แต่รออยู่พักใหญ่ ฝนก็ไม่ซาลงเสียที ตรงข้ามกลับยิ่งหนักขึ้นจนแม้เพียงก้าวเล็กๆ ก็ยังเดินยาก แต่เวลานี้เขาเห็นิเป่าจูถือใบปาเจียว [1] อยู่ไกลๆ มองซ้ายมองขวา วิ่งสะเปะสะปะอยู่ท่ามกลางสายฝนพรำ
หัวใจพลันสะดุดไปหนึ่งจังหวะเหมือนถูกอะไรบางอย่างเข้ามากระทบ ทว่ายังมิทันใคร่ครวญ ิเป่าจูก็มาถึงเบื้องหน้าไม่ไกลแล้ว
ชุดของนางเปียกปอนเป็ส่วนใหญ่ มีเพียงศีรษะเท่านั้นที่ยังคงแห้งอยู่ เสื้อผ้าฤดูร้อนบางๆ ที่ปกติจะไม่เห็นอะไร เปียกน้ำจนกลายเป็โปร่งใสแนบลู่ไปบนเรือนร่างผอมบาง
หน้าอกที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มที่กลับเห็นส่วนนูนขึ้นมาอย่างชัดเจน ทำให้หลี่ไหวฺอวี้ต้องเบือนสายตาไปทางอื่นอย่างผิดธรรมชาติ
ในที่สุดก็พบคนเสียที ิเป่าจูยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็เห็นอีกฝ่ายสะบัดหน้าไปด้านข้าง นึกว่าเขายังโกรธอยู่ แต่เมื่อเห็นใบหูของเขาแดงก่ำถึงสังเกตเห็นความผิดปกติ
ทันทีที่ก้มมองตนเอง พวงแก้มของิเป่าจูก็ร้อนผ่าวเปลี่ยนเป็สีแดง
นางค่อยๆ ลดมือที่ถือใบปาเจียวข้างหนึ่งลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนใช้ท้องแขนขึ้นมาวางพาดบดบังหน้าอกไว้ แต่กลับได้ยินน้ำเสียงไม่เค็มไม่จืด [2] แว่วมาจากเหนือศีรษะคำหนึ่ง
“แห้งเหี่ยวเช่นนี้ จะปิดหรือไม่ก็เหมือนกันนั่นแหละ”
เมื่อถึงจุดหนึ่งหลี่ไหวฺอวี้ก็หันกลับมาจดจ้องิเป่าจูโดยตรง แต่สายตากลับเพ่งแต่ใบหน้า ไม่เลื่อนไปส่วนอื่นแม้แต่หนึ่งชุ่น
ิเป่าจูนึกในใจ ไฉนคนผู้นี้ช่างปากร้ายไม่ปรานีคนถึงเพียงนี้ นางอุตส่าห์หวังดีออกมารับ มิได้รับคำขอบคุณไม่ว่า ยังถูกถากถางเื่รูปร่าง
นางอยากจะหันหลังกลับและจากไปทันที ปล่อยให้เขาแข็งตายอยู่ข้างนอก แต่นึกดูแล้วก็หักใจไม่ลง
ในเมื่อปิดหรือไม่ปิดก็ไม่ต่างกัน นางจึงเลิกปกปิดให้รู้แล้วรู้รอด เอื้อมมือไปคว้าแขนของหลี่ไหวฺอวี้ให้เข้ามาใกล้อีกหน่อยแล้วยกเท้าเดินกลับบ้าน
ระหว่างทาง...
มือของิเป่าจูลอบออกแรงหยิกอย่างลับๆ
“โอย เจ็บ! เ้าทำเช่นนี้ระวังจะแต่งงานไม่ออก” หลี่ไหวฺอวี้อ้าปากร้องะโด้วยความเ็ป
“ยายแม่เสือ”
ิเป่าจูยิ่งออกแรงหนักขึ้น
“แรงเยอะอย่างกับวัว...”
