ชากรกำลังนั่งอยู่ที่ห้องโดยสารตอนหน้าของรถกระบะ mazda1000 สีแดง ที่มีแม่เป็คนขับ พวกเขากำลังเดินทางไปหาเพื่อนร่วมอาชีพของแม่เพื่อขอคำแนะนำก่อนเริ่มทำงาน ที่จริงระยะทางจากบ้านพักกับบ้านที่เขาจะไปนี่ห่างกันไม่มาก ใช้เวลาปั่นจักรยานแค่ห้านาทีถึง แต่ตอนนี้ยังหาจักรยานไม่ได้ จะให้เดินมาก็ดูจะเป็เป้าสายตาชาวบ้านมากเกินไป จึงเลือกที่จะขับรถมาแทน
เมื่อจอดรถที่ริมถนนหน้าบ้านเป้าหมายแล้ว ทั้งสองก็ลงจากรถเดินตรงมาที่ประตูรั้ว และหยุดยืนอยู่ตรงนั้นอย่างลังเล ประตูรั้วเปิดทิ้งไว้ แต่ภายในบ้านเงียบมากเหมือนไม่มีคนอยู่
"ครูกานต์คะ อยู่บ้านไหมคะ" อรศรีะโเรียกอยู่หน้าประตูรั้วสองสามครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงขานรับใด ๆ กลับมา "แม่ว่าเราลองเดินเข้าไปเลยดีไหม เผื่อทำงานอยู่หลังบ้านแล้วไม่ได้ยิน" หันมาชวนลูกชายที่อยู่ข้าง ๆ
"จะดีเหรอแม่ อยู่บ้านกันรึเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวโดนหาว่าเป็ขโมยหรอก" ชากรแย้งอย่างไม่เห็นด้วย
"คนในชนบทส่วนมากเขาก็เดินเข้านอกออกใน ไปมาหาสู่กันเป็เื่ปกตินะ ถ้าประตูรั้วเปิดแสดงว่ามีคนอยู่ แม่ว่าเข้าไปเถอะ" ว่าแล้วก็ดึงแขนลูกชายให้เดินตามเข้ามาในบ้านด้วยกัน
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ตัวบ้านก็คล้ายจะได้ยินเสียงคน 2-3 คนกำลังทะเลาะกัน พร้อมกับมีเสียงหัวเราะชอบใจของเด็กผู้หญิงแทรกมาเป็ระยะ ชากรตะแคงหูเพื่อ้าฟังที่มาของเสียงนั้นให้ชัดขึ้น แล้วก็รู้สึกผิดปกติ มันไม่ใช่เสียงที่ทะเลาะกันแบบปกติ มันคล้ายอะไรนะ??... พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก
"อ๋อ...เสียงละครวิทยุ นึกว่ามีคนทะเลาะกันอยู่เสียอีก" อรศรีชี้ทางสว่างให้
อ่า…ละครวิทยุนี่เอง ถึงว่าน้ำเสียงที่ใช้ทะเลาะกันนี่รู้สึกเพราะกว่าปกติ
เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ใต้ถุนเรือน ก็เห็นเด็กหญิงผมสั้นแค่หู ใส่เสื้อผ้าฝ้ายแขนกุดและนุ่งผ้าถุงยาวถึงน่องคนหนึ่งกำลังนอนคว่ำอยู่บนแคร่ ยกมือเท้าคางฟังละครจากวิทยุที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างออกรส พร้อมเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเป็ระยะอย่างชอบใจ
"เอ่อ...ขอโทษนะจ๊ะหนู ไม่ทราบครูกานต์อยู่ไหม" อรศรีเอ่ยปากสอบถามเสียงนิ่ม
อนงค์กานต์ที่กำลังมีสมาธิกับละครที่อยู่ตรงหน้าถึงกับสะดุ้งสุดตัว หันขวับมามองด้านหลังพร้อมแววตาที่ตื่นตระหนก
"เอ๋...??" แม้จะยังไม่หายใ แต่ก็ยังพอมีความทรงจำหลงเหลืออยู่บ้าง เธอเคยเจอสองคนนี้แล้วที่ตลาดเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่ทำไมมาอยู่ที่นี่ หรือจะเป็คนไม่ดี สายตาเธอค่อย ๆ เผยถึงความหวาดระแวง เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งก่อนกระเถิบตัวถอยออกไปจนชิดขอบแคร่อีกด้านอย่างช้า ๆ พร้อมเหลือบตามองไปยังทิศด้านหลังของตน หากเกิดอะไรขึ้นเธอก็พร้อมที่จะวิ่งหนีไปทางนั้นเพื่อออกไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านได้ทันที
