อาหยวนส่งอากางไปเรียกตาเฒ่าติงกลับมา
คิดว่าเป็ตาเฒ่าติงได้บอกกล่าวและถ่ายทอดงานไว้แต่เช้าตรู่
ตาเฒ่าติงอายุห้าสิบปีโดยประมาณ ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยเศษฝุ่นความสกปรกและจอนผมสีดอกเลา หน้าตาเด็ดเดี่ยวท่าทางเคร่งขรึม
มีความรู้สึกน่าเกรงขามอย่างสำรวมกิริยา
รูปร่างระดับกลาง สุขภาพร่างกายแข็งแรง ที่ทำให้คนประทับใจที่สุดคือดวงตาของเขาแหลมคมแวววาว
เสียงของเขาใจเย็นมีพลัง พูดคุยกะทัดรัดตอบไม่มากคำ
เขาแสดงการขอบคุณอย่างสุดซึ้งต่อหูฉางกุ้ย น้ำเสียงมั่นคงไม่เย่อหยิ่งและไม่ดูต่ำต้อย
ทั้งไม่ได้กระตือรือร้นทั้งไม่ได้ประจบเอาใจ ใบหน้าที่ผ่านโลกมาโชกโชนมีความเ็ามองทะลุปรุโปร่ง
มีเพียงเด็กอายุน้อยด้านข้างะโเรียกเขา บนใบหน้าของเขาถึงจะปรากฏรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
ตาเฒ่าติงผู้นี้คิดๆ ไปแล้วดูเป็คนที่มีเื่ราว
เขาสนทนากับพ่อลูกสกุลหูไม่มาก ด้วยการเตือนของอาหยวนจึงไปดูที่ห้องเลี้ยงกระต่ายหนึ่งรอบ
หลังออกมาจากการดูกระต่ายเสร็จ สีหน้าของตาเฒ่าติงอ่อนโยนขึ้น
“นายท่านหู ขอบคุณพวกท่านมาก ไม่เพียงสอนวิธีเลี้ยงกระต่ายให้พวกเด็กๆ แต่ยังแบ่งพันธุ์กระต่ายให้อย่างใจกว้างอีกด้วย เป็บุญคุณอันยิ่งใหญ่นัก ผู้น้อยติงมิอาจลืมได้ชั่วชีวิต” กล่าวจบน้อมกายคำนับให้หูฉางกุ้ย
หูฉางกุ้ยถูกเรียกว่านายท่าน ใจนถอยหลังติดกันสองก้าว “ไม่ ไม่ต้องเกรงใจ นี่ล้วนเป็ความคิดของบุตรสาวข้า”
เจินจูชำเลืองมองบิดาของนางแวบหนึ่ง ชิ... ปัดเื่ราวทุกอย่างมาอยู่ที่นางเสียหมด
นางจำได้ว่าตอนนางเสนอให้นำพันธุ์กระต่ายไม่กี่ตัวส่งไปให้วัดเฉิงหวง บิดาสกุลหูของนางยกมือเห็นด้วยสองข้าง
“คุณหนูหูจิตใจประเสริฐ” ตาเฒ่าติงสีหน้าเรียบเฉย คิดว่านี่เป็คำที่หูฉางกุ้ยบอกเลี่ยงไป
เจินจูเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ตอบ เพียงพยักหน้ายิ้ม
เดิมทีที่ได้ฟังมารดาของอาหยุนกล่าวถึงผู้เฒ่าติง รู้สึกว่าคนผู้นี้น่าจะเป็ผู้ทรงความรู้ที่มีจิตใจกล้าหาญและรักความยุติธรรม ด้วยจิตใจมีเมตตากระตือรือร้นชอบช่วยเหลือคน แต่พอได้ััได้ค้นพบ ราวกับจะไม่ใช่เช่นนั้น
หลังจากผู้เฒ่าติงหมุนตัวไปทักทายสองศิษย์อาจารย์ฟางเสิงและอาชิงด้วยการคุยกันถึงเื่ในอดีตสองสามประโยคแล้ว จึงเร่งรีบอำลาทุกคนแล้วจากไป
