เยว่เฟิงเกอหัวเราะแหะๆ ไปสองเสียง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อดี
ฮองเฮาเงยหน้ามองม่อเสวียนเช่อ ในฐานะมารดา กลับทำตัวขายหน้าใหญ่โตต่อหน้าลูกชายของตน ทำเอานางอดมองม่อเสวียนเช่อด้วยสายตาตำหนิไม่ได้
“เช่อเอ๋อร์ เปิ่นกงเรียกแทนตนผิดมาหลายปี เหตุใดเ้าไม่เอ่ยเตือนเปิ่นกงสักคำ ปล่อยให้เปิ่นกงปล่อยไก่ตัวใหญ่มานาน”
ม่อเสวียนเช่ออดมุมปากกระตุกไม่ได้ เขาเองก็อยากเตือนนะ ไม่สิ ไม่ใช่แค่เขา ไม่ว่าจะสนมกำนัลคนใดในวังหลวงแห่งนี้ก็ล้วนอยากออกปากเตือนนางกันทั้งสิ้น
แต่ใครจะกล้าพูดกันเล่า...
จำได้ว่าเมื่อประมาณสิบปีก่อนมีสนมนางหนึ่งทนมองต่อไปไม่ได้อีก จึงนำเื่นี้ไปทูลฮ่องเต้
สุดท้ายวันถัดมาสนมนางนั้นก็ได้ตายอย่างอนาถอยู่ในตำหนักของตนเอง สภาพการตายของนางในตอนนั้นเรียกได้ว่าน่าอนาถอย่างยิ่ง
หลังจากทุกคนได้ทราบเื่นี้แล้วก็ยิ่งไม่มีใครกล้าพูดอะไรที่ไม่ดีออกมาอีกเลย
ทุกคนต่างพากันซุบซิบว่าต้องเป็ฮองเฮาแน่ที่ส่งคนไปสังหารสนมคนนั้น
ยิ่งกว่านั้น ฮ่องเต้ก็ไม่มีดำริจะตามหาตัวคนร้ายด้วย
เมื่อทุกคนเห็นว่าฮ่องเต้ยังไม่คิดเอาโทษฮองเฮา บรรดาสนมกำนัลทั้งหลายในวังหลวงก็ยิ่งไม่มีใครกล้ากล่าวอะไรอีก
เพื่อรักษาชีวิตไว้ ทุกคนจึงได้แต่กลืนเื่นี้ลงท้องไปอย่างเงียบเชียบ
ทุกครั้งที่ได้ยินฮองเฮาเรียกแทนตัวเองว่าอายเจียก็มักจะพยายามทำสีหน้าให้สงบนิ่งที่สุด สงบนิ่งให้มากกว่าที่เคย
ขณะที่ในใจกลับรู้สึกหวั่นกลัวยิ่ง
ม่อเสวียนเช่อเห็นว่าฮองเฮาไม่คิดลงโทษเยว่เฟิงเกอที่เอ่ยถึงความผิดพลาดของนางออกมาตรงๆ จึงเอ่ยความในใจของตนออกมาอย่างกล้าหาญ
ฮองเฮาได้ยินคำอธิบายนี้ก็ถลึงตาตำหนิเขา “เ้าเป็ลูกชายเปิ่นกง เปิ่นกงจะสังหารเ้าเพราะเื่แค่นี้ได้อย่างไร”
“อีกอย่างการตายของนางสนมคนนั้นก็หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับเปิ่นกงไม่”
“เปิ่นกงต้องมาถูกคนใส่ร้ายด้วยเื่ร้ายแรงเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยสั่งคนให้ไปฆ่าปิดปากคนพูดมากเ่าั้ มิหนำซ้ำเ้ายังมาคิดว่าเปิ่นกงจะทำร้ายเ้า? ”
ม่อเสวียนเช่อกล่าวขึ้นด้วยความใ “เช่นนี้ก็หมายความว่า เสด็จแม่ไม่ได้สังหารสนมคนนั้น? ”
ฮองเฮาส่งเสียงหึ “เปิ่นกงเป็คนอ่อนโยนจิตใจดีขนาดนี้ จะสังหารคนได้อย่างไร หากว่าเปิ่นกงเป็คนใจร้ายเืเย็นเช่นนั้นจริง เสด็จพ่อเ้าจะรักเปิ่นกงมาได้หลายปีเพียงนี้หรือ”
