ธันวาปิดหน้าจอมือถือยัดลงกระเป๋าแล้วเดินวนอยู่หน้าห้องคลอดไปมา เพียงไม่นานนัก ก็มีถุงผ้าถุงหนึ่งถูกยื่นมาให้เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าคือเว่ยเอิน ธันวายื่นมือไปรับมาก่อนจะเปิดดูเพียงเล็กน้อย
“ไม่มีแบรนด์ ไม่แพงมาก แก้ขัดพอได้ ใส่ไปก่อนแล้วกัน”
“ขอบใจนะ”
“ไปเปลี่ยนเถอะ เดี๋ยวที่เหลือฉันดูเอง”
“ฝากด้วยนะ”
เว่ยเอินพยักหน้ารับเบา ๆ ธันวาก็รีบจ้ำอ้าวเดินไปห้องน้ำทันที เว่ยเอินเดินวนไปมาหน้าห้องคลอดเพื่อรอข่าวดี แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีใครออกมาเลยสักคน เธอหยิบมือถือมาดูข้อความก็เห็นว่าปอร์เช่เองกำลังบินมาด้วยเครื่องบินส่วนตัว เธอจึงปิดจอมือถือแล้วเก็บลงกระเป๋าทันที
“เป็ยังไงบ้าง ยังไม่ออกมาหรอ”
“ยังเลย”
“ทำไมเธอดูตื่นเต้นขนาดนี้”
“ทำอย่างกับนายไม่ตื่นเต้น”
“ก็ไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่นะ”
เพียงไม่นานประตูห้องคลอดก็ถูกเปิดออกโดยมีกลุ่มคุณหมอเดินออกมาสามสี่คน ทั้งคู่รีบวิ่งเข้าไปหาคุณหมอทันที
“คุณหมอคะ คนไข้ที่เพิ่งเข้าไปเป็ยังไงบ้างคะ คลอดหรือยังคะ”
“คุณแม่ยังไม่คลอดนะคะ ปากมดลูกยังไม่เปิด”
“เธอเป็ยังไงบ้างคะ”
“ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็ห่วงแล้วค่ะ แต่เบื้องต้นอายุครรภ์ยังไม่ถึงกำหนด คลอดออกมาเด็ก ๆ อาจจะต้องเข้าตู้อบก่อนนะคะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
เวลาผ่านไปเกือบสามชั่วโมงก็ไม่มีท่าทีว่าเธอจะคลอด ทั้งธันวาและเว่ยเอินเองก็สลับกันลุกนั่ง วนอยู่หน้าห้องคลอด และไม่มีท่าทีจะคลอดง่าย ๆ ยิ่งทำให้เว่ยอินและธันวารู้สึกกังวลเพิ่มขึ้น
“ไอ้ธัน”
“มาสักที”
“กอหญ้าเป็ไงบ้าง นานแล้วนะยังไม่คลอดอีกหรอ”
“ยังเลย”
“คุณเป็ใครคะ”
“อ่อ..คนนี้เว่ยเอินที่เคยเล่าให้ฟัง..ส่วนนี่ราชันย์”
“สวัสดีครับ”
ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้ทำความรู้จักกัน ก็มีกลุ่มคุณหมอสามสี่คนรีบวิ่งมาที่หน้าห้องคลอด ทำให้ราชันย์เองก็ใไปด้วยเขาคว้าข้อมือของหมอผู้ชายคนหนึ่งเอาไว้
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“คุณแม่มีภาวะครรภ์เป็พิษครับ หมอขอตัวก่อนนะครับ”
“ผมเป็สามีของเธอขอเข้าไปได้ไหมครับ”
“ได้ครับแต่ขอคุณพ่อเข้าไปสวมชุดฆ่าเชื้อก่อนนะครับ..พยาบาลจัดการด้วย”
พยาบาลพาราชันย์เข้ามาสวมชุดฆ่าเชื้อและทำความสะอาดตามนโยบายของโรงพยาบาลก่อนจะพาเขาเดินเข้ามาในห้องคลอด ราชันย์เห็นเตียงที่กอหญ้านอนทำใบหน้าเหยเกยอยู่ด้วยความเ็ปก็รีบวิ่งที่ข้างเตียงทันที เธอมองเห็นราชันย์ก็ร้องไห้ออกมาโดยที่เธอเองไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เช่นกันเธอมีทั้งความรู้สึกกลัว กังวล และรู้สึกโล่งใจที่เห็นหน้าราชันย์ เป็ความรู้สึกที่เรียกได้ว่าบอกไม่ถูกปนเปกันไปหมด ฝ่ามือหนาของราชันย์ทำได้แต่กุมมือของเธอเอาไว้ เป็การให้กำลังใจแบบที่สามารถทำได้ในตอนนี้
“พ่อมาแล้ว อย่าทรมานแม่เลย ออกมาเถอะ”
“กอหญ้าใจเย็นนะตั้งสติ หายใจเข้า หายใจออกช้า ๆ”
"อือออ"
“อดทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็ได้เห็นหน้าลูกแล้ว”
"อือออ"
"หายใจเข้า หายใจออกช้า ๆ นะกอหญ้า"
"อื้อ!!"
