บทที่ 83 ความรู้สึกของซูเหยียนถึงขีดสุด
“ซูเหยียน ถ้าเธอเจอยัยนั่นครั้งหน้า เธอต้องบอกเขาไปนะว่าเขาป่วย”
เย่จื่อเฉินยกมือขึ้นชี้นิ้วตามหลังรถเต่าคันนั้นไป ซูเหยียนดึงมือเขาลงแล้วพูดขึ้น
“พอแล้วน่า เลิกโมโหเขาได้แล้ว”
“ฉันโมโหยัยนั่นซะที่ไหนเล่า” เย่จื่อเฉินส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจพูดขึ้น “เธอป่วยจริงๆ”
“ฮะ?”
ดวงตาซูเหยียนฉายแววประหลาดใจ แต่พอคิดดูแล้วปู่ของเธอก็ได้เย่จื่อเฉินช่วยเอาไว้เหมือนกัน บางทีเขาอาจจะเห็นอะไรก็ได้
“ป่วยเป็อะไรเหรอ?”
“เป็โรคประสาท!” เย่จื่อเฉินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
พรูดดด!
ซูเหยียนอดขำไม่ได้ ก่อนจะยกมือขึ้นตีเขาเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น
“อย่าว่าคนอื่นแบบนั้น”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้หญิงคนนั้นอวดเก่งเกินไป บ้านยัยนั่นทำอะไรเหรอถึงได้พูดกับเธอแบบนั้น คงไม่ได้เป็ลูกหลานพระเ้าบ้านไหนหรอกนะ”
เย่จื่อเฉินหัวเราะร่า ซูเหยียนเพียงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้าพูด
“ไม่ใช่หรอก เธอก็เป็เพื่อนตอนมอปลายของฉันนี่แหละ ฐานะทางบ้านก็อาจจะไม่ได้แย่หรอก”
“แล้วยังกล้าพูดกับเธอแบบนั้นอีกเหรอ? ยัยนั่นต้องเป็โรคประสาทแน่นอน”
เย่จื่อเฉินถึงกับอึ้ง รู้ไหมว่าซูเหยียนเป็ใคร
พ่อเป็ผู้พัน ปู่เป็หัวหน้าทหาร
ลูกหลานทหารเต็มตัว
แถมซูฉีหลงยังเป็หัวเรือใหญ่ทางธุรกิจอีกด้วย อยู่ภายใต้อำนาจของครอบครัวผู้มีอิทธิพลแบบนี้ เกาซ่างยังจะกล้าพูดจาคลุมเครือกับซูเหยียนอีก
ถ้าไม่โง่ก็คงประสาทจริงๆ
“เธอไม่รู้เื่เกี่ยวกับฉันไง”
ซูเหยียนหัวเราะเบาๆ เย่จื่อเฉินก็เข้าใจในทันที
จากนิสัยถ่อมตัวของซูเหยียนก็เป็เื่ปกติที่อีกฝ่ายจะไม่รู้ แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคุณชายไป๋อะไรนั่นขึ้นมา
“คุณชายไป๋เป็อะไรกับเธอ?”
“นักเรียนธรรมดานี่แหละ แค่ตอนมอปลายเขาคิดจะจีบฉันน่ะ” ซูเหยียนเม้มปากรีบอธิบาย “เขาเป็แค่นักเรียนธรรมดาจริงๆ นะ”
“โอเค ฉันเชื่อเธอ”
เอื้อมมือไปลูบผมของเ้าตัว ใบหน้าของซูเหยียนขึ้นสีแดง เธอรู้สึกสนุกมากเวลาที่ได้อยู่กับเย่จื่อเฉิน แถมในใจของเธอก็ยังรู้สึกอยู่รางๆ ว่าตำแหน่งของเขาไม่สามารถสั่นคลอนได้แล้ว
แต่จิตใต้สำนึกของเธอ เธอยังคงต่อต้านอยู่เล็กน้อย
จุดที่ต่อต้านนั้นก็คือเซี่ยเขอเข่อ
ในฐานะที่ทั้งคู่เป็เพื่อนสนิทกัน เธอรู้ดีว่าที่จริงแล้วเซี่ยเขอเข่อก็รู้สึกหวั่นไหวกับเย่จื่อเฉินแล้วเหมือนกัน เธอไม่้าแก่งแย่งกับเซี่ยเขอเข่อ แต่ก็ไม่อยากยอมแพ้เหมือนกัน
“เย่จื่อเฉิน ฉันมีอะไรอยากถามนายหน่อย” ซูเหยียนกัดริมฝีปากแล้วพูด “นายรู้หรือเปล่าว่าเซี่ยเขอเข่อชอบนาย?”