อากางกล่าวว่าหัวหน้างานให้ผู้เฒ่าติงพักได้ครึ่งชั่วยามเท่านั้น
ผู้เฒ่าติงพาเด็กชายอายุค่อนข้างมากสองคนไปทำงานหนักอย่างการแบกหามอยู่กับพ่อค้านายหน้า
...ผ่านยามอู่ไป ที่บ้านยังมีงานต้องยุ่งอยู่อีกหนึ่งกองใหญ่
หูฉางกุ้ยร้อนใจอยู่บ้าง จึงกระตุกแขนเสื้อเจินจู
เจินจูจัดการความคิดตัวเองเล็กน้อย แล้วเดินไปทานซิ่วฉายหยาง
ความคิดในการสร้างโรงเรียนของเจินจูง่ายดายมาก คนยุคปัจจุบันที่เคยได้รับการศึกษาภาคบังคับ ย่อมรู้สึกลึกซึ้งถึงความสำคัญของการศึกษาอย่างแน่นอน ความสามารถของนางมีจำกัด แต่การจัดตั้งโรงเรียนเล็กๆ ให้เด็กในหมู่บ้านได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายยังพอทำได้
แต่นางไม่อยากให้อาจารย์สอนหนังสือเด็กๆ เพียงซื่อชูอู่จิง [1] หรือค้นคว้าเฉพาะปากู่เหวินจาง [2] อย่างเดียว อย่างไรเสียจุดประสงค์ในท้ายที่สุดของการเปิดหลักสูตรโรงเรียน เพื่อเป็การทำให้เด็กๆ สามารถเล่าเรียนหนังสือรู้ตัวอักษรและเข้าใจมารยาทรู้แจ้งในความละอายต่อการกระทำความชั่ว
ดังนั้น นางหวังว่าอาจารย์สอนหนังสือจะสามารถยืดหยุ่นมีความคิดก้าวหน้าได้ สอนตามความสามารถของผู้เรียน ไม่ใช่ปฏิบัติตามระบบเก่าหัวโบราณทื่อๆ
ซิ่วฉายหยางมองแม่นางน้อยตรงหน้าด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ความหมายของนางคือไม่เอาตามรูปแบบการเรียนการสอนแบบเก่า? ไม่เรียนซื่อชูอู่จิง เช่นนั้นควรสอนอย่างไร?
เขาอดถามออกเสียงขึ้นมาไม่ได้
“ไม่ใช่ ความหมายของข้าคือ เด็กที่มีพร์ในการเล่าเรียนสามารถปลูกฝังไปสู่การสอบเคอจวี่ได้ ส่วนผู้ที่ไม่มีความชำนาญในการเล่าเรียนก็สามารถเน้นหนักให้ความสำคัญอีกด้านหนึ่งได้ เช่น เรียนคำนวณได้ดี ต่อไปสามารถเป็ผู้นั่งทำบัญชีจัดการรายรับรายจ่ายได้ หากเรียนการต่อสู้ได้ดี ต่อไปสามารถเป็คนเฝ้าอารักขาประตูลานบ้านได้ สรุปแล้วไม่สามารถใช้มาตรฐานเดียวกันกับเด็กทั้งหมด” เจินจูไม่คุ้นชินกับการศึกษาเล่าเรียนของยุคสมัยนี้ แต่อิงตามความคิดของยุคปัจจุบัน อยากให้พวกเด็กๆ มีคุณธรรมความรู้และร่างกายพัฒนาให้ดีขึ้นในทุกด้าน และไม่สอนปัญญาชนที่เคร่งในกฎเกณฑ์และคร่ำครึหัวโบราณหนึ่งกองออกมา
