เล่มที่ 3 บทที่ 87
กระดาษจดหมายหนาๆ มีแต่ลายมืออันคุ้นเคย ส่วนเนื้อความในจดหมายเป็สาเหตุให้มู่หรงฉิงถึงกับหนาวสั่นไปทั้งตัว
เป็ไปได้อย่างไร? มันเป็ไปได้อย่างไร? เดิมทีนางคิดว่าทั้งหมดทั้งมวลเป็เพียงการแย่งชิงทรัพย์สมบัติ คิดแค่ว่าเป็เพียงการต่อสู้ภายในจวน แต่นางคาดไม่ถึงว่าองค์ชายรัชทายาทราชวงศ์ก่อนจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้น มันเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ด้วย
ถ้าเป็เพียงอนุหนิงและแม่รองเฉิน นางยังมีความมั่นใจที่จะต่อกรด้วย แต่ตอนนี้มันเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน นางจะเริ่มจากตรงไหนดี? และนางควรจะทำอย่างไร?
เมื่อพิจารณาจากเนื้อความในจดหมายของท่านแม่ เฉินเทียนหยูได้มอบตราประทับหยกสืบทอดบัลลังก์ให้กับท่านแม่ของนางก่อนที่ท่านแม่จะเสียชีวิต แต่หลังจากนั้นเฉินเทียนหยูก็ถูกอนุหนิงและแม่รองเฉินวางกับดัก โชคดีที่ตราประทับหยกได้ส่งมอบออกไปแล้ว แน่นอนว่าคนทั้งสองย่อมไม่ได้ไป
หลังจากการไม่พบตราประทับหยก และการสมคบคิดก็ถูกเฉินเทียนหยูค้นพบ ดังนั้นเฉินเทียนหยูจึงถูกวางยาพิษให้กลายเป็คนโง่งมและคลุ้มคลั่ง
ท่านแม่รู้ว่าตนเองเหลือเวลาไม่มากจึงซ่อนจดหมายและตราประทับหยกไว้ในกล่อง อย่างไรก็ดี ในจดหมายกล่าวถึงองค์ชายรัชทายาทซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งยังกล่าวว่าองค์ชายรัชทายาทออกไปทำาด้านนอก ไม่เพียงแต่ท่านแม่ที่พูดเช่นนั้น แม้กระทั่งเฉินเทียนหยูเองก็ยังกล่าวเช่นเดียวกัน เป็ไปได้หรือไม่ว่า ผู้ที่ไปออกรบอยู่ด้านนอกคนนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่องค์ชายรองแต่เป็องค์ชายรัชทายาทองค์ปัจจุบัน
องค์ชายรัชทายาทและองค์ชายรองเป็พี่น้องฝาแฝดที่เกิดจากมารดาคนเดียวกัน หน้าตาของทั้งคู่แทบไม่มีใครสามารถแยกแยะความแตกต่างได้ เพียงแต่องค์ชายรัชทายาทนั้นเป็สุภาพบุรุษผู้สง่างามเสมอมา ก่อนที่เขาจะพบกับนักแสดงคนนั้น เขามีชื่อเสียงที่ดีมาโดยตลอด ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เป็อย่างมาก แต่หลังจากที่ได้พบนักแสดงคนนั้น เขากลับกลายเป็เหมือนคนละคน ไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจกิจการบ้านเมือง
ทางด้านองค์ชายรองที่ออกศึกนั้นไม่เคยได้ยินการเปลี่ยนแปลงใดๆ หากสิ่งที่ท่านแม่และเฉินเทียนหยูพูดเป็ความจริง มีความเป็ไปได้มากว่าทั้งสองได้เปลี่ยนสถานะของตนก่อนที่องค์ชายรัชทายาทจะได้พบกับนักแสดงคนนั้น
ข้อสงสัยหมดไป แต่มู่หรงฉิงยังไม่เข้าใจความหวังสุดท้ายของท่านแม่ของนาง ชิงชิง? ชิงป๋อ? หากเดาถูก สองคนนี้คือฮูหยินหลิงและอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท
ท่านแม่และอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทมีความรักต่อกัน แต่ครั้นถึงเวลาอันเหมาะสมในการแต่งงาน ท่านแม่ก็ถูกมู่หรงอั้นและคนอื่นๆ วางกับดัก ความรักจึงถูกแบ่งแยกออกไปซึ่งทำให้อาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทแค้นใจ
แล้วฮูหยินหลิงล่ะ? ความสัมพันธ์ระหว่างฮูหยินหลิงกับท่านแม่ของนางเป็ความสัมพันธ์อย่างไร? ทำไมท่านแม่ถึงบอกว่านางเป็หนี้ฮูหยินหลิงมากที่สุด?