ม่อเสวียนเช่อรู้สึกว่าที่เสด็จแม่พูดมาล้วนมีเหตุผล
ในวังมีสนมชายามากมาย แต่เสด็จพ่อกลับโปรดปรานเพียงเสด็จแม่คนเดียว
บางทีอาจเพราะนางเป็คนจากยุคปัจจุบัน หากพิจารณาให้ถ่องแท้จากตัวของเยว่เฟิงเกอก็ย่อมจะมองเห็นถึงความแตกต่างจากเนื้อในบางอย่างระหว่างนางกับคนในยุคโบราณนี้ได้อย่างชัดเจน
ั้แ่ครั้งนั้นที่ได้เห็นม่อหลิงหานจุมพิตเยว่เฟิงเกอต่อหน้าต่อตาเขา เขาก็รู้แล้วว่า เยว่เฟิงเกอสำคัญแค่ไหนในใจของม่อหลิงหาน
ฮองเฮาพูดกับเยว่เฟิงเกอและม่อเสวียนเช่อต่อ “เื่นี้มีแค่เราสามคนที่รู้ พวกเ้าสองคนห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นใบหน้าชราของเปิ่นกงนี้ก็ไม่รู้จะเอาไปซุกไว้ที่ใด”
เยว่เฟิงเกอรีบพยักหน้า “ฮองเฮาโปรดวางพระทัย เมื่อออกไปจากตำหนักคุนิแล้ว หม่อมฉันจะลืมเื่นี้ไปให้หมดเลยเพคะ”
ม่อเสวียนเช่อเองก็รับปาก “เสด็จแม่วางพระทัย ลูกจะไม่แพร่งพรายออกไปแม้ครึ่งคำ”
ถึงแม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจม่อเสวียนเช่อกลับรู้สึกเป็ห่วงเยว่เฟิงเกอขึ้นมาบ้าง
อย่างไรเสีย เื่นี้ก็เกี่ยวพันถึงศักดิ์ศรีของฮองเฮา หากเยว่เฟิงเกอไม่คัดค้านออกมา ทุกคนคงจะยังสามารถถือผิดเป็ถูกต่อไปได้ แต่ตอนนี้จู่ๆ เยว่เฟิงเกอก็พูดออกมา ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีสักวันที่เสด็จแม่ของเขาหวนคิดเื่นี้ขึ้นมาได้แล้วนึกอยากฆ่าปิดปากเยว่เฟิงเกอหรือไม่
เพราะจะอย่างไรก็มีแต่ปากคนตายที่ปิดสนิท
คล้ายว่าเยว่เฟิงเกอจะมองออกถึงความกังวลของม่อเสวียนเช่อ นางส่งสายตาบอกให้เขาวางใจ
ถึงแม้นางจะยังไม่ได้รู้จักฮองเฮามากนัก แต่จากสองครั้งที่ได้พบปะกัน ก็พอจะเข้าใจในตัวตนของฮองเฮาผู้นี้แล้ว
ที่จริงแล้วฮองเฮาคนนี้เป็คนที่จิตใจดีมาก มิเช่นนั้นฮ่องเต้คงไม่โปรดปรานอีกฝ่ายมาได้หลายปีเพียงนี้
แม้แต่คำเรียกแทนตัวเองว่าอายเจียนี้ ฮ่องเต้ก็ยังไม่ฝืนบังคับให้นางแก้ไข
เห็นได้ชัดเลยว่าฮองเฮาเป็คนดีแค่ไหน
อีกอย่างพวกนางต่างย้อนเวลามาเหมือนกัน การได้พบปะกันในโลกโบราณเช่นนี้ นอกจากจะมีความตื่นเต้นดีใจแล้ว ต่างก็รู้สึกเข้าอกเข้าใจและอยากจะทะนุถนอมซึ่งกันและกัน
ฮองเฮาเช่นนี้ จะตัดใจสังหารนางลงได้อย่างไร
หรือหากว่าฮองเฮาอยากจะสังหารนางจริงๆ ก็ไม่จำเป็ต้องรอวันหน้า แค่วันนี้ก็สามารถลงมือทำได้เลย
