ข้างหูมีเสียงท่านฟางลอยมา “เถ้าแก่ เถ้าแก่? ”
ซูมู่เจ๋อหันศีรษะไปมองท่านฟาง “มีเื่อะไร? ”
ท่านฟางกล่าวขึ้นอย่างปวดใจ “ท่านจะปล่อยเขาไปเช่นนี้จริงๆ หรือขอรับ? เงินพวกนี้เป็จินว่านหลี่ที่ติดค้างพวกเรา พนันกันแค่ตาเดียวก็ไถ่ถอนหมดสิ้นเช่นนี้ คงไม่ดีกระมัง? ”
ขอแค่ซูมู่เจ๋อพูดออกมาคำเดียว ท่านฟางพร้อมจะนำชายกำยำทั้งหลายไปล้อมเยว่เฟิงเกอไว้
เขาไม่อยากปล่อยอีกฝ่ายไปง่ายๆ เช่นนี้
ซูมู่เจ๋อถลึงตามองท่านฟางอย่างดุร้าย กล่าวด้วยเสียงขุ่นเคือง “เ้ายังขายหน้าไม่พออีกหรือ? ”
ท่านฟางถูกซูมู่เจ๋อตอกย้ำเช่นนี้ ก็ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจยิ่ง
เขาไปทำเวรทำกรรมกับใครไว้กัน คนคนนั้นเข้ามาครั้งแรกก็เอาชนะเขาได้ติดๆ กันสามตา
ซ้ำร้ายอีกฝ่ายยังโกงกันเห็นๆ คนว่องไวยิ่งกว่าตัวเขา ทำเอาเขาโกรธจนทนไม่ไหวจึงมาร้องหาความยุติธรรมกับซูมู่เจ๋อด้วยคิดว่าจะอย่างไรคนก็เป็ถึงเถ้าแก่แห่งโรงพนันว่านจิน ทั้งยังเป็พี่ใหญ่แห่งโลกพนัน ซูมู่เจ๋อต้องชนะอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
พอชนะแล้ว เขาจะได้เอาเงินเ่าั้คืนมา
แต่ผลลัพธ์กลับทำให้คนตาแทบถลน ซูมู่เจ๋อไม่เพียงพ่ายแพ้ไม่เป็ท่า ซ้ำยังปล่อยอีกฝ่ายไปอย่างง่ายดายอีกด้วย
นี่ไม่ใช่นิสัยของซูมู่เจ๋อเลย
เมื่อซูมู่เจ๋อเห็นว่าท่านฟางยังคิดจะพูดอะไรต่อ ก็ผุดลุกขึ้นยืน กล่าวกับท่านฟางว่า “เ้าจะรู้อะไร เล่นไพ่ของเ้าไปเถอะ”
ซูมู่เจ๋อพูดจบก็เดินกลับห้องของตน ปิดประตูดังปัง ปฏิเสธการพบปะกับทุกคน
ท่านฟางมองซูมู่เจ๋อกลับไปยังห้องของตนด้วยดวงตาเหม่อลอย ก่อนจะหันศีรษะกลับมามองยอดเงินในบัญชีที่ถูกขีดฆ่าไปทั้งหมดด้วยความเ็ป
เขาโยนสมุดบัญชีให้ชายกำยำคนหนึ่ง คิดจะเล่นต่อ
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาทุนคืนมาจากคนอื่นให้ได้
หลังจากเยว่เฟิงเกอออกไปจากโรงพนันว่านจินพร้อมตั๋วเงินมากมายที่เก็บไว้ในอกเสื้อ นางก็รู้สึกไม่วางใจเล็กน้อย เกรงว่าจะทำเงินจำนวนนี้หล่นหาย
อีกทั้ง ตัวนางไม่คุ้นเคยกับถนนเส้นนี้มากนัก จึงคิดจะหาร้านรับฝากเงินสักแห่ง แล้วนำเงินจำนวนนี้ไปฝากไว้ก่อน วันหน้าหากมีเื่ให้ต้องใช้ก็ค่อยมาเบิกไป
นางหันศีรษะไปมองจินว่านหลี่ที่อยู่เื้ั “แถวนี้มีร้านรับฝากตั๋วเงินหรือไม่? ”