“น้องหญิง น้องหญิงอ่านอะไรอยู่หรือ? อ่านนานถึงเพียงนี้”
ใบหน้าของมู่หรงฉิงซีดเผือด มิหนำซ้ำนางยังไม่ได้ละสายตาจากจดหมาย เฉินเทียนหยูเห็นใบหน้าซีดขาวของมู่หรงฉิง หัวใจของเขาเกิดความวิตกกังวลเป็อย่างมาก เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าและยื่นมือออกไปหยิบจดหมาย
“ไปให้พ้น” เฉินเทียนหยูเข้ามาอย่างกะทันหันเป็สาเหตุให้มู่หรงฉิงใ นางเงยหน้าด้วยความตื่นตระหนกพร้อมบีบจดหมายในมือแน่น ขณะเดียวกันก็ผลักเฉินเทียนหยูเต็มแรง
นางใช้กำลังทั้งหมดที่มีประกอบกับเฉินเทียนหยูไม่ทันได้ระวังตัว จึงถูกมู่หรงฉิงผลักออกไปด้านข้าง เขาอึ้งงันอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเขาก็ทำหน้าบูดบึ้งด้วยดวงตาแดงก่ำ “น้องหญิงดุมาก น้องหญิงของข้าผลักข้า”
“ออกไป ออกไปให้พ้น ออกไปให้พ้น” มู่หรงฉิงพึมพำราวกับถูกปีศาจเข้าสิง นางมองไปรอบๆ มองหาที่จุดไฟ
นางจะต้องเผาจดหมายฉบับนี้ จดหมายฉบับนี้ไม่สามารถเก็บไว้ได้ ไม่สามารถเก็บไว้ได้
“ที่จุดไฟ ที่จุดไฟอยู่ที่ไหน” พูดพึมพำพลางเคาะเก้าอี้ ระหว่างหาที่จุดไฟอย่างโซซัดโซเซ
จ้าวจื่อซินเห็นมู่หรงฉิงใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิ้วของเขาจึงปรากฏรอยย่นเล็กน้อย และขยิบตาให้ชิงยวี่ ชายหนุ่มเ้าของชื่อจึงหยิบที่จุดไฟออกมาก่อนยื่นให้จ้าวจื่อซิน
“มู่หรงฉิง ข้ามีที่จุดไฟ” ค่อยๆ เดินเข้าหานางและส่งที่จุดไฟในมือให้กับนาง
ได้เห็นที่จุดไฟ มู่หรงฉิงก็รีบคว้ามัน มือสั่นเทาของนางจุดเทียนและนำกระดาษจดหมายหนาๆ เข้าใกล้เปลวไฟ
นางเกลียดมาก นางเกลียดมากจริงๆ นางเคยคิดว่า ท่านพ่อของนางลำเอียงไปรักอนุหนิงเท่านั้น เป็สาเหตุให้เขาเมินนางและพี่ชายของนาง แต่นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า การเกิดมาบนโลกของนางและพี่ชายใหญ่เป็เพียงเครื่องมือสำหรับมู่หรงอั้น เป็เครื่องมือที่จะช่วยให้เขาค้นพบตราประทับหยกของราชวงศ์ก่อน
มู่หรงอั้นอาจจะคิดว่า หลิงชิงป๋อจะรู้เกี่ยวกับตราประทับหยกของราชวงศ์ก่อน ดังนั้นเขาจึงวางกับดักท่านแม่ของนางซึ่งเป็คนที่หลิงชิงป๋อรัก ส่วนนางและพี่ชายใหญ่ของนางเป็เพียงเครื่องมือในการสมรู้ร่วมคิดของมู่หรงอั้นที่มีก็ได้และไม่มีก็ย่อมได้เช่นกัน
เมื่อเครื่องมือมีประโยชน์ก็ยังสามารถเก็บไว้ได้ แต่เมื่อใดที่เครื่องมือหมดประโยชน์แล้ว ย่อมเก็บไว้ไม่ได้โดยธรรมชาติ หากเครื่องมือเป็ภัยคุกคาม มันก็ต้องตายโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ
เสือถึงร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง แต่ท่านพ่อของพวกนางซึ่งเป็ท่านพ่อที่ดีของพวกนาง มู่หรงอั้นกลับทำเหมือนว่านางและพี่ชายใหญ่เป็ของตาย
มู่หรงอั้นเป็คนสนิทขององค์ชายรัชทายาทราชวงศ์ก่อน หากมีการเปิดเผยสิ่งต่างๆ นางและพี่ชายใหญ่ของนางก็คือเศษซากของราชวงศ์ก่อน
