หลิวอวิ๋นชูได้ยินดังนั้นก็ร่าเริงขึ้นมาทันที เขาเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นคร่าวๆ โดยไม่ลืมเติมพริกเติมเกลือเข้าไป “เื่เป็เช่นนี้ ่เช้าของวันนั้น จู่ๆ องค์หญิงเจ็ดก็บอกว่าสร้อยมุกของตัวเองถูกขโมยไป เลยสั่งให้คนค้นโต๊ะของนักศึกษาทุกคน...”
เฟิ่งสือจิ่นส่งเสียงกระแอมออกมาเบาๆ พลางหยิกแขนของหลิวอวิ๋นชู
หลิวอวิ๋นชูเจ็บจนะโโหยง เขาขมวดคิ้วมุ่น “เ้ามาหยิกข้าทำไม?”
เฟิ่งสือจิ่นทุบหน้าอกตัวเองเบาๆ พลางกลอกตา “อาหารติดคอน่ะ...”
หลิวอวิ๋นชูทำราวกับมองไม่เห็น เขาพูดต่อ “ตอนนั้น ข้าโกรธมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เลยต้องทนเห็นคนพวกนั้นใส่ร้ายเฟิ่งสือจิ่นต่อหน้าต่อตา ทำให้เฟิ่งสือจิ่นถูกเฟิ่งสือหนิง พี่สาวของนางเฆี่ยนด้วยแส้วินัยตั้งยี่สิบครั้ง...”
จวินเชียนจี้ขมวดคิ้วมุ่น
เฟิงสือจิ่นกระแอมออกมาและหยิกแขนของหลิวอวิ๋นชูอีกครั้ง นางกัดฟันกรอดพลางพูดเสียงต่ำ “ทำไมถึงไม่เล่าเื่ที่เ้ายัดสร้อยมุกเข้าไปในโต๊ะของข้าด้วยล่ะ...”
หลิวอวิ๋นชูนิ่งเงียบลงชั่วครู่ และเลือกเล่าแต่ท่อนที่อยากเล่าเท่านั้น “หลังจากที่เฟิ่งสือจิ่นออกจากวิทยาลัยหลวง เพื่อแก้แค้นให้นาง ข้าจึงใช้สมบัติประจำตระกูลวางแผนใส่ร้ายนางเช่นกัน ในที่สุดก็ทำให้เฟิ่งสือจิ่นกลับมาเรียนได้อีกครั้ง ท่านราชครู ที่ข้าพูดไปทั้งหมด ไม่ใช่เพราะอยากได้รางวัลหรือคำชื่นชมอะไรหรอกนะ ข้าแค่เล่าไปตามความจริงเท่านั้น...” เขาหันไปมองเฟิ่งสือจิ่น “เมื่อครู่เ้าบอกว่าหิวน้ำใช่ไหม ข้าจะไปรินน้ำให้เดี๋ยวนี้เลย”
ระหว่างที่เฟิ่งสือจิ่นกำลังดื่มน้ำ จวินเชียนจี้เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบื้องหน้าเบาๆ สองครั้ง แล้วพูดด้วยเสียงที่ยากจะเดาอารมณ์ “จากที่ฟัง ต้องขอบคุณท่านชายหลิวเป็อย่างมากที่ช่วยทวงความยุติธรรมให้สือจิ่น”
จู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็รู้สึกว่าน้ำในปากช่างเป็สิ่งที่กลืนยากเสียจริง
หลิวอวิ๋นชูมีท่าทีดีใจ เขาโบกมือเบาๆ รอยยิ้มเขินอายเป็เหมือนบุปผางามที่เบ่งบานขึ้นท่ามกลางรอยเขียวช้ำบนใบหน้า ทำให้ใบหน้านั้นดูดีขึ้นมากทีเดียว “หามิได้ ท่านราชครูเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราเป็เพื่อนร่วมชั้นกัน สมควรช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็ธรรมดา ท่านราชครู ให้นางไปเรียนที่วิทยาลัยหลวงต่อั้แ่พรุ่งนี้เลยได้หรือไม่?”
จวินเชียนจี้เงียบลงชั่วครู่ “ให้นางเป็คนตัดสินใจ”
ต่อมา จวินเชียนจี้มีธุระที่ต้องออกไปทำ เฟิ่งสือจิ่นมองหลิวอวิ๋นชูกินอาหารมูมมามชามแล้วชามเล่าอย่างรังเกียจ อาหารบนโต๊ะถูกเขากวาดเรียบจนไม่เหลือแม้แต่เศษผัก หลิวอวิ๋นชูกินจนอิ่มท้องจึงพูดขึ้น “พวกเ้าไปหาพ่อครัวมาจากไหน เก่งจริงๆ ถึงทำให้ผักธรรมดาๆ อร่อยขนาดนี้ได้!”
เฟิ่งสือจิ่นกระตุกมุมปากเบาๆ “นี่เป็อาหารฝีมืออาจารย์”
หลิวอวิ๋นชูพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “เช่นนั้น ข้าช่างโชคดีเหลือเกิน...”