จินว่านหลี่เห็นว่าเยว่เฟิงเกอหันมาสนทนากับตนแล้วก็รีบเข้าไปประจบสอพลอทันที “มีร้านรับฝากตั๋วเงินขอรับ ข้าจะนำทางไปเดี๋ยวนี้”
จินว่านหลี่พูดพลางรีบร้อนเดินนำทางไปทันที
เยว่เฟิงเกอเดินตามจินว่านหลี่ไปบนถนนที่ทอดยาว จากนั้นเลี้ยวหนึ่งครั้ง ในที่สุดก็มาถึงร้านแห่งหนึ่ง ด้านหน้าของร้านนั้นแขวนป้ายที่เขียนตัวอักษรไว้สามคำว่า ‘ซื่อสัตย์เงินตรา’
เยว่เฟิงเกอเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในร้าน ด้านในมีคนอยู่แค่คนเดียว ซึ่งคนผู้นั้นกำลังนั่งนับเงินอยู่หลังโต๊ะยาว
นางยืนห่างจากคนผู้นั้นประมาณหนึ่งเมตร เหล่ตามองตั๋วเงินที่อีกฝ่ายกำลังนับอยู่ด้วยท่าทีสบายๆ เงินตรงหน้าเขาไม่น้อยเลย คาดว่าน่าจะมีประมาณพันตำลึง
เมื่อคนคนนั้นนับตั๋วเงินเสร็จ เยว่เฟิงเกอถึงได้นั่งลงตรงข้ามเขาที่อีกฝั่งของโต๊ะยาว
นางเหลือตั๋วเงินไว้ห้าร้อยตำลึง ส่วนเงินที่เหลือที่ชนะมาได้ส่งให้ผู้จัดการร้านที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวทั้งหมด
ผู้จัดการร้านนับตั๋วเงินอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มนับเศษเหรียญเสียงดังเกรียวกราวต่อ
เมื่อนับเสร็จถึงได้เลิกเปลือกตาขึ้น เอ่ยถามนาง “จะฝากทั้งหมดนี้เลยหรือ? ข้าขอบอกท่านไว้ก่อนนะ หากจะฝากตั๋วเงินและเศษเหรียญจำต้องเสียค่ามัดจำเงินฝากเล็กน้อย”
เยว่เฟิงเกอมองผู้จัดการร้านที่เป็ตาแก่เคราขาวยาว
นี่เป็ครั้งแรกที่นางฝากเงินในยุคโบราณจึงอดถามไถ่รายละเอียดไม่ได้ “ต้องใช้เงินเท่าใด”
ผู้จัดการร้านยื่นมือมาตรงหน้าเยว่เฟิงเกอ กางนิ้วห้านิ้ว “ต้องใช้เงินห้าตำลึง”
เยว่เฟิงเกอพยักหน้ากล่าวว่า “ได้ หักเงินออกไปห้าตำลึง ที่เหลือฝากทั้งหมด”
ผู้จัดการร้านเปิดกล่องไม้เล็กๆ ด้านหลังออก เมื่อหยิบเงินห้าตำลึงมาจากกองเศษเงินแล้ว ก็เก็บตั๋วเงินและเศษเงินที่เหลือลงไปในกล่องไม้นั้นแล้วจึงใส่กุญแจ
ผู้จัดการร้านส่งกุญแจให้เยว่เฟิงเกอ “ท่านเก็บสิ่งนี้ไว้ ้าใช้เงินเมื่อใดก็นำกุญแจดอกนี้มา เพียงเท่านี้ท่านก็จะสามารถถอนเงินไปได้แล้ว ดังนั้น กุญแจดอกนี้ ท่านต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี หากหายไป ข้าไม่รับผิดชอบนะ”
เยว่เฟิงเกอรับกุญแจมาแล้วเดินออกจากร้านซื่อสัตย์เงินตรา
เมื่อครู่จินว่านหลี่เห็นแล้วว่าเยว่เฟิงเกอเหลือเงินติดตัวไว้ห้าร้อยตำลึง เขาแอบเบิกบานในใจพลางคิดอยู่กับตัวเองว่าเงินห้าร้อยตำลึงนั้นคงเหลือไว้ให้เขา