เย่จื่อเฉินตะลึง มองสีหน้าที่หนักใจของซูเหยียน
แบบนี้มันกะทันหันเกินไปแล้ว ไม่ให้โอกาสเขาได้ตอบอะไรเลยด้วยซ้ำ
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่คิดว่าซูเหยียนจะถามออกมาตรงๆ แบบนี้
ตอนนี้ระดับความรู้สึกของทั้งคู่อยู่ที่ 499 มีความเป็ไปได้ว่าเชือกจะขาดสะบั้นลงอีกครั้งถ้าหากไม่ถึง 500 ที่ขึ้นไปเป็ระดับคนรัก
แสดงให้เห็นว่า คำตอบของเขาในตอนนี้นั้นสำคัญมาก
“รู้”
หลังจากที่สู้กับความคิดตัวเองอยู่นับครั้งไม่ถ้วน เย่จื่อเฉินก็เลือกที่จะพูดความจริง
สิ้นเสียง เขาก็เตรียมตัวรับข้อความว่าด้ายแดงได้ขาดสะบั้นลงแล้ว
แต่ว่า…
ไม่มี!
ด้ายแดงไม่ได้ขาด
ฟู่~
เย่จื่อเฉินพรูลมหายใจยาว เมื่อครู่นี้เสี่ยงอันตรายมากจริงๆ
เขาเงยหน้าขึ้นลอบมองซูเหยียน ก็เห็นว่าสีหน้าของเธอไม่ได้เอะใจอะไรกับคำตอบเมื่อครู่นี้เลยสักนิด
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เธอได้เอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้ง
“แล้วนายรู้หรือเปล่าว่าฉันชอบนาย?”
“รู้”
“แล้วนายชอบฉันไหม?”
“ชอบ”
ทันใดนั้น รอยยิ้มที่ทำให้ดอกไม้นับร้อยต้องก้มหัวให้ก็ได้เบ่งบานขึ้นบนใบหน้าของซูเหยียนที่ยืนอยู่ด้านข้าง พร้อมกับโถมตัวเข้าใส่อ้อมกอดของเย่จื่อเฉิน
ติ๊ง!
ระดับความรู้สึกดีของคุณกับซูเหยียนเพิ่มขึ้นมา1 ระดับความรู้สึกดีปัจจุบันอยู่ที่ 500
ระดับความรู้สึกดีก้าวหน้า
ยืนยันความสัมพันธ์แบบคนรักของทั้งสองฝ่าย
หัวใจของเย่จื่อเฉินสั่นไหวเมื่อได้รับการแจ้งเตือนนี้
ความสัมพันธ์ก้าวหน้าแล้ว
หนึ่งคะแนนที่ขวางกั้นระหว่างพวกเขาสองคนมาตลอดนั้น ก็ได้เพิ่มขึ้นผ่านคำถามไม่กี่ข้อนี้
ซูเหยียนกอดเย่จื่อเฉินแน่น ซบหัวลงกับอกของเขา
หลายวันมานี้เธอเก็บกดมากจริงๆ
ั้แ่ที่เขาพนันกับพ่อของเธอในวันนั้น นาทีนั้น เงาของเขาก็ได้ประทับแแ่ลงในห้องหัวใจของเธอ ลบยังไงก็ลบไม่ออก
แต่เธอกลับเอาแต่ห่วงหน้าพะวงหลังอยู่กับเื่ของเซี่ยเขอเข่อ
เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็บ้า
จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ที่เขาพูดออกมาเองว่าชอบ
เธอถึงได้รู้สึกว่าทุกอย่างนี้มันไม่ได้สำคัญเลย
ไม่ว่าใครจะชอบเขา ไม่ว่าข้างกายเขาจะมีใครอีก
ขอเพียงแค่เขาชอบเธอ ขอเพียงแค่ในใจของเขามีพื้นที่ของเธออยู่ก็เพียงพอแล้ว
เนิ่นนาน กว่าซูเหยียนจะผละออกจากอ้อมกอดของเย่จื่อเฉิน
“ขอบอกไว้เลยนะ นายอย่าได้ใจไป เพราะเขอเข่อเป็เพื่อนสนิทฉัน ฉันถึงได้...ถึงยังไงก็แล้วแต่ ถ้าต่อไปนี้นายกล้ารังแกฉันล่ะก็ ฉันจะให้พี่ชายฉันมาตีนาย”
“น้อมรับคำสั่ง”
เย่จื่อเฉินกลับมาที่โรงพยาบาลพร้อมกับซูเหยียน เย่หรงที่นั่งอยู่ในห้องหน้าตาถมึงทึงจนน่ากลัว
“แม่”
“ลูกหนีออกไปทำอะไรบ้าบอที่ไหนอีก ช่วยอยู่โรงพยาบาลดีๆ จะได้ไหม”