"หนูนี่เอง จำเราสองคนได้ไหมจ๊ะ ที่เจอกันที่ตลาดเมื่ออาทิตย์ก่อน" เมื่อเห็นท่าทีไม่ไว้ใจของเด็กหญิงที่มองมา อรศรีจึงรีบแนะนำตัวออกไป "ป้าเป็ครูคนใหม่ของโรงเรียนในหมู่บ้านนี้ ป้าชื่ออรศรี ส่วนนี่ลูกชายป้าชื่อเอก วันนี้ป้ามาหาครูกานต์น่ะจ้ะ ไม่ทราบครูกานต์อยู่ไหมหนู"
อนงค์กานต์นั่งนิ่ง จ้องตรงมาที่สองแม่ลูกตาเขม็ง และคิดตามคำบอกเล่าของหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าไปด้วย ในที่สุดก็ถอนหายออกอย่างโล่งอก ที่แท้ครูคนใหม่ที่พ่อกับแม่พูดถึงเมื่อวันก่อน จึงส่งยิ้มกว้างกลับไปให้ "อ๋อ...เป็คุณครูผู้หญิงคนใหม่ที่เพิ่งมาอยู่นี่เอง สวัสดีค่ะ" พร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ทักทายกลับไป "หนูจำได้แล้วเหมือนพ่อจะบอกว่านัดคุณครูไว้ที่บ้าน แต่ตอนนี้พ่อหนูไปตลาดยังไม่กลับมาเลยค่ะ"
"หนูเป็ลูกสาวครูกานต์เหรอจ๊ะ?"
อนงค์กานต์ผงกหัวรับ "ค่ะ หนูชื่อนิด เป็ลูกสาวของพ่อกานต์กับแม่อนงค์ คุณครูจะอยู่รอก่อนไหมคะ อีกเดี๋ยวพ่อน่าจะกลับมาแล้วค่ะ" นี่ก็เก้าโมงเช้าพอดี เสียงจากวิทยุได้เปลี่ยนจากละครเป็ข่าวต้นชั่วโมงเรียบร้อยแล้ว ปกติพ่อและแม่จะกลับจากตลาดประมาณ 09.15-09.30 น. ไม่เกินนี้
"เราสองคนจะรบกวนหนูรึเปล่าจ๊ะ" ถามออกไปอย่างเกรงใจ แต่จะให้มาใหม่อีกรอบก็รู้สึกเสียเวลากลับไปกลับมา
"ไม่ค่ะ หนูไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว คุณครูไปนั่งที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นมะขามดีกว่าค่ะ ตอนนี้อากาศดี" ว่าแล้วอนงค์กานต์ก็ก้าวลงจากแคร่และเดินนำสองแม่ลูกไปยังม้านั่งหินอ่อนที่ตั้งอยู่ข้างบ้าน
"อย่าเรียกว่าคุณครูเลย ป้าอายุมากกว่าพ่อเราหลายปี เรียกป้าว่าป้าอรดีกว่าจ้ะ ส่วนนี่ลูกชายป้า น่าจะอายุมากกว่าหนูนะ ขอโทษนะจ๊ะ ตอนนี้หนูอายุเท่าไรแล้ว"
"13 ปีแล้วค่ะ"
"งั้นเรียกเขาว่าพี่เอกนะ พี่เขาตอนนี้อายุ 14 ปีเต็มพอดี"
อนงค์กานต์มองตรงไปยัง พี่เอก ที่กำลังนั่งเท้าคางทำหน้าเรียบเฉยอยู่ตรงข้าม ทำไมถึงเป็คนขาวได้ขนาดนี้นะ พลางเหลือบมองสีผิวของตัวเองที่เข้มกว่าสองระดับอย่างท้อใจ แล้วรูปหน้าได้รูป ตาเรียวเข้ม จมูกโด่ง ปากสีแดงสดนั่นอีก ขนาดอายุแค่ 14 ปีเองนะ ถ้าโตมากกว่านี้นี่พระเอกเกาหลียังชิดซ้ายเลย เอ๊ะ!! ไม่ได้สิอนงค์กานต์ เธอจะมาชมโฉมใครไม่ได้ทั้งนั้น! ท่องไว้!! เธอคือเศรษฐีนีสาวโสดที่รวยมากในอนาคต!!! พลางยกมือขึ้นตบแก้มตัวเองเบา ๆ เพื่อเรียกสติอย่างลืมตัว ภายใต้สายตาที่มองมาอย่างงุนงงของสองแม่ลูก
"หนูนิดเป็อะไรรึเปล่าจ๊ะ”
"ไม่มีอะไรค่ะ ฮ่าฮ่า... เดี๋ยวหนูเอาน้ำมาให้นะคะ” ว่าแล้วก็วิ่งผ้าถุงปลิวไปที่ห้องครัวในทันใด
ประกายขบขันจุดขึ้นที่ดวงตาของเด็กหนุ่ม พร้อมมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้คิดอะไรอยู่ถึงได้ทำท่าแปลก ๆ แบบนั้น แล้วดูท่าวิ่งจี๋ไปนั่นสิ ไม่กลัวผ้าถุงจะหลุดบ้างหรือไง?