“ขืนยังพูดจาเรื่อยเปื่อยอีก ข้าจะใช้ตะเกียบแทงเ้าให้ตายเลยเชื่อไหม”
หลิวอวิ๋นชูพูด “ข้าไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อยเสียหน่อย ข้ากำลังพูดความจริงต่างหาก” เมื่อกินข้าวในชามเสร็จ เฟิ่งสือจิ่นก็เริ่มเก็บถ้วยชาม เตรียมจะไล่หลิวอวิ๋นชูกลับไป หลิวอวิ๋นชูถูกเฟิ่งสือจิ่นลากออกไปด้านนอกพลาง ก็พูดด้วยท่าทางน้อยใจไปพลาง “อย่างน้อยนี่ก็เป็การเยือนจวนราชครูครั้งแรกของข้า เ้าทำกับแขกเช่นนี้ได้อย่างไร... เฟิ่งสือจิ่น ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ... เข็มขัดของข้าจะหลุดอยู่แล้ว!” เฟิ่งสือจิ่นปล่อยมือ หลิวอวิ๋นชูจึงรีบจัดระเบียบเสื้อผ้าของตน “ตกลง พรุ่งนี้เ้าจะไปหรือไม่ หากเ้าไม่ยอมไป ข้าก็จะไม่ไปจากจวนราชครูเช่นกัน”
เฟิ่งสือจิ่นถูกเซ้าซี้จนปวดหัวไปหมด “ขอข้าคิดดูก่อนก็แล้วกัน” หลิวอวิ๋นชูอ้าปาก เตรียมจะพูดบางอย่างออกมา แต่เฟิ่งสือจิ่นกลับใช้นิ้วแตะจมูกเขาแล้วหรี่ตาลง “หากเ้ากล้าพูดอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะไม่ไปวิทยาลัยอีกแล้ว”
หลิวอวิ๋นชูปิดปากลงช้าๆ เขามองนิ้วสีขาวที่สวยงามราวหยกสลักซึ่งแตะอยู่ที่ปลายจมูก พลางพูดด้วยเสียงแ่เบา “ยังไม่เคยมีใครชี้หน้าข้าเช่นนี้มาก่อนเลย...” แต่ความรู้สึกนี้... ดีจริงๆ... เอ๋ เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมความคิดวิปริตเช่นนี้ถึงผุดขึ้นมาในสมองได้ หรือว่าแท้จริงแล้ว เขาเป็พวกชอบความเ็ป? หลิวอวิ๋นชูรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไปด้วยใบหน้าเขินอาย ทว่าก็แสร้งทำเป็สุขุม “เอาเถอะ ข้ากลับไปก็ได้”
เฟิ่งสือจิ่นมองหลิวอวิ๋นชูที่ปีนต้นไม้ด้วยท่าทางงุ่มง่ามและแข็งกระด้าง นางถามขึ้น “เ้าจะไม่ออกไปทางประตูจริงๆ หรือ?”
หลิวอวิ๋นชูปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนกำแพงอย่างยากลำบาก เขาหันมาบอกกับเฟิ่งสือจิ่นทีละพยางค์ “ไม่ต้อง! ถ้าทำแบบนั้น ข้าจะรู้สึกเสีย...” พูดได้เพียงเท่านั้นก็หงายหลังตกลงไปจากกำแพง “ศักดิ์ศรี...”
เฟิ่งสือจิ่นหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปอุ้มเ้าสามมัดขึ้นมาจากพื้น ราตรีสีดำหม่นปกคลุมนภา ดวงดาราเพียงบางตาประกายแสงระยิบระยับอยู่กลางท้องฟ้า เงาจันทราปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง เฟิ่งสือจิ่นเดินไปยังห้องหลอมสมุนไพรอย่างใจเย็น
เป็อย่างที่คิด จวินเชียนจี้อยู่ในห้องหลอมสมุนไพรจริงๆ เฟิ่งสือจิ่นยืนอยู่หน้าประตู ด้านในมีแสงสีนวลส่องประกายเลือนราง ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดอะไร เสียงราบเรียบของจวินเชียนจี้ก็ดังขึ้นก่อน “ข้ารู้ว่าเ้าอยากจะพูดอะไร แต่ไม่ได้”
เฟิ่งสือจิ่นเงียบลงชั่วครู่ นางเดินไปยืนอยู่ข้างหลังจวินเชียนจี้ “ข้าไม่ได้ขโมยสร้อยมุกขององค์หญิงเจ็ดไป”
“ข้ารู้ดี” ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด เฟิ่งสือจิ่นก็จะเดินตามไปเป็เงา
“ดังนั้น องค์หญิงเจ็ดทำให้ข้าถูกเฆี่ยนถึงยี่สิบครั้งโดยที่ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด”
จวินเชียนจี้พูด “องค์หญิงเจ็ดทำให้เ้าถูกเฆี่ยนยี่สิบครั้งก็จริง แต่นางเป็เชื้อพระวงศ์ อย่าหวังว่านางจะถูกเฆี่ยนยี่สิบครั้งเพราะเื่ทำนองเดียวกับเ้าเลย การกระทำของท่านชายหลิว ถือเป็การทวงความยุติธรรมแก่เ้าแล้ว”
“แล้วครั้งต่อไปล่ะ?”