“ผม…”
เย่จื่อเฉินอึกอักพูดไม่ออก ในตอนนั้นเองเย่หรงก็เห็นมือของกซูเหยียนกับเย่จื่อเฉินที่จับกันแน่น
“แม่หนูคนนี้…”
“คุณป้าคะ หนูเป็เพื่อนที่มหาลัยของเย่จื่อเฉินค่ะ”
ซูเหยียนหน้าแดงใจเต้นเหมือนกับกวางน้อย พอเห็นสีหน้าของเย่หรง เย่จื่อเฉินก็รู้แล้วว่าไม่สามารถปิดบังอะไรได้ จึงพยักหน้ารับ
“แม่ครับ แม่อยากเห็นลูกสะใภ้มาตลอดไม่ใช่เหรอครับ คนนี้ไง”
“เย่จื่อเฉิน…”
ซูเหยียนกระตุกมือของเย่จื่อเฉิน หน้าแดงไปจนถึงกกหู
พอได้ยินคำว่าลูกสะใภ้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่หรงก็แย้มกว้างขึ้น เธอรีบเข้าไปหาซูเหยียน แล้วหันไปดุเย่จื่อเฉิน
“รีบไปล้างแผลกับหมอหวงซะ หมอหวงมาตั้งหลายรอบแล้ว”
“เข้าใจแล้วครับ”
เมื่อส่งสายตาเป็เชิงบอกให้ซูเหยียนสบายใจแล้ว เย่จื่อเฉินจึงถอยหลังเดินออกไปจากห้อง แต่พอมาถึงห้องทำงานของหมอหวง อยู่ดีๆ ก็เกิดปวดหัวจี๊ดขึ้นมา
พวกเธอสองคนมีด้ายแดงทั้งคู่
แต่เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าด้ายแดงมันออกมาได้ยังไง
เย่จื่อเฉินยืนลังเลอยู่หน้าประตูห้องทำงานอยู่นาน ไม่เข้าไปสักที แต่จู่ๆ ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออกมาจากด้านใน
“เย่จื่อเฉิน”
“หวัดดี หมอหวง”
เมื่อมาถึงห้องทำงานของหมอหวง เย่จื่อเฉินที่เคยกินยาปรับพลังกายมาแล้วย่อมมีสมรรถภาพทางกายดีกว่าคนปกติ
ถึงจะเป็าแจากะุปืน แต่ก็เกือบหายดีเป็ปกติ หลังจากที่พักฟื้นเพียงแค่ไม่กี่วัน
หลังจากที่พันแผลให้เย่จื่อเฉินเรียบร้อยแล้ว หวงเซิงเหม่ยก็เอ่ยขึ้นเสียงแ่
“ฟื้นตัวเร็วดี คุณน่าจะทำเื่ขอออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะ”
โอ๊ะ
น้ำเสียงของหวงเซิงเหม่ยไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่พอมาคิดดู เย่จื่อเฉินก็เข้าใจทันที
ระดับความรู้สึกดีจากด้ายแดงของทั้งคู่เพิ่งจะสิบคะแนนเท่านั้น
ซึ่งที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากเดิม
“ขอบคุณหมอหวงมากนะครับที่ดูแล”
“เกรงใจเกินไปแล้ว ว่าแต่เมื่อไรคุณจะช่วยรักษาขาให้น้องชายฉัน” หวงเซิงเหม่ยเงยหน้าขึ้น ในใจของเธอน้องชายยังสำคัญที่สุดเสมอ
“เื่นี้ต้องรอก่อน”
“นานแค่ไหน”
“ถึงเวลาผมจะไปหาหมอเอง” เย่จื่อเฉินตอบอย่างคลุมเครือ เขาก็ไม่รู้แน่ชัดเหมือนกันว่าเมื่อไรถึงจะเก็บสะสมพลังปราณนั้นได้มากพอ
“โอเค” หวงเซิงเหม่ยยิ้มเล็กน้อย หลังจากที่ดวงตาคู่สวยกวาดมองทั่วตัวของเย่จื่อเฉิน เธอกัดริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น “เอ่อ คุณมี…”
ติ๊ง!
ในตอนที่เย่จื่อเฉินกำลังจะพูดนั้น โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อนนะครับ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้