“…คุณหนูกล่าวเช่นนี้ ผู้น้อยเข้าใจ ความสามารถในการเล่าเรียนก็มีความแตกต่างกันไปแต่ละตัวบุคคล โรงเรียนส่วนตัวเดิมของผู้น้อย หลายปีมานี้ก็มีเพียงปัญญาชนที่สอบชิงตำแหน่งซิ่วฉายสองคน แต่สอบผ่านได้เป็ซิ่วฉายแค่หนึ่งคนที่ออกมาจากที่นั่น ด้วยเหตุนี้ ผู้น้อยเข้าใจความหมายลึกซึ้งของคุณหนูดี” ซิ่วฉายหยางทอดถอนใจ เขาเข้าใจอย่างมาก หากครอบครัวทั่วไปต้องเลี้ยงดูนักเรียนที่เล่าเรียนหนึ่งคนระยะยาว ต้องเสียค่าใช้จ่ายทรัพย์สินเงินทองเป็จำนวนมาก ผลสุดท้ายที่ได้กลับไม่เป็ที่น่าพอใจ เรียนรู้มาสิบปีแม้แต่ปัญญาชนสอบชิงตำแหน่งซิ่วฉายล้วนสอบไม่ได้ก็มีอยู่มากมาย
เจินจูเลิกคิ้ว หากกล่าวเช่นนี้ซิ่วฉายหยางก็ไม่ใช่คนที่ไม่เปิดกว้างเหมือนที่คิดไว้
“คุณหนูวางใจ ผู้น้อยไม่ใช่ชายแก่ดื้อดึงที่ไม่รู้จักพลิกแพลงเช่นนั้น ขอเพียงมีประโยชน์กับผู้เรียน ปัญหาบทเรียนของโรงเรียนล้วนหารือกันได้” ซิ่วฉายหยางเห็นคุณหนูสกุลหูคิดเพื่อนักเรียนด้วยความจริงใจ จึงมีความประทับใจต่อสกุลหูขึ้นมาสองถึงสามส่วนทันที
ความรู้สึกลังเลที่เดิมทีมีอยู่เล็กน้อย ทันใดนั้นก็มั่นคงขึ้นมาฉับพลัน
การสอบฝูซื่อของซิ่วฉายหยางพบกับอุปสรรค ภรรยาเจ็บป่วยร่างกายอ่อนแอ ทรัพย์สินเงินทองมลายสิ้น ทำให้เขาหดหู่สิ้นหวังไม่มีกะจิตกะใจไปพักหนึ่ง หากไม่ใช่ภรรยางดงามบอบบางน่าทะนุถนอมและมีบุตรสาวที่ยังจำเป็ต้องให้เขาดูแล เกรงว่าเขาที่ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก คงซึมเซาหมดอาลัยตายอยากไปนานแล้ว
เป็อาจารย์สอนหนังสือก็หมายความว่าเวลาส่วนใหญ่ล้วนสิ้นเปลืองไปกับการสอนอยู่ในห้องเรียน หากอยากรับการสอบเคอจวี่ขึ้นไปสู่อีกขั้นเกรงว่าความเป็ไปได้คงมีน้อยแล้ว
แม้ซิ่วฉายหยางไม่ยินดี แต่ภรรยาที่ร่างกายป่วยอ่อนแอและบุตรสาวที่ยังเล็ก พวกนางจะมาร่วมทรมานลำบากกับเขาได้อย่างไร
คิดไปใคร่มา หากสามารถไปเป็อาจารย์สอนหนังสือที่บ้านสกุลหูได้ นับเป็สถานที่ที่ดีที่สุดขณะนี้แล้ว
...สภาพอากาศในตอนบ่ายครึ้มฝนเล็กน้อย ท้องฟ้าขมุกขมัวไกลออกไป เป็สิ่งเตือนก่อนถึง่อากาศเปลี่ยนแปลง
เกวียนล่อของหูฉางกุ้ยเร่งอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
เสียงเกือกเท้า “กับๆๆ” ไปข้างหน้าโคลงเคลงขึ้นลงตลอดทาง