“ไม่มีครั้งต่อไป”
เฟิ่งสือจิ่นดึงชายเสื้อของจวินเชียนจี้เอาไว้ “อาจารย์คิดว่า แค่ข้าไม่ไปวิทยาลัยหลวงก็จะไม่เจอกับองค์หญิงเจ็ดอีกตลอดชีวิตหรือ?” จวินเชียนจี้ชะงักนิ่งลง “นอกจากองค์หญิงเจ็ด ยังมีคนของตระกูลเฟิ่ง หากข้าต้องหลบซ่อนคนพวกนั้นไปตลอด แล้วทำไมต้องให้ข้ากลับมาที่นี่ด้วย? อาจารย์ อย่ากังวลไปเลย ข้าโตเป็ผู้ใหญ่ สามารถจัดการเื่เหล่านี้ได้ด้วยตนเองแล้ว”
“หมายความว่า ไม่ว่าอย่างไรพรุ่งนี้เ้าก็จะไปวิทยาลัยหลวงใช่ไหม?”
เฟิ่งสือจิ่นพยักหน้าหนักๆ “ศิษย์จะกลับไป ชีวิตในวิทยาลัยหลวงของข้าเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ข้าจะตั้งใจศึกษา และจะไม่สร้างปัญหาให้อาจารย์อีก” นางปรี่เข้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าจวินเชียนจี้แล้วยิ้มจนตาหยี “หากข้าไม่ไป อาจารย์คงต้องลำบากใจไม่น้อยใช่หรือไม่?”
จวินเชียนจี้ปรายตามองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง “สิ่งที่เ้าคิดว่าเป็ปัญหาในวิทยาลัยหลวง ล้วนไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง และคนที่เป็ปัญหาจริงๆ ก็ไม่ใช่องค์หญิงเจ็ดเช่นกัน”
“ยังมีใครที่สร้างปัญหาได้มากกว่านางอีกหรือ?”
“มีสิ องค์ชายสี่ไง แค่เห็นหน้าเขา ข้าก็รู้สึกหงุดหงิดและรำคาญใจเจียนบ้า”
เฟิ่งสือจิ่นชะงักลงเล็กน้อย “ศิษย์ก็รำคาญใจที่เห็นหน้าเขาเหมือนกัน”
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ เมื่อกลับวิทยาลัยหลวงแล้ว จงอยู่ให้ห่างจากเขา”
เฟิ่งสือจิ่นประกายความดีใจออกมาทางสีหน้า นางโค้งคารวะ “ทราบแล้ว อาจารย์”
เฟิ่งสือจิ่นไปที่วิทยาลัยหลวงในวันต่อมา วันนี้ก็เป็เหมือนวันที่แล้วมา นางกับหลิวอวิ๋นชูยังเป็เพื่อนร่วมโต๊ะกัน ยังคงรับรู้ได้ถึงสายตาของนักศึกษาคนอื่นๆ ที่มองมาเป็ระยะ และถูกซูเหลียนหรูเย้ยหยันแดกดันทุกครั้งที่เดินผ่าน
ทางด้านของหลิวอวิ๋นชู เขาก่อกวนเฟิ่งสือจิ่นหนักกว่าเดิมเป็สองเท่าทั้งตอนเข้าเรียนและเลิกเรียน ั้แ่เฟิ่งสือจิ่นกลับมา เขาก็รู้สึกว่าชีวิตในวิทยาลัยหลวงน่าสนุกและมีชีวิตชีวากว่าเดิมเป็หลายเท่าตัว ไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อใด ที่การมาเรียนในวิทยาลัยหลวงกลายเป็เื่ที่น่าสนุกที่สุดในความคิดของเขา
ท่านโหวอันกั๋วเห็นว่าหลิวอวิ๋นชูไปเรียนั้แ่เช้าตรู่ ทั้งยังไม่ทำความผิดร้ายแรงอะไรอีก จึงค่อยๆ ปล่อยผ่านเื่นี้ไปอย่างช้าๆ ทว่าในบางครั้ง เขาก็ยังอดบ่นบนโต๊ะอาหารไม่ได้ “ลูกเอ๋ย คนในวัยเ้าต้องไตร่ตรองเื่การคบเพื่อนให้ดี จงคบแต่คนดีๆ อย่าได้คบค้ากับคนพาลเด็ดขาด ข้าได้ยินมาว่า ท่านอ๋องน้อยแห่งจวนจิ่งอ๋อง นอกจากจะมีอนุจำนวนมากั้แ่อายุน้อยแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ ยังไปมีสัมพันธ์กับอนุคนใหม่ของจิ่งอ๋องอีก จิ๊ๆ... คนเป็ลูกชายกลับสวมเขาบิดาได้อย่างไม่ลังเลเลย”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้