกัน? อิ๋งปิงเริ่มมองไม่เข้าใจเด็กหนุ่มคนนี้แล้ว
“เอ่อ...” หลี่โม่รู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย นิ้วมืออันเย็นเฉียบของอิ๋งปิงยังคงจิ้มอยู่ที่หน้าอกเขาอยู่เลย
ทันใดนั้นเอง
“ศิษย์สายตรงทั้งสอง... ข้ามาผิดที่ผิดเวลาหรือเปล่า?”
เสียงแหบห้าวที่ทำลายบรรยากาศก็ลอยมาพร้อมกับสายลมหนาว หลี่โม่และอิ๋งปิงหันกลับไปแทบจะพร้อมกัน
ตรงทางเดิน ปรากฎร่างเงาในชุดและเสื้อคลุมสีดำ สวมหน้ากากเหล็ก ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนั้นั้แ่เมื่อใด
“เดิมทีข้าเพียงแค่อยากมาสะสางเื่กับศิษย์สายตรงหลี่เท่านั้น”
“ไม่คาดคิดว่ายังจะมีของแถม ได้เจอศิษย์สายตรงอิ๋งที่นี่ด้วย”
เมื่อเอ่ยถึงอิ๋งปิง เสียงของชายชุดดำสั่นเทา แฝงไปด้วยความตื่นเต้นที่ยากจะระงับ
ชู่—
ชายผู้นั้นดูราวกับติดป้ายคำว่า ‘คนร้าย’ ไว้บนหน้าผาก หลี่โม่ไม่รีรอที่จะพูดจาไร้สาระกับเขา พลันจุดพลุสัญญาณขึ้นสู่ท้องฟ้าเรียกคนมาช่วยทันที
ทว่าชายชุดดำกลับไม่สะทกสะท้าน ตรงกันข้ามเขากลับพูดเย้ยหยัน
“ศิษย์สายตรงหลี่ ลองคิดดูให้ดี หากข้าไม่ได้เตรียมตัวมาอย่างเต็มที่ ข้าจะกล้ามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?”
“อิ๋งปิงเอ๋ยอิ๋งปิง หากเ้าไม่อยากตกตายไปตามมัน เพียงแค่เ้า...”
กริ๊งๆ—
เสียงกระดิ่งดังขึ้นสองครั้ง หลี่โม่เขย่ากระดิ่งรวมใจด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“หลี่โม่!”
เสียงของชายชุดดำเปลี่ยนไปทันใด หากสามารถมองทะลุหน้ากากเข้าไปได้ ก็จะเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวเปลี่ยนสี เหงื่อเย็นเฉียบพลันซึมไหล
แน่นอน เขารู้ว่ากระดิ่งนี้จะเรียกใครมา
“เ้าต้องตาย!”
ในความคลุมเครือ ได้ยินเพียงเสียงคำรามของสัตว์ป่าดังก้องอยู่ในหุบผาชิงเยวียน ทว่าอีกฝ่ายยังไม่ทันได้ลงมือ ประกายคมกระบี่ก็มาถึงแล้ว คมกระบี่เย็นะเืเสียดกระดูก เด็ดขาดและเกรี้ยวกราด อิ๋งปิงขว้างกระบี่ในมือออกไป
ชายชุดดำมั่นใจว่าจะรับดาบเล่มนี้ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าพลังของอิ๋งปิงนั้นเหนือความคาดหมายของเขา หากฝืนรับไว้ แม้เขาจะเข้าขั้นขอบเขตปราณญาณเทพ ก็อาจได้รับาเ็
อากาศเงียบงันไปชั่วขณะ ชายชุดดำเลือกที่จะเบี่ยงตัวหลบในที่สุด
ในขณะเดียวกันนั้น อิ๋งปิงไม่ได้มองที่ชายชุดดำ แต่สบสายตากับหลี่โม่
“ะโเลย!”
หลี่โม่ดูเหมือนจะตระหนักได้ว่านางกำลังจะทำอะไร อิ๋งปิงรู้สึกว่าตนเองยิ่งไม่เข้าใจเด็กหนุ่มคนนี้ นี่คือหุบผาชิงเยวียนที่ลึกสุดหยั่ง ทำไมเขาถึงไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย? หรือเป็เพราะความเชื่อใจที่มีต่อนาง?
“ดี”
อิ๋งปิงไม่ใช่คนที่โลเล เมื่อหลี่โม่เห็นด้วย แม้นางจะไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายคิด แต่ก็จับมือไว้โดยไม่ลังเล ก้าวเท้าลงไปในอากาศ
สายลมหนาวพลันโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นในทันที ทุกสิ่งรอบกายพร่ามัวลงอย่างรวดเร็ว ทุกััเริ่มเลือนรางลง...
“พวกเ้า!!”
บนวังจันทรา ชายชุดดำพุ่งเข้ามา เสื้อคลุมสีดำของเขาฉีกขาดออก เขายืนมองลงไปอย่างเหม่อลอย เห็นร่างของเด็กหนุ่มและเด็กสาวที่จับมือกันหายลับไปในม่านหมอก
ในดวงตาของเขามีเพียงความไม่เชื่อเท่านั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้