ฮองเฮาหรี่ตามองม่อเสวียนเช่อ “เ้าออกไปก่อนเถอะ เปิ่นกงจะสนทนากับชายาจั้นอ๋องเสียหน่อย”
ชั่วขณะนั้นม่อเสวียนเช่อก็รู้สึกราวกับความรักของมารดาที่มีต่อตัวเขาถูกเยว่เฟิงเกอแย่งชิงไป เขากล่าวอย่างไม่ยินยอมว่า “เสด็จแม่จะทรงสนทนาเื่ใดกับพี่สะใภ้รองหรือ ให้ข้าฟังด้วยไม่ได้หรือ? ”
ฮองเฮาแสดงสีหน้ารังเกียจ “พวกเราสองคนจะคุยถึงเื่ในโลกยุคปัจจุบันกัน เ้าจะฟังเข้าใจหรือ? ” ไม่รอให้ม่อเสวียนเช่อตอบ ฮองเฮาก็กล่าวต่อไปอีกว่า “ในเมื่อเ้าฟังไม่เข้าใจ แล้วจะยังรั้งอยู่ที่นี่ทำอันใด รีบออกไปหยอกล้อกับนางกำนัลน้อยพวกนั้นของเ้าเถอะ”
ม่อเสวียนเช่อ “...”
เพราะเขาฟังแล้วต้องไม่เข้าใจอย่างแน่นอนก็เลยห้ามฟังด้วยอย่างนั้นหรือ เหตุใดพอเสด็จแม่มีเยว่เฟิงเกอก็ไม่้าลูกชายอย่างเขาแล้ว
“เสด็จแม่...” ม่อเสวียนเช่อเดินเข้ามาดึงมือฮองเฮา เริ่มออดอ้อน “ทรงให้ลูกอยู่ที่นี่ด้วยเถิดนะพ่ะย่ะค่ะ ลูกอยากฟังเสด็จแม่และพี่สะใภ้รองสนทนากัน ลูกสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพวกท่านในโลกนั้นเป็อย่างมาก”
ฮองเฮาถลึงตามองม่อเสวียนเช่อ “เปิ่นกงจะสนทนาเื่ความลับของผู้หญิงกับพี่สะใภ้รองของเ้า เ้าเป็เด็กผู้ชาย มีอะไรให้น่าฟังกัน ไปๆๆ ไปเล่นดินเล่นโคลนของเ้าเสียเถอะ”
เยว่เฟิงเกอเห็นม่อเสวียนเช่อถูกมารดาขับไล่อย่างไร้เยื่อใยก็อดขำไม่ได้
ม่อเสวียนเช่อคิด แม้แต่ลูกอ้อนของตนก็ยังใช้ไม่ได้ผล เขาคงทำได้แค่เดินคอตกขุ่นข้องใจออกไปจากตำหนักคุนิ
เมื่อม่อเสวียนเช่อจากไปแล้ว ฮองเฮาถึงได้สลัดภาพมารดาของแผ่นดินทิ้งไป นางกอดเยว่เฟิงเกอไว้อย่างอารมณ์ดี
“เฮ้อ การวางท่าเป็ฮองเฮานี่ช่างน่าเหนื่อยหน่ายเสียเหลือเกิน”
“เ้าดูสิ กฎกติกามารยาทในโลกยุคโบราณนี้มีมากมาย ซึ่งตัวข้านี้ไม่เคยสนใจในประวัติศาสตร์แม้แต่น้อย เ้าว่า หากข้าได้ข้ามเวลาไปอยู่ในโลกอนาคตจะดีเพียงใด ไม่แน่อาจจะได้ขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์ด้วย”
ฮองเฮาพูดจายืดยาว เยว่เฟิงเกอเห็นสีหน้าแววตายามเอ่ยคำของฮองเฮาก็รู้สึกได้ว่าคนตรงหน้าช่างเป็คนที่น่าสนใจมาก
“คนยุคปัจจุบันอย่างเรานี่สิดี การกระทำและคำพูดล้วนตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ไม่เหมือนคนยุคโบราณ จะพูดจะจาแต่ละทีต้องประดิดประดอย ไม่ว่าเื่อะไรก็อ้อมค้อมไปไกลกว่าจะกลับเข้าเื่ได้ บางครั้งที่ข้าฟังพวกเขาสนทนากันยังอดไม่ได้ให้ร้อนใจจะตายอยู่คนเดียว” ฮองเฮายังคงพูดเองเออเองอยู่คนเดียว