ครอบครัวซิ่วฉายหยางไม่ได้เดินทางมาด้วยกัน
พวกเขายังมีเื่ที่ต้องจัดการไม่น้อย จึงนัดหมายกันว่าห้าวันหลังจากนี้ พวกเขาทั้งครอบครัวจะโดยสารรถม้ามุ่งหน้าไปหมู่บ้านวั้งหลินด้วยตัวเอง
เจินจูให้หูฉางกุ้ยมอบเงินมัดจำสองเหลียง ถือว่าเป็การจ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้าสองเดือน
ซิ่วฉายหยางซาบซึ้งในบุญคุณเป็อย่างยิ่ง แม้เขาจะตั้งแผงเขียนจดหมายและรับทำงานคัดลอกหนังสือข้างทางไปด้วยมาโดยตลอด แต่สุขภาพของคู่สามีภรรยาล้วนไม่ค่อยดีนัก มักป่วยและซื้อยาตามใบสั่งอยู่ตลอด รวมกับบุตรสาวที่ยังเล็ก เป็ไข้ลมหนาวอยู่เป็ระยะๆ วันคืนเหล่านี้ ไม่เพียงรวบรวมเงินไม่ได้ แต่ยังเป็หนี้ผู้เฒ่าติงหลายร้อยเหวินอีกด้วย
เขาอาศัยอยู่วัดเฉิงหวงมาหลายเดือน ผู้ใหญ่และเด็กในวัดดูแลครอบครัวพวกเขาไม่น้อย ทว่าครอบครัวพวกเขาไม่สามารถแบ่งเบาภาระเล็กๆ น้อยๆ ได้เลย แล้วยังเพิ่มความลำบากให้กับผู้เฒ่าติงไม่น้อยด้วยซ้ำไป เขาจะไม่ละอายได้อย่างไร
มีเงินมัดจำสองเหลียง จึงนำเงินไปใช้หนี้คืนให้ตาเฒ่าติง แล้วซื้อข้าวกับธัญพืชเพิ่มเติมเล็กน้อยให้ในวัด เขาจึงสามารถเดินทางไปหมู่บ้านวั้งหลินเป็อาจารย์สอนหนังสืออย่างสบายใจได้
รอซิ่วฉายหยางเร่งงานคัดหนังสือที่ทำค้างอยู่จนเสร็จ ทุกคนจึงบอกลากันด้วยความอาลัยอาวรณ์ที่จะจากกันไป
ครอบครัวซิ่วฉายหยางจ้างรถม้าโดยสารมุ่งหน้าไปหมู่บ้านวั้งหลินที่ไม่รู้จัก
ผู้ที่ขับรถม้าเป็ชายชรามีหนวดเคราสีดอกเลา ซึ่งมีความชำนาญในการเร่งเกวียนผู้หนึ่ง ตลอดทั้งปีขับเคลื่อนอยู่ละแวกเมืองที่เป็เขตอำเภอ สำหรับหมู่บ้านวั้งหลินมีติดอยู่ในความทรงจำบ้างเล็กน้อย
“นั่นเป็หมู่บ้านเล็กๆ ที่โอบล้อมด้วยูเาทั้งสามด้าน นาดอนมากและนาลุ่มน้อย ความร่ำรวยมั่งคั่งเทียบไม่ได้กับหมู่บ้านอื่น แม้อยู่ใกล้ป่าเขาแต่เป็นายพรานกันน้อยมาก เทือกเขาไท่หางนั่นต้นไม้เก่าแก่โบราณเขียวชอุ่มสูงชะลูด เป็ป่าผืนใหญ่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตามีพุ่มหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ชาวบ้านคนธรรมดาไม่กล้าขึ้นูเา” ชายชราที่ชำนาญในการขับเกวียน เขาเร่งเกวียนไปด้วยคุยเล่นไปด้วย “ซิ่วฉายหยาง ครอบครัวพวกท่านไปที่นั่นทำอะไรกันหรือ?”