“เฮอะๆ จิตใจช่างโหดร้าย จิตใจช่างโหดร้ายจริงๆ...” เย้ยหยันซ้ำๆ หลายหน มองดูจดหมายไหม้ไฟกลายเป็เถ้าถ่าน แต่ใบหน้าของนางกลับเ็า
จวบจนกระทั่งกระดาษจดหมายถูกไฟไหม้และลำแสงสุดท้ายดับลง มู่หรงฉิงก็ตระหนักได้ว่า นางร้องไห้น้ำตานองหน้า
เด็กสาวยกมือขึ้นััหยาดน้ำตาบนใบหน้า มองปลายนิ้วที่เปื้อนน้ำตา รู้สึกอ้างว้างในหัวใจอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ได้
ก่อนที่นางจะรู้ความจริง นางมักคิดว่าจะเปิดเผยเื่ทั้งหมด แต่ตอนนี้นางรู้ความจริงแล้ว นางกลับสับสนเป็อย่างมาก เนื่องด้วยหากตัวตนของมู่หรงอั้นถูกเปิดเผย นางที่มีสถานะเป็เศษซากซึ่งหลงเหลือจากราชวงศ์ก่อนย่อมต้องถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ และไม่เพียงเฉพาะนางเท่านั้นแต่ยังรวมถึงพี่ชายใหญ่ แม้กระทั่งคนในจวนเฉินทุกคนก็จะได้รับผลกระทบ สุดท้ายไม่แน่ว่าทุกคนอาจต้องตายด้วยคมดาบ
จะทำอย่างไรดี? จะทำอย่างไรดี? นางควรจะจัดการกับตราประทับหยกสืบทอดบัลลังก์อย่างไร? นางควรจะบอกพี่ชายใหญ่อย่างไร? นางจะหลุดพ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างมู่หรงอั้นได้อย่างไร?
ยามเกิดความสับสนในใจ สมองก็ยิ่งสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับถูกปีศาจเข้าสิง นางมองดูขี้เถ้าที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า ปากพูดพึมพำไม่หยุด “จะทำอย่างไรดี? จะทำอย่างไรดี?”
หัวคิ้วของจ้าวจื่อซินถูกห่อเข้าด้วยกัน เขาไม่รู้ว่าในจดหมายเขียนว่าอะไร? แต่หลังจากเห็นสีหน้าและอากัปกิริยาของมู่หรงฉิง บ่งชี้ชัดเจนว่านั่นไม่ใช่เื่ดีอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาไม่เข้าใจเื่ราวอย่างกระจ่าง ด้วยความฉลาดเฉลียวของนาง แม้กระทั่งความบ้าคลั่งของเฉินเทียนหยู นางก็สามารถทำให้ตนเองสงบและเอาตัวรอดได้ แล้วอะไรกันที่เป็ต้นเหตุให้นางต้องสูญเสียความสงบจนรู้สึกไร้หนทาง?
ก้าวเท้าไปข้างหน้าสองก้าวพลางดึงมู่หรงฉิงผู้ซึ่งนั่งอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้นยืน “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“ไปให้พ้น ไปให้พ้น ไปให้พ้น” ดึงมือทั้งสองออกสุดแรง ผลักเขาออกไปอย่างบ้าคลั่ง “จิตใจโหดร้าย จิตใจของพวกเ้าช่างโหดร้าย ไปให้พ้น ไปให้พ้น”
มู่หรงฉิงไม่อาจควบคุมตัวเองได้ทำให้คนทั้งสามในที่แห่งนี้ต่างรู้สึกประหลาดใจ ในจังหวะที่จ้าวจื่อซินกำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อกดจุดเซวีย เฉินเทียนหยูกลับก้าวเท้าไปข้างหน้าโดยไม่มีใครคาดคิดก่อนรวบตัวมู่หรงฉิงไว้ในอ้อมแขน “น้องหญิงไม่ร้องไห้ น้องหญิงไม่ร้องไห้ น้องหญิงร้องไห้ ข้าก็อยากร้องไห้ด้วย...”
