“ไท่เฟย เกรงว่ามาพูดเอาตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว ซูจิ่นซีรับปากต่อเบื้องพระพักตร์เสด็จพ่อนางยินยอมให้ควบคุมจวนโยวอ๋องและหนานย่วนทั้งหมด หากนางไม่ยอมรักษาหรือรักษาไม่ดีพอจวนโยวอ๋องและหนานย่วนก็จะถูกตัดสินลงโทษทั้งคู่! ” ไท่จื่อกล่าว
เื่เหล่านี้ เฉินไท่เฟยล้วนทราบดีอยู่แล้วก่อนจะเข้าวัง ในเวลานี้นางจึงโกรธจนหน้าเขียวไปหมด
“ฝ่าา ตอนนี้ซูจิ่นซีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจวนโยวอ๋องและหนานย่วนอีกต่อไปเยี่ยโยวเหยาได้หย่ากับนังซูจิ่นซีโง่นั่นแล้ว นางคิดจะทำสิ่งใดทำผิดเื่ใดก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเยี่ยโยวเหยาและหม่อมฉันอีกต่อไป” พูดแล้วเฉินไท่เฟยก็คว้าแขนเสื้อของเยี่ยโยวเหยา “โยวเหยา เ้ารีบบอกฝ่าาไปสิ! ”
เยี่ยโยวเหยาประสานมือไพล่ไว้ด้านหลัง เขายืนอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าเ็าไม่มองผู้ใด ราวกับรูปปั้นที่เ็า และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ฟังเสียงของเฉินไท่เฟยเลย
เฉินไท่เฟยเริ่มกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว “โยวเหยาเ้าพูดสิ! ”
ทันใดนั้นประตูห้องด้านในของฮองเฮาก็เปิดออกเสียงดัง "แอ๊ด" พร้อมกับซูจิ่นซีที่เดินออกมา
สิ่งแรกที่นางเห็นคือแผ่นหลังที่แข็งแกร่งสูงใหญ่และเย็นเยือกของเยี่ยโยวเหยาภายในใจของนางไม่สามารถบอกได้ว่ารู้สึกอย่างไร
“ซูจิ่นซี เ้ามันตัวโชคร้าย เหตุใดเ้าถึงได้ไร้ยางอายเช่นนี้? พึ่งจะเข้ามาในตระกูลได้ไม่กี่วัน เ้าถึงกลับกล้าเอาข้ากับเยี่ยโยวเหยาเป็ประกันเชียวหรือเ้าไม่รู้เลยหรือว่าความสามารถของตนมีมากน้อยเพียงใด? ”
เมื่อสายสืบในวังของเฉินไท่เฟยมารายงานให้ฟังว่าซูจิ่นซีอยู่ที่ตำหนักจ้งหวานางก็รีบเข้าวังหลวงในทันที ความโกรธของนางราวกับไฟที่ไม่อาจดับได้ ตอนนี้ความโกรธยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีกเฉินไท่เฟยไม่สนใจภาพลักษณ์ที่ต้องรักษาไว้เบื้องหน้าทุกคนอีกต่อไป
“เสด็จแม่ ฟังหม่อมฉันพูดก่อนเพคะ เื่ไม่ได้เป็ไปตามที่ท่านคิด แท้จริงแล้วอาการของฮองเฮาหม่อมฉันก็... ”
ซูจิ่นซีอยากจะบอกว่านางได้ตรวจโรคของฮองเฮาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมั่นใจว่าจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ทว่าเฉินไท่เฟยไม่ให้โอกาสซูจิ่นซีได้พูดเลย
“ซูจิ่นซี เ้าขอประทานอภัยโทษฝ่าากับไท่จื่อเดี๋ยวนี้ บอกไปว่าอาการป่วยก่อนหน้านี้ของเ้ากำเริบดังนั้นจึงได้เอ่ยวาจาไร้สาระออกไป ข้าเชื่อว่าฝ่าาและไท่จื่อจะเข้าพระทัยในสถานการณ์ของเ้าและไม่ลงโทษเ้าจากนั้นเ้าก็กลับไปกับข้าและโยวเหยา และั้แ่นี้เป็ต้นไปก็คิดเสียว่าเื่นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
กระไรนะ?
ให้ซูจิ่นซีขอประทานอภัยโทษฮ่องเต้กับเยี่ยเซิน และยังให้ยอมรับว่าโรคโง่ๆของตนเองกำเริบถึงได้ยอมรับปากเื่ที่จะรักษาฮองเฮา?
นี่เป็ไปได้อย่างไร?