ชายชราผู้นี้รู้จักกับซิ่วฉายหยาง เขามักไปมาอยู่บนถนนของเมืองในเขตอำเภอบ่อยๆ สำหรับพ่อค้าเร่แผงลอยริมถนนหลากหลาย จากชนชั้นล่างสุดมากน้อยอย่างไรก็พอรู้จักอยู่บ้าง
“มีสหายเก่าอยู่หมู่บ้านวั้งหลิน ผู้น้อยจะมุ่งหน้าไปเยี่ยมเยือน” ซิ่วฉายหยางกล่าวคลุมเครือ โรงเรียนของสกุลหูยังไม่ได้สร้างเสร็จอย่างเป็ทางการ เขากล่าวเปิดเผยออกมาคงไม่ค่อยดีนัก
ไปเยี่ยมเยียนสหาย? ชายชราที่เร่งเกวียนมองสิ่งของสัมภาระเต็มเกวียนแวบหนึ่ง
แก้มซิ่วฉายหยางร้อนเล็กน้อย ฟางเสิงอยู่บ้านสกุลหู เขาจึงไปเยี่ยมเยียนอย่างจริงแท้แน่นอน
สั่นะเือยู่บนรถม้าชั่วยามกว่าๆ ปากทางเข้าหมู่บ้านวั้งหลินเห็นอยู่ไกลลิบๆ
ชายชราผู้ขับเกวียนเร่งเกวียนอยู่บนถนนดินและหินก้อนเล็กก้อนน้อย มุ่งไปปากทางเข้าหมู่บ้าน
เงากายผอมบางคนหนึ่งกวักมือมาทางพวกเขาทันทีทันใด
“ท่านพ่อ เป็พี่อาชิงเ้าค่ะ!” แม่นางน้อยโบกมือโต้กลับเงากายนั้นอย่างตื่นเต้น
ซิ่วฉายหยางรีบประคองบุตรสาวไว้ รถม้าสั่นะเื หากไม่ระวังเพียงนิดแล้วตกลงไปนั่นไม่ใช่เื่ล้อเล่นเลย
“อาหยุน ในที่สุดพวกเ้าก็มาเสียที ข้าล้วนรออยู่นานแล้ว” อาชิงวิ่งไปข้างหน้าใบหน้ายิ้มแย้ม
ชายชราขับเกวียนดึงเกวียนม้าหยุดลง “เ้าหนู สัมภาระของซิ่วฉายหยางไม่น้อยเลย ถนนลูกรังทางเข้าบ้านเรียบโล่งหรือไม่?”
“เรียบโล่งมากขอรับ ถนนอิฐสีฟ้าที่สร้างใหม่ของสกุลหู ผิวถนนเรียบและกว้างขวาง ไม่สั่นะเืแม้แต่น้อย” อาชิงวิ่งหายวับชี้ไปบนถนนข้างหน้า
รถม้าค่อยๆ ควบไปทางข้างหน้า พอเลี้ยวผ่านปากทางแยกก็พบถนนอิฐสีฟ้าหนึ่งเส้นตรงดิ่งราบเรียบะโเข้าม่านตา [3]
มีดินและเศษหินที่กองสุมอยู่สองข้างทางถนนไม่น้อย ยังไม่ทันได้โกยออกไป
เป็ถนนที่สร้างใหม่จริงๆ ด้วย!