เยว่เฟิงเกอพาจินว่านหลี่มาถึงประตูหลังของจวนจั้นอ๋อง
เมื่อนางเปิดประตูแล้วก็เดินก้าวยาวๆ เข้าไปทันที
จินว่านหลี่ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ดูจากความหรูหราของสิ่งปลูกสร้างแล้วก็พอจะเดาได้ว่าต้องเป็บ้านของผู้มีอันจะกินอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงว่าอีกฝ่ายเป็คุณชายจากตระกูลมีอันจะกิน คนซื้อตัวเขาไว้ทั้งวัน ฉับพลันนั้นส่วนนั้นของเขาก็เริ่มเครียดเขม็งอีกครั้ง
เยว่เฟิงเกอเดินไปไม่กี่ก้าวก็รู้สึกได้ว่าเื้ัไม่มีความเคลื่อนไหวใด นางหันศีรษะไป และเห็นว่าจินว่านหลี่ยังคงหยุดยืนอยู่นอกประตู ชะเง้อคอยาวเข้ามาดูสถานการณ์ภายใน
“ยังมัวอึ้งอะไรอยู่ ยังไม่รีบเข้ามาอีก” เยว่เฟิงเกอหมดความอดทนกับจินว่านหลี่แล้ว น้ำเสียงที่ใช้พูดกับอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนเป็เ็า
จินว่านหลี่ใจนหัวหด เขาไม่อยากก้าวผ่านประตูบานนี้ไปจริงๆ
เขากลัวว่าเข้าไปแล้วจะไม่ได้ออกมาอีก
เพียงแต่ตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงในยามนี้ยังคงอยู่ในอกเสื้อของเยว่เฟิงเกอ ซึ่งเขาจินว่านหลี่้ามันมาก
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่อาจฝืนทนต่อความยั่วยวนของเงินห้าร้อยตำลึงได้ จึงก้าวเข้าไปในจวนจั้นอ๋อง
เยว่เฟิงเกอเห็นจินว่านหลี่เข้ามาแล้ว ก็หมุนกายมุ่งหน้าไปยังเรือนเยว่เหยา
ระหว่างทางมีคนรับใช้มากมายเห็นเยว่เฟิงเกอเดินนำจินว่านหลี่เข้ามา พวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่านี่คือเยว่เฟิงเกอที่ปลอมตัว และเพียงคิดว่าคนเป็สหายของท่านอ๋อง จึงไม่ได้สนใจมากนัก
ตอนที่นางเดินมาถึงเรือนเยว่เหยาก็เห็นฉิงเอ๋อร์และชิงจื่อกำลังสนทนากันอยู่ในสวน
คนทั้งสองได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็พากันมองมาทางเยว่เฟิงเกอ
โชคดีที่พวกนางต่างรู้อยู่แล้วว่าพระชายาปลอมตัวเป็บุรุษ มิเช่นนั้นคงได้คิดไปว่าคุณชายหล่อเหลาอายุน้อยผู้หนึ่งบุกรุกเข้ามาในเรือนส่วนตัวของพระชายา
“พระชายา ทรงกลับมาแล้วหรือเพคะ” ฉิงเอ๋อร์ยิ้มแย้มวิ่งมาหา
แต่เมื่อเหลือบเห็นชายที่ตามหลังเยว่เฟิงเกอมา รอยยิ้มบนใบหน้าฉิงเอ๋อร์ก็ถึงกับแข็งค้างไป
ฉิงเอ๋อร์หัวใจเต้นตึกตัก เหตุใดบิดานางถึงมาที่นี่ เขาจะมาจับตัวนางกลับไปหอชมบุปผาหรือ?