ไม่ต้องพูดถึงเื่ที่ซูจิ่นซีไม่ได้โง่เลยแม้แต่น้อยนางตกลงกับฮ่องเต้และไท่จื่อในภาวะที่จริงจัง แม้ว่านางจะโง่ นางก็ไม่โง่ถึงขนาดที่จะต้องขอประทานอภัยกับไท่จื่อนั่นมันเป็เื่ที่ทำให้คนอับอายขายหน้าไปถึงบ้านของตนเองเลยทีเดียว
“เสด็จแม่ หม่อมฉันได้ตัดสินใจเื่นี้ไว้แล้ว ท่านอย่ากังวลไปเลยอาการป่วยของฮองเฮา หม่อมฉันได้คำนวณไว้ในใจแล้วเพคะ”
“ซูจิ่นซี เ้าคิดว่าเ้าเป็หมอเทวดาที่ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ?แม้แต่พ่อของเ้า หัวหน้าหมอหลวงซูยังไม่มีวิธีรักษาโรคในใจของเ้าจะสามารถคำนวณไว้แล้วได้อย่างไร? วันนี้หากไม่กลับไปกับข้าและโยวเหยาต่อจากนี้เ้าก็ไม่ใช่ลูกสะใภ้ของข้าอีกต่อไปไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าและโยวเหยาอีก เ้าจะกลับหรือไม่กลับไปกับข้า? ”
แม้ว่าซูจิ่นซีจะมีความสามารถรักษาขาที่ใกล้ตายของเฉินไท่เฟยให้หายเป็ปกติได้เหมือนเดิมทว่าเฉินไท่เฟยยังคงไม่ยอมเชื่อว่าซูจิ่นซีจะสามารถรักษาฮองเฮาได้ การนำนางและเยี่ยโยวเหยามาเป็ตัวประกันในเื่เช่นนี้ไม่ตลกเลยสักนิดฮ่องเต้จ้องมองไปที่ศีรษะของพวกเขาแม่ลูกเป็เวลานาน
ท่าทางของเฉินไท่เฟยมั่นคงและความหมายของนางชัดเจนมากหากซูจิ่นซีไม่กลับไปกับนาง นางก็จะให้เยี่ยโยวเหยาหย่ากับซูจิ่นซี
ทว่าเื่นี้ เยี่ยโยวเหยาไม่แสดงท่าทีอันใดออกมาแม้แต่น้อย!
ซูจิ่นซีไม่ได้ตอบกลับเฉินไท่เฟย ทว่านางมองไปทางเยี่ยโยวเหยารอคำตอบของเยี่ยโยวเหยาเท่านั้น
ทว่าเยี่ยโยวเหยาก็ยังคงเป็เช่นเดิม เขายืนหันหลังให้ซูจิ่นซีและมองออกไปด้านนอกตำหนักจ้งหวาไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ และไม่รู้เลยว่าเขาเห็นซูจิ่นซีมองมาหรือไม่
เว่ยเหม่ยเจียที่ยืนอยู่ด้านหลังของเฉินไท่เฟย นางแทบจะไม่พูดอันใดเลยั้แ่เข้าประตูมาแต่จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า
“พี่สะใภ้ ท่านสร้างเื่ให้เสด็จพี่อีกแล้ว แม้เสด็จพี่จะตามใจท่าน แต่ท่านก็ไม่ควรก่อความวุ่นวาย! ท่านเชื่อฟังคำของเสด็จป้าแล้วกลับไปกับพวกเราเถิด! เพียงยอมจำนนเองไม่ใช่หรือ? หรือว่าความภูมิใจและความเย่อหยิ่งในใจของท่านสำคัญจนเทียบไม่ได้กับชีวิตของเสด็จป้าและเสด็จพี่ใช่หรือไม่? ”
กลยุทธ์ขั้นสูงสุดของดอกบัวขาว [1] คือการฆ่า แม้ว่าเมื่ออ้าปากพูดจะไม่นำประโยชน์อันใดเหมือนเป็ศัตรูกับเ้าทว่าการเคลื่อนไหวของนางสามารถใช้โจมตีจุดอ่อนของเ้าได้ซึ่งน่ากลัวกว่าการฆ่าเ้าโดยตรงเสียอีก
ทว่าซูจิ่นซีเกิดมาเพื่อเลี้ยงบัวขาวชนิดนี้โดยเฉพาะ
“น้องหญิง โชคดีที่เ้าทราบว่าเสด็จพี่ของเ้าโปรดปรานข้าเพียงเพราะว่าเขาตามใจข้า ข้าก็ยิ่งควรรู้ว่าความภูมิใจของเขาจะไม่สูญหายไปเกียรติของเขาจะต้องไม่ถูกละเมิด และเขาจะต้องไม่อับอาย ผู้ที่มาจากจวนโยวอ๋องคำพูดล้วนมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ ทำสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น อย่างไรก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนดูิ่จวนโยวอ๋องแล้วข้าจะทำให้เสด็จพี่ของเ้าอับอายได้อย่างไร? ”
เพียงหนึ่งประโยค ซูจิ่นซีก็อุดปากของเว่ยเหม่ยเจียได้สำเร็จ
เวลานี้นางไม่อยากฟังผู้ใดพูดทั้งนั้นนางเพียงอยากรู้ว่าเยี่ยโยวเหยาคิดอย่างไร จะใช่อย่างที่เฉินไท่เฟยคิดหรือไม่
ดังนั้นนี่จึงเป็ครั้งแรกที่ซูจิ่นซีไม่ได้คาดคิดเลยว่าตนเองจะใจกล้าถามเยี่ยโยวเหยาเช่นนี้
“ท่านอ๋อง ท่านจะยอมเชื่อหม่อมฉันหรือไม่เพคะ? ”
ท่านต้องเชื่อข้า ต่อให้ต้องแลกชีวิตของข้าเพื่อปกป้องจวนโยวอ๋อง ข้าก็ต้องทำให้ได้ข้าจะปกป้องเสด็จแม่ของท่านและจะไม่ทำให้ท่านเสียหน้า
เยี่ยโยวเหยา ท่านจะยอมเชื่อข้าหรือไม่?