หลี่ไหวฺอวี้ยังคงพยายามทำลายความมั่นใจของิเป่าจูอย่างต่อเนื่องมาตลอดทาง ทุกครั้งที่เขาพูดหนึ่งคำ แรงบิดที่แขนก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน แม้จะเจ็บ แต่ความขุ่นเคืองในใจตอนที่ออกมากลับหายวับไปอย่างน่าอัศจรรย์
ตอนแรกิเป่าจูยังถือใบปาเจียวคนเดียวอย่างยากเย็น แต่ต่อมาหลี่ไหวฺอวี้ย่อมจะช่วยจับอีกด้าน ค่อยสบายขึ้น
โชคดีที่ใบปาเจียวมีขนาดใหญ่เพียงพอ แม้ทั้งสองจะใกล้ชิดกัน ก็ไม่ถึงขั้นทุลักทุเลเกินไปนัก
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ิเป่าจูก็เข้าครัวต้มน้ำขิงร้อนๆ ให้หลี่ไหวฺอวี้กับิเป่าอวี้ดื่มคนละถ้วย แล้วค่อยยกถ้วยของตนเองขึ้นมาดื่ม
แต่ใครจะรู้ ผ่านไปเพียงไม่นาน หลี่ไหวฺอวี้ก็ตัวร้อนไข้ขึ้น เขาคุ้นเคยกับแพรพรรณชั้นเลิศและอาหารดีๆ มาั้แ่เด็ก มีชีวิตสูงศักดิ์ดั่งกิ่งทองใบไม้หยก สุดท้ายจึงยังล้มป่วยอยู่ดี
ยามวิกาล
ิเป่าอวี้ะโเรียกจากห้องทางตะวันตก “พี่หญิง ท่านรีบมาเร็วเข้า”
เสียงนั้นฉายแววลนลานหวั่นวิตกยิ่ง ิเป่าจูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รีบนำเสื้อผ้าเปียกชื้นที่เพิ่งถอดเมื่อครู่กลับขึ้นมาสวม แล้วลุกจากเตียง
ช่วยไม่ได้ ใครให้นางมีเสื้อผ้าเพียงชุดเดียวกันเล่า ชุดที่สั่งตัดยังไม่เสร็จ เดิมทีคิดว่าจะเข้านอนเร็วหน่อยเพื่อคลายความหนาวเย็น แต่ตอนนี้กลับต้องสวมใส่เข้าไปอีกครั้ง
เรือนเก่าหลังนี้เรียบง่าย หลังจากที่สองพี่น้องย้ายออกมาจากบ้านของิเถี่ยจู้ ิเป่าจูก็อยู่ห้องปีกตะวันออก ิเป่าอวี้อยู่ห้องปีกตะวันตก บัดนี้มีหลี่ไหวฺอวี้มาเพิ่มอีกคน จึงต้องอยู่ห้องเดียวของิเป่าอวี้
ประตูไม่ได้ปิด
“ไข้ขึ้นแล้ว” หน้าผากของเขาร้อนจัด นางรู้สึกใเมื่อมือัักับความร้อนลวกบนิั “เป่าอวี้ เ้าไปตักน้ำเย็นเข้ามา”
ิเป่าอวี้เชื่อฟังมากมาโดยตลอด และเขาก็เป็ห่วงอาการของหลี่ไหวฺอวี้ จึงรีบรุดไปตักน้ำเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ิเป่าจูหยิบผ้าฝ้ายที่ทั้งสามใช้เช็ดหน้าอยู่เป็ประจำมาชุบน้ำ บีบให้หมาด แล้วนำมาวางทาบที่หน้าผาก หัวเข่า และน่องตามลำดับ ส่วนที่เหลือก็ห่มผ้าไว้ไม่ให้ต้องลม ซึ่งอาจทำให้อาการป่วยรุนแรงขึ้นได้
ในตู้มียาสมุนไพรที่นางทำเตรียมไว้เมื่อนานมาแล้ว โดยห่อด้วยกระดาษไขจัดใส่กล่องแบ่งเป็หมวดหมู่ เรียกได้ว่าเป็ชุดปฐมพยาบาลขนาดย่อม
หลังจากดมกลิ่นดูแล้ว ก็เลือกขึ้นมาห่อหนึ่งแล้วหยิบเข้าไปในห้องครัว สิ่งที่บรรจุในห่อมีเปลือกผิวส้ม จู๋หรู [3] ฉานซา [4] อย่างละสามสิบเค่อ [5] ไม่ว่าจะจะต้องไอเย็นไอร้อน หรือเป็หวัดไข้ขึ้นก็ใช้ได้ทั้งหมด
นางก่อไฟยกหม้อขึ้นตั้งเตา เทสมุนไพรในห่อลงไป หม้อทำอาหารของที่นี่เป็หม้อดินเผาเก่าแก่ เหมาะสำหรับต้มยาจีนที่สุดแล้ว
นางคำนวณเวลาแล้วก็ดับไฟ เทน้ำแกงยาลงในถ้วย แล้วยกกลับเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวังโดยเลี่ยงไม่ให้ต้องฝน ก่อนป้อนให้หลี่ไหวฺอวี้ดื่ม