ราชันย์พูดไปลูบท้องของเธอที่ถูกแปะด้วยเครื่องมือแพทย์มากมาย เขาััได้ถึงแรงถีบจากด้านในเป็ระยะ เสียงเครื่องวัดคลื่นหัวใจของลูกก็ดังให้ได้ยินตลอด เป็เสียงที่เขาได้ยินแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เพียงไม่นานนักพยาบาลก็แจ้งว่า เธอกำลังจะคลอดแล้วหัวเด็กออกมาแล้ว ทำให้คุณหมอมากมายวิ่งกรูกันเข้ามาที่ข้างเตียงเธอทันที
ราชันย์เองก็ยิ่งทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนกำมือของเธอแน่น กอหญ้าเองก็จับมือเขาไว้แน่น ความเจ็บท้องแล่นเข้ามาหาเธอเป็ระยะ แต่ก็ยังมีราชันย์ที่คอยให้กำลังใจอยู่ ไม่มีการพูดคุย แต่รับรู้ได้ว่าเธอเองไม่ได้อยู่คนเดียว
เวลาผ่านไปเพียงชั่วอึดใจเท่านั้นเสียงเด็กเล็กร้องอ้อแอ้ก็ดังไปทั่วห้องคลอด คุณหมอแจ้งว่าเขาได้ลูกผู้ชาย ราชันย์ยังไม่ทันได้หุบยิ้มก็ต้องตาโตเข้าไปอีกเมื่อคุณหมออุ้มอีกคนมาให้ดูซึ่งเป็ผู้หญิง ราชันย์กุมมือกอหญ้าแน่นยิ้มให้เธอทั้งน้ำตา เธอยิ้มบางอย่างอ่อนหวานก่อนที่เธอจะรู้สึกว่าเปลือกตาของเธอหนักอึ้งจนแทบจะลืมไม่ขึ้น
"กอหญ้า เราได้ลูกแฝด"
ถึงแม้กอหญ้าเองจะไม่ได้ตอบอะไร แต่ใบหน้าของเธอก็เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะหลับตาลง
พยาบาลแจ้งว่าเด็กคลอดก่อนกำหนดหนึ่งเดือนต้องอยู่ในตู้อบ และขอให้ราชันย์ออกมาจากห้องคลอดก่อน เมื่อราชันย์เดินออกมาจากห้องคลอดก็พบว่าหน้าห้องคลอดมีคนเพิ่มมา ปอร์เช่ที่ยืนนิ่ง ๆ จ้องหน้าเขาอยู่นั้นไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาแม้แต่คำเดียว แต่สายตาก็ไม่ได้เป็มิตรสักเท่าไหร่เช่นกัน
“นายมาได้ยังไง”
“เมียฉันคลอดลูก ฉันก็ต้องมาสิ”
“ฉันเคยบอกแล้ว ว่านี่คือลูกฉัน”
“แต่ฉันมั่นใจว่าคือลูกฉัน”
“ที่นี่โรงพยาบาลอย่าเพิ่งเถียงกันเลยค่ะ พี่กอหญ้าเป็ไงบ้างคะ”
“คลอดแล้วได้ผู้หญิงและผู้ชาย ผิวขาวจั๊วะ แก้มยุ้ย ผมดำดกมากแขนขานี่เป็ป้อง ๆ”
“พี่กอหญ้าอดทนมาตั้งหลายชั่วโมง แต่มาคลอดตอนคุณเข้าไปในห้องคลอดเนี่ยนะ”
“ทำไงได้ ลูกของฉัน ก็เชื่อฟังฉันเป็เื่ปกติ”
“แล้วเธอจะออกมาเมื่อไหร่ราชันย์”
“คุณหมอให้ออกซิเจนสักพักน่าจะออกมาได้ ไอ้ธันไปจัดการเื่ห้องพักให้ด้วย เอาที่ดีที่สุดของที่นี่”
“อืม ... เธอจะไปกับฉันไหมยัยเปี๊ยก”
“ฉันไปแล้วสองคนนี้จะตีกันตายไหม”
“ไว้ใจเขาเถอะ เขาโต ๆ จนหมาเลียดากไม่ถึงละ”
“งั้นก็ดีเลยฉันไปด้วย”
