หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเย่เิหลงก็ยิ้มจางๆ รอยยิ้มนั้นของนางสวยงามและน่าหลงใหลมาก
ในขณะเดียวกันหลัวเลี่ยก็รู้สึกว่าผีเสื้อแห่งรักจับมือของเขาแน่นขึ้น
“ที่แท้บนโลกนี้ก็ยังมีผู้ชายแบบเ้าอยู่” เย่เิหลงยิ้มเป็รูปพระจันทร์เสี้ยว และดวงตาของนางก็เปล่งประกายงดงาม “พวกเรามาร่วมมือกันเถิด”
“เ้าหมายความว่าอย่างไร” หลัวเลี่ยกล่าว
เย่เิหลงพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีวิธีที่จะค้นหาบุปผางามอาบพิษที่เหลืออยู่สามดอกนั้น พวกเรามาร่วมมือกัน ข้าจะเป็คนหาบุปผางาม และเ้าก็เป็คนจัดการทำลายมันเสีย และถ้ามีผลประโยชน์อื่นๆ พวกเราก็แบ่งปันกันอย่างเท่าเทียม”
หลัวเลี่ยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงตอบตกลง
เพราะเขาและผีเสื้อแห่งรักไม่สามารถหาวิธีค้นหาบุปผางามอาบพิษสามดอกนั้นได้ นี่ถือเป็เื่น่าปวดหัวที่สุดของพวกเขา
ในเมื่อตอนนี้เย่เิหลงสามารถค้นพบมันได้ นี่จึงเป็การแก้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา
เย่เิหลงหยิบพู่กันเวทออกมา
ในบรรดาสาวงามทั้งสาม มีเพียงเย่เิหลงเท่านั้นที่เป็นักเวท ส่วนหลิวหงเหยียนเป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ที่มีพลังอยู่ในระดับทลายยุทธ์ และจัวชิงหยิ๋งนั้นฝึกฝนทั้งวรยุทธ์และเวท แต่การฝึกฝนของนางจะเน้นไปที่วรยุทธ์มากกว่า ความสามารถทางด้านเวทมนตร์นั้นเป็เพียงตัวช่วยในการฝึกฝนวรยุทธ์เท่านั้น
พู่กันเวทในมือของเย่เิหลงวาดเส้นโค้งในอากาศ และขณะเดียวกันนั้นปากของนางก็เปล่งคาถาออกมาเบาๆ ลำแสงรวมตัวกันที่ปลายพู่กันเวท และค่อยๆ กวัดแกว่งไปมาก่อตัวเป็วงแหวนในอากาศ วงแหวนในอากาศนี้ขยายตัวอย่างเงียบๆ และสลายไปในระยะไกล
นี่เป็วิชาเวทที่มีความวิเศษ
มันสามารถช่วยค้นหาสิ่งที่ผู้ร่ายคาถา้าผ่านทางอากาศ
ประมาณสองเค่อต่อมา เย่เิหลงก็หยุดร่ายคาถานี้ นางปาดเหงื่อออกจากหน้าผากและชี้ไปทางด้านหน้าขวา “ไปทางนั้น”
ทั้งสามคนเดินไปตามทางที่นางบอก
และเมื่อพวกเขาเดินผ่านบริเวณที่มีคนอยู่มากมายนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังอยู่ข้างใน
ความโกลาหลที่เกิดขึ้นนี้เป็เพราะเฟ้ยเชียนที่กลายเป็ขุนพลอสูร ทั้งๆ ที่เขาได้รับเวทชำระล้างจิตใจไปแล้ว สิ่งนี้ทำให้ผู้คนเริ่มหวาดระแวงบุคคลที่อยู่ข้างๆ จนทำให้เกิดเป็ความขัดแย้งกัน
ทั้งสามคนไม่มีใครสนใจเื่นี้
พวกเขายังคงเดินต่อไปอย่างระมัดระวัง แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีผู้คนหลั่งไหลมาจากทุกทิศทุกทาง
สุดท้ายจำนวนคนจะต้องเกินหนึ่งล้านคนอย่างแน่นอน
เนื่องจากเย่เิหลงเป็เพียงนักเวทระดับรู้แจ้งระดับที่สิบ นางยังอยู่ห่างจากนักเวทระดับเปล่งรัศมีเล็กน้อย จึงไม่ใช่เื่ง่ายสำหรับนางที่จะร่ายคาถาพิเศษ นางจึงทำผิดพลาดบ้างเป็ครั้งคราว
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขาเคลื่อนที่ได้ช้ามาก
สองวันต่อมา หลังจากที่เย่เิหลงร่ายคาถามากกว่าสี่สิบครั้ง ในที่สุดนางก็สามารถก็ระบุตำแหน่งของบุปผางามอาบพิษที่เหลืออีกสามดอกได้
ทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นมองตำแหน่งของบุปผางามอาบพิษด้วยอารมณ์ที่ต่างกัน
ที่นี่...คือบนยอดเขาแห่งคุกอนธการ!