“คงไม่เป็ไรแล้วกระมัง อีกนานหรือไม่กว่าพี่ไหวฺอวี้จะตื่น”
ิเป่าอวี้เห็นพี่สาวยุ่งจนมือเป็ระวิง ด้วยความที่ช่วยอะไรไม่ได้ จึงยืนมองอยู่เงียบๆ ไม่กล้ารบกวน กระทั่งน้ำแกงยาหมดถ้วยถึงเอ่ยปากถาม
“รอผ่านคืนนี้ไปค่อยดูอีกที”
ยาดื่มหมดแล้ว อย่างอื่นก็ได้แต่เฝ้ารอ ยาชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการรักษาค่อนข้างดี ปกติภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงไข้ก็ลดแล้ว
“เ้าไปนอนห้องข้า ข้าจะดูอาการเขาก่อน ดึกหน่อยค่อยกลับไป” ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว น้องชายกำลังเติบโต ิเป่าจูไม่อยากให้เขาต้องมาอดนอนตามไปด้วย
ิเป่าอวี้อยากอยู่ต่อ เขาไม่้าให้พี่สาวลำบากอยู่คนเดียว แต่ิเป่าจูยืนกรานไม่ยอม เขาได้แต่ยู่ริมฝีปาก จำต้องกลับไปนอนก่อน
หลังจากนั้น ิเป่าจูก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงคอยสังเกตอาการของหลี่ไหวฺอวี้ ตอนนี้ยังมีไข้อยู่ ดูอะไรไม่ออก แต่ระหว่างที่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ นางก็ฮัมเพลงเสียงเบา
ท่วงทำนองไพเราะราวกับห่านป่าสยายปีกโผบิน น้ำเสียงแ่เบาและอ่อนโยนยิ่งเหมือนเสียงมารดาที่กำลังขับกล่อม
นี่คือบทเพลงที่เมื่อครั้งมารดาในยุคปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ จะฮัมร้องให้ฟังทุกครั้งที่ตนเองไม่สบาย
ิเป่าจูไม่เคยตั้งใจจะเรียนรู้เป็พิเศษ แต่ได้ยินบ่อยครั้งเข้าก็จำได้เอง
หลังจากร้องจบหนึ่งเพลง อาการของหลี่ไหวฺอวี้ก็ค่อยๆ สงบลง เหมือนหลับไปแล้ว ใบหน้ายามสงบนิ่งดูหล่อเหลากว่ายามตื่นมากนัก ิเป่าจูคิดเช่นนี้
ดูท่ายาจะเริ่มออกฤทธิ์แล้ว
อีกสองสามชั่วยามไข้ก็น่าจะลดโดยสมบูรณ์ นางไม่จำเป็ต้องอยู่เฝ้าตลอดเวลา ขณะลุกขึ้นคิดจะไป มือกลับถูกฝ่ามือใหญ่ที่มีความร้อนกำจายออกมากุมไว้แน่น จนไม่สามารถขยับได้
“ท่านแม่ ท่านแม่” หัวคิ้วของหลี่ไหวฺอวี้ขมวดแน่นขณะหลับ มีเสียงพึมพำจากปากออกมาอย่างต่อเนื่อง
ในความฝัน มีคฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งมีทางเข้าออกเจ็ดทาง กลางสวนด้านหลังที่กว้างใหญ่มีสตรีผู้อ่อนโยนราวกับนางฟ้ากำลังเล่นว่าวเป็เพื่อนเขา
ทั้งน้ำเสียงและรอยยิ้มล้วนยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำมาตลอดหลายปีไม่เคยเปลี่ยนไป
แต่แล้วทันใดนั้น ก็เกิดพายุรุนแรงกระโชกมา
ทรายเหลืองหอบหนึ่งพัดพาเอาภาพลวงตาเบื้องหน้าแตกฉานซ่านเซ็นออกไป สตรีนางนั้นหายไปแล้ว ว่าวก็หายไป คฤหาสน์ก็หายไป แม้แต่ตัวเขาตอนเด็กๆ เองก็หายไปด้วย
เขามองดูภาพทั้งหมดนี้ราวกับอยู่นอกสถานการณ์ ทำได้เพียงะโร้องแต่ไม่สามารถทำอะไรได้
“หลี่ไหวฺอวี้ หลี่ไหวฺอวี้”
ิเป่าจูถูกจับแขนจนไปไหนไม่ได้ ร้องเรียกชื่อเขาอยู่หลายหนก็ไม่มีการตอบสนอง หรือว่าจะถูกมารฝันครอบงำ ตอนที่ฮัมเพลงเมื่อครู่ก็ยังดีอยู่แท้ๆ
ฮัมเพลง?