เมื่อพิษในร่างกายของฮองเฮาถูกถอนไปจนหมด สุขภาพนางก็ดีวันดีคืน
ยามนี้สีหน้านางดีกว่าเมื่อก่อนมาก ผิวพรรณก็ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดีจนดูไม่เหมือนสตรีที่มีบุตรแล้วเลย
ฮองเฮาพูดอยู่นานถึงได้รู้สึกตัวว่าเยว่เฟิงเกอยังไม่เอ่ยอะไรแม้แต่ประโยคเดียว
นางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตนไม่ได้ให้โอกาสอีกฝ่ายได้พูดเลย
ฮองเฮากล่าวกับเยว่เฟิงเกอว่า “วันหน้าข้าจะเรียกเ้าว่าเยว่เฟิงเกอก็แล้วกัน หากอยู่ต่อหน้าคนอื่น เ้าจะเรียกข้าว่าฮองเฮาก็ได้ แต่หากมีแค่เราสองคนก็เรียกข้าว่าน้าฟางเถอะ”
เยว่เฟิงเกอรู้สึกได้ว่าคำว่าน้าฟางนี้ดูเหมือนจะทำให้ยิ่งสนิทชิดเชื้อ จึงยิ้มและพยักหน้า “เพคะ ขอแค่ฮองเฮายินยอม หากอยู่กันแค่สองคน ข้าจะเรียกพระองค์ว่าน้าฟาง”
ฮองเฮารู้สึกสนใจในทุกๆ เื่ของเยว่เฟิงเกอจึงถามว่า “เ้าเล่าให้ฟังหน่อยได้หรือไม่ ตอนอยู่ยุคปัจจุบันเ้าทำอะไร แล้วเหตุใดถึงได้ย้อนเวลามาที่นี่”
เยว่เฟิงเกอเล่าให้ฮองเฮาฟังว่า ตอนยังอยู่ในยุคปัจจุบันนางเป็ผู้สืบทอดรุ่นที่สามของตระกูลศิลปะการต่อสู้โบราณ และยังมีพี่ชายอีกสองคน พี่ชายคนโตเป็ CEO ของบริษัทชื่อดังแห่งหนึ่ง ส่วนพี่รองเป็นักร้อง
ฮองเฮาได้ยินแล้วก็ให้รู้สึกอิจฉายิ่งนัก จึงเล่าให้เยว่เฟิงเกอฟังว่า ตอนยังอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน นางมีตัวคนเดียว ไม่มีพี่น้อง ขณะที่พ่อแม่ของนางต่างก็ทอดทิ้งนางอย่างใจร้ายไปั้แ่ตอนที่นางยังเด็ก
ั้แ่เล็กจนโตจึงอาศัยเพียงสองมือของตนสร้างโลกของนางขึ้นมา
เยว่เฟิงเกอฟังแล้วก็ยิ่งชอบฮองเฮาคนนี้มากขึ้นไปอีก
นางดูออกว่าฮองเฮาเป็คนสง่าผ่าเผยใจกว้าง ยามที่เอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมา สีหน้าไม่มีแม้แววเคียดแค้นให้ได้เห็น
อย่างไรก็ตาม ฮองเฮาเองก็ชอบเยว่เฟิงเกอมาก นิสัยตรงไปตรงมาของนางนับเป็ส่วนที่ฮองเฮาชอบที่สุด
สตรีสองนางสนทนากันอยู่นาน เยว่เฟิงเกอถึงได้ขอตัวลากลับ
เมื่อออกมานอกตำหนักคุนิก็เห็นม่อเสวียนเช่อกำลังวาดกลมๆ อยู่บนพื้น สีหน้าเขาน้อยอกน้อยใจยิ่ง ทำเอาเยว่เฟิงเกออดหัวเราะออกเสียงไม่ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้