“ท่านพ่อ ท่านมาได้อย่างไร” ฉิงเอ๋อร์จับชายเสื้อสองข้างแน่น ถามอย่างกลัวๆ
ยามที่จินว่านหลี่เห็นฉิงเอ๋อร์ สีหน้าเขาก็ไม่น่ามองขึ้นมาทันที
แรกเริ่มเขาใที่ฉิงเอ๋อร์อยู่ในจวนของคุณชายท่านนี้ เพียงแต่หลังจากนั้นกลับหงุดหงิดที่คนถูกไถ่ตัวออกมา แต่ไม่ยอมบอกเขาสักคำก็ติดตามผู้อื่นมาถึงนี่แล้ว ทำให้วันนี้เขาต้องปรนนิบัติพัดวีคุณชายท่านนี้ทั้งวัน
เื่นี้ต้องโทษนาง
จินว่านหลี่ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธจึงไม่ทันฟังว่าเมื่อครู่ฉิงเอ๋อร์เรียกเยว่เฟิงเกอว่าพระชายา
จินว่านหลี่ก้าวไปอยู่ด้านหน้าเยว่เฟิงเกอ เมื่อเผชิญหน้ากับฉิงเอ๋อร์แล้วก็ง้างมือจะตบนางทันที
ฉิงเอ๋อร์ใจนหลับตาปี๋ นางรอรับฝ่ามือที่กำลังจะฟาดลงมา
ทว่า ตอนที่มือของจินว่านหลี่กำลังจะััถูกใบหน้าของฉิงเอ๋อร์ มือหนึ่งของใครบางคนก็ยื่นมาคว้าจับมือเขาไว้
เยว่เฟิงเกอออกแรงบีบข้อมือจินว่านหลี่ ทำให้เขาเจ็บแปลบจนต้องร้องออกเสียง เขารู้สึกเหมือนข้อมือตนถูกคนบีบจนจะแหลกละเอียดแล้ว
“อยู่ในจวนข้า ยังกล้าบังอาจเช่นนี้” เยว่เฟิงเกอสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูโเี้เป็อย่างยิ่ง
จินว่านหลี่รีบขอความเมตตา “ข้าน้อยมิกล้าแล้ว ได้โปรดคุณชายรีบปล่อยมือข้าน้อยเถิดขอรับ”
เยว่เฟิงเกอถลึงตาใส่จินว่านหลี่อย่างดุร้าย ก่อนจะสะบัดมือเขาทิ้ง
จินว่านหลี่กุมข้อมือข้างที่ถูกบีบเมื่อครู่ไว้ ถลึงตาดุร้ายมองฉิงเอ๋อร์
นังเด็กบ้านี่ รอให้เขาได้เงินห้าร้อยตำลึงมาก่อนเถอะ เขาจะไถ่ตัวนางออกมา ถึงตอนนั้นดูสิว่าเขาจะจัดการนางอย่างไร
แน่นอนว่าเยว่เฟิงเกดสังเกตเห็นสายตาเ็าดุร้ายที่จินว่านหลี่ใช้มองฉิงเอ๋อร์ นางกล่าวเสียงเ็า “จินว่านหลี่ อย่าลืมว่าวันนี้ข้าซื้อตัวเ้าไว้แล้ว หากข้าสั่งให้เ้าทำสิ่งใด เ้าล้วนต้องทำ มิเช่นนั้นตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงนี้ เ้าก็อย่าคิดฝันว่าจะได้ไปแม้แต่อีแปะเดียว”
จินว่านหลี่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบหันไปค้อมเอวพยักหน้าด้วยท่าทีประจบสอพลออีกครั้ง
ฉิงเอ๋อร์เห็นสภาพรักเงินทองดังชีวิตของบิดาตน ใจนางก็ให้เจ็บแปลบ
“จินว่านหลี่ ข้าอยากให้เ้าขอโทษฉิงเอ๋อร์อย่างตั้งใจและเต็มใจ” เยว่เฟิงเกอกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ ไปหนึ่งประโยค แต่กลับทำให้จินว่านหลี่และฉิงเอ๋อร์อึ้งไป
“อะไรนะ ให้ข้าขอโทษนาง? เพราะเหตุใด? ” จินว่านหลี่ดึงสติกลับมาได้ ก็หันมองเยว่เฟิงเกอด้วยความตกตะลึง