ยอดเขาที่ถูกกั้นไว้ด้วยบันไดร้อยขั้น ซึ่งในประวัติศาสตร์ไม่มีใครที่สามารถปีนขึ้นไปได้
หลัวเลี่ยที่ตอนนี้ยืนอยู่บริเวณเชิงเขารู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
ก่อนหน้านี้หลัวเลี่ยคิดว่าจะพัฒนาตัวเองให้พลังวรยุทธ์ถึงระดับสูงสุดของระดับที่เก้าก่อน แล้วจะลองขึ้นไปบนยอดเขาอีกครั้ง แต่ตอนนี้โอกาสทดลองนั้นอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
ผีเสื้อแห่งรักพูดราวกับว่านางคิดมานานแล้ว “มันอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
“เ้าเดาได้หรือ?” เย่เิหลงถาม
“สถานที่ที่สามารถทำให้ผู้คนหาไม่เจอ และยังรับประกันได้ว่าขุนพลเทพอสูรจะลงมาที่โลกอย่างปลอดภัย สถานที่นั้นนอกจากูเาแห่งคุกอนาธการแล้วจะเป็ที่ไหนได้อีก” ผีเสื้อแห่งรัก มองไปที่บันไดร้อยขั้นและพึมพำกับตัวเอง “บางทีเขาแห่งคุกอนธการนี้อาจมีไว้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการกำเนิดของขุนพลเทพอสูร”
เย่เิหลงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ถ้าเป็เช่นนั้นจริงๆ ก็ยุ่งยากแล้ว เพราะเขาแห่งคุกอนธการนี้ไม่มีทางขึ้นไปถึงบนยอดได้!”
ผีเสื้อแห่งรักกล่าวว่า “ก็ไม่แน่”
“เ้ามีวิธี?” เย่เิหลงเหลือบตาไปมองทางหลัวเลี่ยที่ไม่ได้สนใจพวกนางทั้งสองคนอยู่
“เขาจะทำ” ผีเสื้อแห่งรักชี้ไปที่หลัวเลี่ย
เมื่อมองไปยังหลัวเลี่ยที่กำลังจ้องูเาแห่งคุกอนธการอยู่ เย่เิหลงก็เกิดความคาดหวังขึ้นชั่วขณะ แต่เมื่อคิดถึงความลับที่นางได้รับรู้มา นางก็เลิกหวังกับหนทางนี้อีกครั้ง
เย่เิหลงส่ายหัว
ผีเสื้อแห่งรักยิ้มบางๆ และพูดว่า “เ้าไม่มั่นใจในตัวของเขาหรือ?”