ในเวลานี้ สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา รอคอยให้เยี่ยโยวเหยาตอบกลับซูจิ่นซีและตั้งตารอคำตอบของพวกเขาเช่นกัน เพราะพวกเขา้าแน่ใจว่าเยี่ยโยวเหยารักและโปรดปรานซูจิ่นซีจริงตามข่าวลือนั้นหรือไม่
ทว่าทุกนาทีทุกวินาทีผ่านไปแล้วเยี่ยโยวเหยาก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเลยสักนิด
ดูราวกับว่าเขาหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่พูดอันใดสักคำหากไม่ใช่เพราะเสื้อผ้าสีเข้มของเขาที่ปลิวไปตามสายลม ก็คงคิดว่าเขาเป็เพียงรูปปั้นเ็าที่ขยับไม่ได้
เยี่ยโยวเหยาเป็อันใดไป?
ปกติเขาไม่เป็เช่นนี้นะ
ความทะนงตน เยือกเย็น และไร้ความปรานี ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่โกรธทว่าอย่างน้อยผู้อื่นก็ยังสามารถััได้ถึงความเ็าและแรงกดดันที่ไม่เหมือนผู้ใดในตัวของเขาไม่ใช่การนิ่งเงียบเช่นนี้!
แววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของซูจิ่นซีค่อยๆ หม่นแสงลง หัวใจที่กระตือรือร้นของนางพลันเยือกเย็นลงทีละนิดเช่นกันดวงตาทั้งสองข้างของนางเจือไปด้วยความผิดหวัง ทันใดนั้น นางก็หัวเราะอย่างเ็า
เช่นนั้น ข้าจะคิดว่าใช่ก็แล้วกัน!
ระหว่างนางกับเยี่ยโยวเหยา แม้แต่การเคารพฟ้าดินก็ยังไม่มีตลอดเวลาที่ผ่านมานางเพียงฝืนทำต่อหน้าทุกคนแสร้งว่าระหว่างนางกับเยี่ยโยวเหยานั้นรักใคร่กลมเกลียวกัน นางเป็ที่โปรดปรานของเขาทว่าความจริงนั้นไม่มีอันใดเลย
ยิ่งไปกว่านั้น ในหัวใจของเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซีก็อาจไม่ได้ดีเทียบเท่ากับหนึ่งในลูกน้องที่ซื่อสัตย์ของเขาเสียด้วยซ้ำ
ระหว่างพวกเขาพึ่งจะรู้จักกันได้เท่าไรเชียว? นางมีสิทธิ์อันใดขอให้เยี่ยโยวเหยาเชื่อนาง?
“พระชายา! ”
เสียงของอวิ๋นจิ่นดังมาจากด้านหลัง
ซูจิ่นซีหันศีรษะกลับไปด้วยสายตาที่ผิดหวัง ทว่าเมื่อนางเห็นรอยยิ้มดั่งฤดูใบไม้ผลิเดือนสามของอวิ๋นจิ่นอีกครั้งนางก็รู้สึกราวกับเขากำลังพูดว่า ‘พระชายาแม้ว่าทุกคนจะไม่เชื่อท่าน ทว่าข้าเชื่อท่าน! ’
ในขณะนี้ บางอย่างในหัวใจของซูจิ่นซีเริ่มมั่นคงขึ้นแล้ว
แม้จะไม่ได้รับความเชื่อใจจากเยี่ยโยวเหยา แม้ว่าทุกคนจะคัดค้านทว่านางก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาโรคของฮองเฮา
ซูจิ่นซีไม่ได้หวังสิ่งอื่นใด นางเพียง้าพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนเองให้ทุกคนได้เห็นและเพื่อเอาชนะตนเองให้ได้
ทว่าในเวลานั้น ซูจิ่นซีคาดไม่ถึงว่าเสียงที่มาช้าของเยี่ยโยวเหยาจะดังขึ้น
“ซูจิ่นซี ยังไม่ไปอีก? ”
ไป?
ไปที่ใด?
ซูจิ่นซีหันศีรษะกลับทันทีด้วยท่าทางที่สับสน
......
เชิงอรรถ
[1] ดอกบัวขาวเป็คำสแลงซึ่งจะใช้ล้อเลียนหรือเปรียบเปรยผู้หญิงที่ภายนอกดูสะอาดบริสุทธิ์เหมือนกับดอกบัวแต่แท้จริงแล้วกลับมีพฤติกรรมที่ไม่ดีคิดแต่เื่ที่ไม่ดี