นางลองดูอีกหน
ท่วงทำนองที่ไพเราะดังขึ้นอีกครั้ง เพียงไม่นานก็เห็นผล สีหน้าของหลี่ไหวฺอวี้สงบลงราวกับปาฏิหาริย์และดำดิ่งสู่ห้วงนิทรารมณ์
แต่หลังจากนั้นพอิเป่าจูขยับ เขาก็นิ่วหน้าและเรียกมารดาอีก นางจึงต้องนั่งลงเฝ้าเขาทั้งคืนอย่างช่วยไม่ได้
เช้าตรู่ของวันต่อมา
ิเป่าจูสะดุ้งตื่นเพราะเสียงไก่ในหมู่บ้านขันปลุก ขณะตื่นขึ้นมาก็พบว่ามือของตนเองยังถูกหลี่ไหวฺอวี้กุมไว้ นางดึงมือออกมา แล้วสะบัดแขนที่ชาจนแข็งไปแล้ว
อาจเป็เพราะเคลื่อนไหวแรงเกินไป จึงทำให้คนบนเตียงสะดุ้งตื่นไปด้วย หลังจากลืมตาแล้ว หลี่ไหวฺอวี้ก็จดจ้องิเป่าจูอยู่ราวสองสามอึดใจ ทว่าคำแรกที่เอ่ยออกมาจากปาก ก็ชวนให้นางอยากทุบเขายิ่งนัก
“อัปลักษณ์”
ตนเองตาฝาดไปหรือไม่ นางถึงกับเห็นแววเดียดฉันท์ในสายตาของเขา คนผู้นี้แสดงท่าทางรังเกียจคนที่ดูแลเขามาทั้งคืนเช่นนี้หรือ!
เชิงอรรถ
[1] ใบปาเจียว หมายถึงใบกล้วยน้ำว้า
[2] เสียงไม่เค็มไม่จืด หมายถึงน้ำเสียงเรียบๆ แต่แฝงแววเยาะหยันถากถางอยู่หนึ่งส่วน
[3] จู๋หรู ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียก ‘เต็กยู้’ คือเปลือกชั้นกลางของลำต้นแห้งของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Bambusa tuldoides Munro, Sinocalamus beecheyanus (Munro) McClare var. pubescens P.F. Li หรือ Phyllostachys nigra (Lodd.) Munro var. henosis (Mitf.) Stapf ex Rendle. วงศ์ Poaceae (Gramineae) มีสรรพคุณช่วยระบายความร้อน ละลายเสมหะ บรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน
[4] ฉานซา (蚕沙) หรือมูลไหม เป็ชื่อของยาจีนชนิดหนึ่ง เป็มูลแห้งของตัวอ่อนหนอนไหม Bombyx mori Linnaeus นำมาตากแห้งและคัดกรองสิ่งสกปรกออก สามารถช่วยรักษาโรคไขข้อ บรรเทาอาการปวดตามข้อต่างๆ ปวดประจำเดือน ปวดท้อง และผื่นบนิั
[5] เค่อ คือหน่วยน้ำหนักกรัมที่ใช้ในปัจจุบัน