“ข้ารู้ความลับมามากมาย และตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าโชคดีที่ได้เห็นเหตุการณ์ตอนที่คนจากสำนักประลองเต๋ากำลังฝ่าฟันขึ้นไปบนยอดเขาแห่งคุกอนธการ” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เย่เิหลงก็ส่ายหัวอีกครั้ง บ่งบอกว่านางไม่อยากพูดถึงเหตุการณ์ที่สำนักประลองเต๋าพ่ายแพ้ในความท้าทายนี้อีก
คนจากสำนักประลองเต๋าถูกระงับพลังวรยุทธ์ให้อยู่ในผู้ฝึกตนระดับที่สิบเมื่อเขาเข้ามาที่นี่
นี่คือกฎที่แม้แต่คนจากสำนักประลองเต๋าก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“ข้าจะลองอีกครั้ง”
หลัวเลี่ยกระตือรือร้นที่จะลองมานานแล้ว
เย่เิหลงเลิกคิ้วขึ้นอีกครั้ง เมื่อได้ยินความพยายามของหลัวเลี่ยก่อนหน้านี้ “เ้าเคยขึ้นไปได้กี่ขั้นแล้ว”
“แปดสิบหกขั้น” หลัวเลี่ยตอบ
“เหตุใดจึงน้อยนัก?” เย่เิหลงรู้สึกประหลาดใจ
“ตอนนั้นพลังของข้าเพิ่งเปลี่ยนผ่านระดับมาได้ไม่นาน แต่ตอนนี้พลังของข้าอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว” หลัวเลี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
เย่เิหลงพึมพำ “เ้าสามารถลองได้ แต่ก็อย่าคาดหวังมากเกินไปนัก คนจากสำนักเต๋าคนนั้นเคยกล่าวไว้ว่า หลังจากขั้นที่เก้าสิบห้าเป็ต้นไปคือการเริ่มต้นอย่างแท้จริง”
หลัวเลี่ยพยักหน้าเล็กน้อย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อทำสมาธิ
เมื่อจิตใจของเขาสงบลงแล้ว เขาก็ะโและปีนขึ้นบันไดหยกขาวนั้น
เพราะว่าก่อนหน้านี้หลัวเลี่ยเคยผ่านขึ้นไปได้ถึงแปดสิบหกขั้นแล้ว ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงไปถึงขั้นที่แปดสิบหกอย่างรวดเร็ว และส่วนหนึ่งที่ผ่านได้เร็วกว่าเดิมเพราะความแข็งแกร่งของเขาที่เพิ่มมากขึ้นด้วย
หากจะเปรียบเทียบระหว่างครั้งแรกที่เปลี่ยนผ่านระดับพลังเข้าสู่ระดับที่เก้า และจุดสูงสุดของพลังในระดับที่เก้า แน่นอนว่าเมื่อพลังอยู่ในจุดสูงสุดของระดับพลัง ความแตกต่างของความแข็งแกร่งนั้นย่อมมากกว่าตอนที่เพิ่งเข้าสู่ระดับถึงสองเท่า โดยเฉพาะหลัวเลี่ยที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาั์ ทำให้ความต่างนั้นมีมากขึ้นกว่าการฝึกฝนแบบทั่วไป
เพียงพริบตาเดียวหลัวเลี่ยก็ขึ้นไปถึงขั้นที่แปดสิบแล้ว
เย่เิหลงกะพริบตามองความเร็วนั้น
แต่หลังจากขั้นที่แปดสิบเป็ต้นไป ความเร็วในการก้าวขึ้นไปของหลัวเลี่ยก็เริ่มช้าลง แต่ก็ยังถือว่าเร็วกว่าครั้งก่อนมาก
เขาค่อยๆ ก้าวขึ้นไปทีละขั้น
ในไม่ช้าหลัวเลี่ยก็ก้าวข้ามขั้นที่เก้าสิบ แซงหน้าสถิติที่เจียงจื่อหยาและเหวินจง ผู้ที่ถือว่ามีวรยุทธ์ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบพันปีที่ผ่านมาเคยทำไว้ และหลัวเลี่ยก็ยังคงก้าวต่อไปข้างหน้าโดยไม่หยุดพัก
ขั้นที่เก้าสิบสาม!
ขั้นที่เก้าสิบสี่!
ขั้นที่เก้าสิบห้า!
เมื่อหลัวเลี่ยก้าวมาถึงในขั้นที่เก้าสิบห้า เขาก็รู้สึกราวกับว่ามีแรงกดดันที่มองไม่เห็นราวกับูเากดทับลงมาบนร่างของเขา
มันเป็ความรู้สึกที่เหมือนว่ามีูเากดอยู่บนแผ่นหลัง
แผ่นหลังที่เคยตั้งตรงของหลัวเลี่ยโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย
“ใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว ข้าจะยอมแพ้ได้อย่างไร!”