หน้าอกผึ่งผายของเขากระเพื่อมขึ้นลง หลังจากที่มู่หรงฉิงดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขนของเขาสักพักหนึ่ง มือทั้งสองข้างของนางจึงทิ้งลงข้างตัวอย่างอ่อนแรง หลังจากเวลาผ่านไปนาน นางจึงสงบลงจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองเฉินเทียนหยูด้วยดวงตาโศกเศร้า “เฉินเทียนหยู ข้าควรจะทำอย่างไร? พวกเราควรจะทำอย่างไร? พวกเราควรจะทำอย่างไร?”
“จ้าวจื่อซินเกิดอะไรขึ้นกับน้องหญิงหรือ?”
เฉินเทียนหยูถามอย่างวิตกกังวลขณะมองมู่หรงฉิงที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของนางซีดเผือด ส่วนเขาทำได้เพียงจับมือเย็นเฉียบของนางไว้ข้างหนึ่ง
จ้าวจื่อซินไม่ได้ละสายตาจากใบหน้าไร้สีเืของนาง เขาส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน บางที อาจจะรับรู้อะไรที่ะเืใจ”
ชั่วครู่ก่อนนางดึงเสื้อของเฉินเทียนหยูพร้ะโกนถามซ้ำๆ หลายหนว่า “เฉินเทียนหยู พวกเราควรจะทำอย่างไร?” ฉะนั้นจ้าวจื่อซินจึงรับรู้โดยสัญชาตญาณว่าเื่นี้มีความสัมพันธ์กับเฉินเทียนหยู
ครั้นเห็นว่ามู่หรงฉิงไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนได้ จ้าวจื่อซินถึง้าสกัดจุดเซวียของนาง แต่ไม่คาดคิดเลยว่า นางกลับเป็ลมในอ้อมแขนของเฉินเทียนหยู
กลับมาถึงจวนตอนเที่ยงและแกะกล่องอ่านจดหมาย กว่าจะเสร็จสิ้นทั้งหมดก็ใช้เวลาไปสี่หรือห้าชั่วยาม ท้องฟ้าจึงมืดลงแล้ว จ้าวจื่อซินหยิบตราประทับหยกที่ถูกห่อด้วยผ้าแพรบนโต๊ะพลางครุ่นคิด เขาสงสัยว่ามันคืออะไร? คิดไม่ถึงว่าจะทำให้มู่หรงฉิงผู้แข็งแกร่งมาโดยตลอดถึงกับควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เดิมเขาอยากรื้อมาดูว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่หลังจากคิดตรึกตรองก็ไม่ได้รื้อมันออกมา “เก็บไว้ให้ดี ถ้าทำหาย ถามเ้าได้แค่คนเดียว”
ชิงยวี่รีบตอบ ‘รับทราบ’ พร้อมรับตราประทับหยกและออกจากห้อง
ทันทีที่ชิงยวี่ก้าวเท้าออกไปด้านนอก ปี้เอ๋อร์ก็รีบขวางทาง “เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูใหญ่หรือ?” ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่าการเปิดประตูจะเป็การปลุกความสงสัยของผู้อื่น นางคงเปิดประตูเข้าไปั้แ่ได้ยินเสียงร้องไห้ของมู่หรงฉิงแล้ว
“อืม จะพูดอย่างไรดี ดูเหมือนจะะเืใจ เ้าไปดูเองเถอะ” ชิงยวี่ไม่รู้จะอธิบายสิ่งที่เห็นว่าอย่างไร จริงๆ เขาทำได้แค่ใช้คำว่า 'ะเืใจ' เพื่อบรรยายถึงการสูญเสียการควบคุมของมู่หรงฉิง
ปี้เอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ปรี่เข้าไปในห้องทันควัน หลังจากเห็นมู่หรงฉิงนอนหน้าซีดอยู่บนเตียง นางจึงสาวเท้าไปข้างหน้า “คุณหนูใหญ่ เกิดอะไรขึ้น? ยังดีๆ อยู่เลย ทำไมถึงได้ประสบกับเื่ะเืใจล่ะ?”
“ตอนนี้เ้าควรจะทำความสะอาดห้องก่อนจะดีที่สุด” จ้าวจื่อซินนั่งอยู่ข้างๆ พลางกวาดตามมองข้าวของระเกะระกะไม่เป็ระเบียบในห้อง
ด้วยคำเตือนของจ้าวจื่อซิน ปี้เอ๋อร์ถึงเพิ่งพบว่าในห้องรกมาก ม้วนกระดาษซ้อนกัน กล่องที่ถูกเปิดออกก็ถูกกองอยู่บนพื้นและยังมีขี้เถ้าที่ถูกไฟไหม้
แท้ที่จริงแล้ว เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมคุณหนูใหญ่ถึงสูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะหนึ่ง? สิ่งใดที่ทำให้คุณหนูเสียสติได้?