ชายชราขับเกวียนมองถนนอิฐสีฟ้าราบเรียบอย่างอุทานด้วยความตะลึง สามารถสร้างพื้นผิวถนนอิฐสีฟ้าหนึ่งเส้นเข้าบ้านอย่างยิ่งใหญ่เพียงนี้ได้ ไม่ใช่การก่อสร้างที่คนทั่วไปจะสร้างขึ้นได้เลย
รถม้าขึ้นไปบนถนนอิฐสีฟ้า ไม่โคลงเคลงแม้แต่น้อยจริงด้วย
“ท่านแม่ ถนนนี้สร้างได้ดีมากจริงๆ ไม่โยกไปโยกมาเลยสักนิดเ้าค่ะ” มารดาของอาหยุนถูกรถม้าโคลงเคลงมาครึ่งวัน สีหน้าซีดขาวมีความผะอืดผะอมอยู่นานแล้ว อาหยุนตบแผ่นหลังของมารดาเบาๆ ปลอบโยนนางอย่างอ่อนโยน
มารดาของอาหยุนผ่อนคลายความรู้สึกอยากอาเจียนที่ตีมวนอยู่ในท้อง ฝืนใจยิ้มไปทางบุตรสาว
ซิ่วฉายหยางมองนางด้วยความทุกข์ใจ “อดทนอีกหน่อย รถม้าจะถึงแล้ว”
“ตรงนี้! ตรงนี้!” อาชิงโบกมืออย่างแรงอยู่หน้าบ้านพักที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่หลังหนึ่ง
รถม้าค่อยๆ หยุดอยู่หน้าบ้านพักเป็การชั่วคราว
“เมื่อวานตรงนี้เพิ่งสร้างเสร็จ พอคนในหมู่บ้านรู้ว่าพวกท่านจะมาถึงกันวันนี้ เพราะอย่างนั้นก่อนหน้าไม่กี่วันจึงเร่งก่อสร้างทางด้านนี้อยู่ตลอด เมื่อวานเลยเพิ่งสร้างเสร็จ วันนี้พวกท่านก็สามารถเข้าไปอยู่ได้แล้ว” อาชิงยิ้มแล้วดันประตูใหญ่ห้องโถงกลางเปิดออก
โต๊ะทานข้าวทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสใหม่เอี่ยมหนึ่งชุดจัดวางอยู่ในนั้น
สองฝั่งของห้องโถงเชื่อมไว้ด้วยห้องด้านละหนึ่งห้อง ในแต่ละห้องจัดวางเตียงไม้ที่ทำขึ้นใหม่ไว้หนึ่งหลัง ตู้เสื้อผ้าไม้เคลือบหนึ่งตู้มีความสูงกว่าคน ม้านั่งและโต๊ะอ่านหนังสือไม้หวงหยาง [4] หนึ่งชุด
“หัวหน้าคุมงานหลิ่วกล่าวไว้ บ้านเร่งทำขึ้นอย่างรีบร้อน รอเข้าฤดูใบไม้ร่วงจะช่วยก่อเตียงอิฐในห้องให้เรียบร้อยขอรับ” ชัยภูมิของหมู่บ้านวั้งหลินค่อนมาทางเหนือ ฤดูหนาวหนาวเหน็บ ครอบครัวซิ่วฉายหยางร่างกายค่อนข้างผ่ายผอมและอ่อนแอ ไม่มีเตียงอิฐคอยให้ความอบอุ่น คงข้ามผ่านหน้าหนาวไปไม่ไหว
ชายชราขับเกวียนช่วยยกสัมภาระบนเกวียนเข้าไปในบ้าน “ซิ่วฉายหยางนี่เป็บ้านที่สร้างขึ้นใหม่ เป็การเตรียมไว้ให้พวกท่านโดยเฉพาะเช่นนั้นหรือ? สหายเก่าท่านใจกว้างมากพอจริงๆ ดูบ้านสิ กว้างขวางมากเลย!”