“ไปต่อ!”
หลัวเลี่ยกัดฟันแน่น เส้นเืบนหน้าผากของเขาเต้นตุบๆ และกล้ามเนื้อทั้งหมดในร่างกายของเขาก็แข็งเกร็งขึ้น เขายกขาขึ้น และก้าวไปอีกก้าว
ตึก!
เขาก้าวขึ้นไปบนขั้นที่เก้าสิบหก
ทันทีที่หลัวเลี่ยก้าวขึ้นมาถึง ขาของเขาก็สั่นและเกือบจะอ่อนแรงจนคุกเข่าลงไปถึงพื้นแล้ว เขากัดฟันอย่างแรงและยืดตัวขึ้นอีกครั้ง ร่างกายของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ บนใบหน้าและขมับของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อ มีเหงื่อเม็ดใหญ่บนใบหน้าของเขาหยดลงมาบนร่างกายที่สั่นเล็กน้อย และมีเพียงดวงตาคู่หนึ่งเท่านั้นที่ยังคงจ้องมองไปยังบันไดหยกขาวที่ตัวเองยืนอยู่
ผีเสื้อแห่งรักและเย่เิหลงที่อยู่ด้านล่างูเาลุ้นจนแทบจะกลั้นหายใจ
แต่ผีเสื้อแห่งรักดูเหมือนจะเกร็งน้อยกว่าเย่เิหลง เพราะนางรู้ว่าพลังของหลัวเลี่ยเป็อย่างไร
สถานการณ์นี้เกินความคาดหมายของเย่เิหลงไปมาก นางยอมรับอย่างสมบูรณ์ว่าหลัวเลี่ยดีกว่าเจียงจื่อหยาและเหวินจง และสิ่งนี้ก็แตกต่างจากสิ่งที่นางรับรู้มาจากคำพูดของคนคนนั้นอย่างสิ้นเชิง ที่ว่าเป็ไปไม่ได้ที่จะมีคนขึ้นไปถึงมากกว่าเก้าสิบห้าขั้น
“เหนือขั้นที่เก้าสิบห้าขึ้นไปเป็เขตต้องห้าม ที่แม้แต่คนจากสำนักเต๋าก็ยังไม่สามารถบุกทะลวงผ่านไปได้!”
กล่าวคือ แม้กระทั่งผู้ที่มีวรยุทธ์อยู่ในระดับกายทองคำที่ถูกจำกัดพลังจนอยู่ในผู้ฝึกตนระดับที่สิบ ก็ยังยากที่จะก้าวขึ้นไปถึงขั้นที่เก้าสิบห้า
หลัวเลี่ยขึ้นไปบนขั้นที่เก้าสิบหกอย่างสมบูรณ์แล้ว
ตึก!
หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดหลัวเลี่ยก็ยกขาขึ้นและก้าวไปอีกขั้น
หลัวเลี่ยรู้สึกราวกับว่าขาของเขาที่กำลังจะก้าวขึ้นไปนั้นมีสิ่งของถ่วงไว้นับสิบชั่ง แม้ว่าขาของเขาจะสั่นจนแทบจะก้าวต่อไปไม่ได้ แต่เขาก็ยังคงกัดฟันและยืนหยัดที่จะก้าวไปข้างหน้า เขาโน้มตัวไปด้านหน้าและยกขาขวาขึ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี
บูม!
ขณะที่หลัวเลี่ยก้าวขึ้นไปถึงขั้นที่เก้าสิบเจ็ดแล้ว ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่ง และหอบหายใจอย่างหนักภายใต้แรงกดดันที่กดทับอยู่บนร่าง หลัวเลี่ยเหงื่อออกจนชุ่มราวกับอยู่ท่ามกลางสายฝน เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปยังบันไดที่เหลืออยู่สามขั้นสุดท้าย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้