ฉงนใจแต่กระนั้น นางก็รู้ว่านางควรจะทำความสะอาดห้องก่อน
ปี้เอ๋อร์ตามชุนรุ่ยและชิวเหอมาทำความสะอาดห้อง ชุ่ยเอ๋อร์ที่หลบหลีกตลอดทั้งบ่ายก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน “อาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท องค์หญิงซาเหรินและหมอเทวดามาเยือน”
“อะไรนะ?” ปี้เอ๋อร์ใ ทำไมถึงมาที่นี่เอาป่านนี้ล่ะ? ตอนนี้ที่จวนของฮูหยินหลิงยังมีการแสดงไม่ใช่หรือ? แต่ทำไมแม้กระทั่งองค์หญิงก็มาที่นี่ด้วย?
สิ่งที่ปี้เอ๋อร์ไม่รู้ก็คือ เป้ยหนิงมองหาโอกาสที่จะมาหามู่หรงฉิงอย่างเปิดเผยมาโดยตลอด และวันนี้ หลังจากที่ได้ฟังมู่หรงฉิงบรรเลงกู่ฉิน ประการที่หนึ่ง นางอยากฟังอีกหน และประการที่สอง นางก็พบเหตุผลอันสมควรที่จะเดินทางมาจวนเฉิน นางย่อมแจ้นมาที่นี่ทันทีที่พบโอกาส
สำหรับหมอเทวดานั้น ที่ไหนสนุก เขาก็ไปที่นั่นกอปรกับหลิงชิงป๋อยังคงพึมพำข้างใบหูของเขาซ้ำๆ หลายหน โดยบอกว่าฮูหยินน้อยเฉินคล้ายกับเพื่อนเก่าและ้ามาเยี่ยมด้วยกัน
“ฮูหยินน้อย นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ชุ่ยเอ๋อร์เข้ามาในห้องและรับรู้ทันทีว่าบรรยากาศแปลกประหลาด พริบตานางได้เห็นมู่หรงฉิงหน้าซีด นอนอยู่บนเตียง เปลือกตาของนางถึงกับกระตุก หัวใจลอบพูดพึมพำ เป็ไปได้หรือไม่ว่าคุณชายรองคลุ้มคลั่งอีกหน และทำให้ฮูหยินน้อยหมดสติไป?
“รีบกลับไปบอกองค์หญิงเร็วๆ เข้า โดยบอกว่าตอนนี้ฮูหยินน้อยไม่สะดวก…”
“ไม่สะดวกอะไรหรือ? ข้าอยู่นี่แล้ว เ้าจะไล่ข้ากลับไปหรืออย่างไร?”
ก่อนที่คำพูดของปี้เอ๋อร์จะจบลง เสียงของเป้ยหนิงก็ดังแทรกเข้ามา ชั่วครู่ถัดมานางก็ะโเข้ามาในห้อง “ข้าบอกแล้วว่าข้าอยากจะสร้างความประหลาดใจให้มู่หรงฉิง เ้ารายงานทำไมหรือ? แล้วมู่หรงฉิงล่ะ นาง... หือ? ทำไมนางถึงหลับอยู่ล่ะ?” เป้ยหนิงพูดพล่ามพลางเดินเข้ามาในห้องด้านใน ครั้นเห็นมู่หรงฉิงที่นอนอยู่บนเตียงในสภาพที่ไม่ดีนัก นางก็เปล่งเสียงอุทานอย่างแปลกใจ และหลังจากที่นางรับรองได้ว่าคนบนเตียงคือมู่หรงฉิง นางก็เร่งฝีเท้าเข้าไปหา ใบหน้าของมู่หรงฉิงซีดขาวเป็สาเหตุให้นางต้องรีบยื่นมือเพื่อตรวจชีพจรของอีกฝ่าย
เดิมทีเฉินเทียนหยูวิตกกังวลเป็อย่างมาก กระทั่งจ้าวจื่อซินที่บอกว่า้าดูอาการ เขาก็ไม่เต็มใจที่จะให้จ้าวจื่อซินเข้าใกล้มู่หรงฉิงแม้แต่ครึ่งก้าว เวลานี้เมื่อเห็นเป้ยหนิงเข้ามา เขาก็ผลักเป้ยหนิงออกไปทันทีด้วยท่าทางประดุจแม่ไก่ปกป้องลูกไก่ ทั้งยืนขวางอยู่ด้านหน้าเตียง “เ้าเป็ใคร? ไปให้พ้น อย่าแตะต้องน้องหญิง”