อาหยุนถือห่อผ้าใบเล็กของตนเองอย่างน่าเอ็นดู ตามอยู่ข้างหลังซิ่วฉายหยาง
“อาหยุน เ้ามานี่ นี่เป็ห้องของเ้า”
อาชิงจูงนางวิ่งมาอีกทางหนึ่ง
ในห้องฝั่งตรงข้ามมีเตียง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะหนังสือ มีทุกอย่างครบครัน
ซิ่วฉายหยางกับภรรยาได้แต่มองดูกันไปมา พวกเขาคิดไม่ถึงว่าสกุลหูจะร่ำรวยไม่ธรรมดาปานนี้ ถึงขนาดสร้างบ้านพักใหม่ให้พวกเขาทั้งครอบครัวอยู่อาศัยเลยทีเดียว
เมื่อเขาย้ายสัมภาระเข้าในบ้านหมดแล้ว ซิ่วฉายหยางจึงจ่ายเงินค่าเกวียน ส่งชายชราขับเกวียนที่จุ๊ปากชมเปาะอย่างเจื้อยแจ้วจากไป
“อาชิง เ้ากับอาจารย์ฟางพักอยู่ที่ไหนกัน?” มารดาของอาหยุนนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหม่เอี่ยมในห้องโถง มีความรู้สึกว่าตนเองกำลังอยู่ในภาพแห่งความฝัน เมื่อคืนยังนอนอยู่บนเตียงไม้กระดานล้อมไว้ด้วยม่านชำรุดในวัดเฉิงหวงที่ทั้งเก่าทั้งชำรุดอยู่เลย วันนี้กลับเข้ามาอยู่ในบ้านที่สร้างใหม่และกว้างขวางเสียแล้ว
“อยู่ด้านข้าง เป็บ้านใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จเช่นกัน เหมือนกับบ้านของพวกท่านเลย ข้ากับอาจารย์ย้ายเข้าไปเมื่อวันก่อนเองขอรับ” อาชิงชี้ไปข้างบ้านด้วยความตื่นเต้นดีใจ บ้านใหม่นั้นมีหนึ่งห้องของตัวเอง สองวันนี้เขาตื่นเต้นสุดขีดจนนอนไม่หลับเลยทีเดียว
“อาชิง เป็อาจารย์สอนหนังสือมาแล้วหรือ?” เสียงผู้ชายไม่คุ้นเคยดังขึ้นนอกประตู
เชิงอรรถ
[1] ซื่อชูอู่จิง (四书五经) หรือจตุรปกรณ์กับเบญจคัมภีร์ คือหนังสือทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าที่เป็แิของปรัชญาขงจื่อ หนังสือทั้งสี่ (四书) ได้แก่ หลุนอวี่ (论语) เมิ่งจึ (孟子) ต้าเสวี่ย (大学) จงยง (中庸) คัมภีร์ทั้งห้า (五经) ได้แก่ ซือจิง (诗经) ซ่างซู (尚书) หลี่จี้ (礼记) โจวยี่ (周易) ชุนชิว (春秋) โดยเป็ตำราเรียนที่สำคัญของสำนักขงจื่อ ผู้เล่าเรียนและเข้าสอบไม่มีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์หรือแสดงความเห็นต่างอย่างเด็ดขาด ซึ่งภายหลังถูกวิจารณ์ว่าเป็การจำกัดการใช้สติปัญญาของผู้เข้าสอบจอหงวนหรือผู้เข้ารับตำแหน่งราชการ
[2] ปากู่เหวินจาง (八股文章) คือ ความเรียงแปดขา เป็รูปแบบการเขียนตอบข้อสอบในการสอบเข้ารับราชการ หรือเคอจวี่ในสมัยโบราณ โดยปากู่เหวินจางจะเขียนตอบข้อสอบที่แบ่งออกเป็ตอนจำนวนแปดตอน กำหนดตัวอักษรไม่เกิน 800 คำ ซึ่งคำตอบสามารถอ้างอิงจากซื่อชูอู่จิง ข้อสอบปากู่เหวินจางเริ่มใช้อย่างจริงจังในรัชศกเฉิงฮว่า (成化) ปีที่ 23 โดยตรงกับ ค.ศ. 1487 ในรัชสมัยของจักรพรรดิิเซี่ยนจง (明宪宗) แห่งราชวงศ์ิ และยกเลิกไปในรัชศกกวางซวี่ (光绪) ปีที่ 28 ตรงกับ ค.ศ. 1902 รัชสมัยของจักรพรรดิกวางซวี่แห่งราชวงศ์ชิง
[3] ะโเข้าม่านตา หมายถึง สิ่งที่มองเห็นหรือสะท้อนเข้าม่านตาอย่างกะทันหันโดยไม่มีสิ่งกีดขวางกั้น
[4] ไม้หวงหยาง (黄杨木) หวงหยาง หรือ Buxus เป็พุ่มไม้ประดับขนาดเล็ก ไม่นิยมนำมาทำเฟอร์นิเจอร์ แต่มักนำงานแกะสลักฝังเข้าไปหรือติดตกแต่ง มีความทนทานอย่างมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้