เมื่อเห็นเด็กหญิงเดินถือถาดใส่เหยือกน้ำและแก้วออกมาจากครัว ชากรก็รีบลุกขึ้นไปช่วยถือ “โดนพี่ชนคราวที่แล้วหายดีรึยัง” เขาเอ่ยปากขึ้นเป็ครั้งแรกนับจากเดินเข้าบ้านมา
"ไม่เป็ไรแล้วค่ะ หายเจ็บแล้ว” แต่ยังมีรอยช้ำสีดำที่ก้นอยู่ แล้วใครจะกล้าบอกล่ะเื่นี้
"นั่นสิ ป้าก็ลืมถามไปเลย เจ็บอยู่หลายวันไหมจ๊ะ”
"ทายาแก้ขัดยอกไม่กี่วันก็หายแล้วค่ะ ไม่มีแผลเลยหายไว”
เมื่อตอบคำถามสัพเพเหระอยู่ชั่วครู่ อนงค์กานต์ก็รู้สึกว่าหมดเื่คุยอย่างกะทันหัน เริ่มกระสับกระส่ายนั่งไปติด ตาคอยแต่จะมองไปที่รั้วบ้านอยู่ตลอด นี่สินะที่คนปัจจุบันเรียก dead air ตอนนี้เธอเพิ่งอายุแค่สิบสามปี แล้วพื้นนิสัยไม่ใช่คนชอบพูดชอบคุยอยู่แล้ว สมองที่มีอยู่เพียงนิดจึงคิดไม่ออกว่าจะคุยอะไรต่อ ขณะที่มือเริ่มมีเหงื่อเหนียวมาเกาะ เธอก็ได้ยินเสียง์ เธอหันไปฉีกยิ้มให้กับประตูรั้วด้วยความยินดีอย่างปิดไม่มิด ไม่มีครั้งไหนที่เธอจะรู้สึกดีใจที่พ่อและแม่กลับมาถึงบ้านเท่าครั้งนี้มาก่อน พลางลุกวิ่งออกไปรอรับด้วยความยินดี
"พรืดดด...” ชากรกลั้นขำไม่ไหวอีกต่อไป น้ำที่กำลังดื่มอยู่พุ่งออกจากปากหมดไม่มีเหลือ เขานั่งมองเด็กหญิงที่พยายามหาเื่มาคุยอยู่ครู่ใหญ่แล้ว แล้วใบหน้าตอนที่นึกเื่คุยไม่ออกนี่มันน่าขันเป็อย่างมาก
"ตาเอก เดี๋ยวเถอะ.สำรวมหน่อย ไม่ใช่บ้านเรานะ” อรศรีกระซิบปรามเสียงเบา ขณะที่มีรอยยิ้มขันปิดไม่มิดเผยออกจากปาก เธอก็เห็นท่าทางตลกที่เด็กหญิงแสดงออกเมื่อกี้เหมือนกัน ทั้งตลกและน่าสงสารที่เห็นเด็กน้อยอายุแค่สิบสามปีกำลังพยายามทำหน้าที่เ้าบ้านอย่างสุดความสามารถแบบนี้ เป็เด็กที่นิสัยน่ารักดีจริง
