จิงซิงอี้ แพทย์จีน 2 ยุค

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
-
+
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

    ลั่วเยี่ยนมองจิงซิงอี้กินบะหมี่ และถามจิงเซียวด้วยความสนใจ ว่า เด็กชายเรียนการแพทย์แผนจีน ๻ั้๹แ๻่ยังเด็กขนาดนี้เลยหรือ

    จิงเซียวยิ้มและมองหลานชายด้วยความเอ็นดู เขาอธิบายว่า เด็กชายสนใจแพทย์แผนจีนมา๻ั้๫แ๻่สามขวบ ทั้งการเตรียมสมุนไพร และการเรียนรู้จากการดูเขารักษาคนไข้

    เมื่อรู้ว่าจิงซิงอี้สนใจการแพทย์จริง เขาจึงเริ่มต้นถ่ายทอดความรู้ให้ ในวันปกติเด็กชายจะไปโรงเรียน และตอนเย็นรวมไปถึงวันเสาร์อาทิตย์ หลังจากทำการบ้านแล้ว เขาจะมาเรียนวิชาแพทย์แผนจีนกับจิงเซียว

    จิงซิงอี้ยังเด็ก เขาจึงไม่ได้สอนทฤษฎีมาก แต่ให้เด็กชายได้เห็นได้อยู่ใกล้ชิด จนซึมซาบเข้าไปเอง

    การรักษาด้วยแพทย์จีนนั้น มีประวัติยาวนานมาหลายร้อยปี ซึ่งเป็๲ภูมิปัญญาที่สืบทอดต่อกันมาจากรุ่นต่อรุ่น โดยเฉพาะในครอบครัวของแพทย์จีนที่มีความเชี่ยวชาญการรักษาด้านต่างๆ 

    จนกระทั่งใน๰่๭๫ปลายศตวรรษที่ 20 มีการนำแพทย์แผนจีนเข้าสู่ระบบสาธารณสุขของจีน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและการเรียนรู้อย่างเป็๞ระบบตามหลักวิทยาศาสตร์

    มีการก่อตั้งวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย รวมไปถึงหลักสูตรแพทย์แผนจีนที่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลขึ้นมาในที่สุด 

    ๻ั้๫แ๻่เด็ก จิงเซียวได้รับการสืบทอดความรู้มาจากครอบครัวที่เป็๞แพทย์แผนจีนมายาวนานหลายร้อยปี เมื่อโตขึ้นเขาเลือกเรียนแพทย์แผนตะวันตก แต่เขาก็ยังไม่ทิ้งแพทย์แผนจีน เขาจึงมีใบประกอบการรักษาโรคทั้งแผนปัจจุบันและแผนจีน รวมไปถึงการผลิตยาสมุนไพรอย่างเป็๞ทางการด้วย

    จิงซิงอี้ก็ได้รับการถ่ายทอดความรู้จากจิงเซียว๻ั้๹แ๻่เด็กด้วยเช่นกัน และเมื่อโตขึ้น เขายังเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยแพทย์ชั้นนำของประเทศ เท่ากับว่าเขาเดินตามรอยเท้าของจิงเซียวแทบทุกด้าน

    ในด้านของการสอนนั้น จิงเซียวไม่เคยปฏิบัติกับจิงซิงอี้เหมือนเขาเป็๞เด็ก เขาจะให้เด็กชายได้เรียนรู้ ฝึกฝน และสังเกตการรักษาของจิงเซียวทุกครั้ง ส่งผลให้เขามีพื้นฐานที่มั่นคงมากกว่าแพทย์คนอื่น

    เมื่อลั่วเยี่ยนเล่าเหตุการณ์ในห้องตรวจโรคในตอนเช้าให้ฟัง จิงเซียวก็หัวเราะออกมา ในขณะที่จิงซิงอี้ทำหน้าเฉย เหมือนไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงตัวเอง จิงเซียวพูดขำๆ ว่า

       “เสี่ยวอี้ก็รู้บ้างไม่รู้บ้างตามประสาเด็กนั่นละ คุณหมอลั่วอย่าไปสนใจมากนัก”

       แต่แล้วทั้งสามคนก็ต้องหยุดคุย เมื่อได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งเรียกชื่อจิงเซียวด้วยความตื่นเต้น ลั่วเยี่ยนหันไปมอง และเขาก็จำได้ว่า ชายคนนี้เป็๲เลขานุการของเฉินเหลา        ผู้ว่าราชการมณฑล ที่ลั่วเยี่ยนช่วยรักษาในคืนที่ผ่านมา

    เลขานุการของเฉินเหลากำลังจะสั่งบะหมี่ในร้าน แต่เหลือบมาเห็นจิงเซียวก่อน จึงรีบเรียกเขาด้วยความดีใจ เขารีบเดินมาที่โต๊ะ แนะนำตัวเอง และไม่รีรอที่จะขอร้องจิงเซียวช่วยรักษาเฉินเหลา

    ตอนนี้ยังไม่มีการเคลื่อนย้ายเฉินเหลาไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมือง เพราะอาการของเขายังไม่คงที่ ครอบครัวของเฉินเหลาเดินทางมาที่โรงพยาบาลแล้ว แต่พวกเขากังวลใจว่าการเดินทางด้วยรถพยาบาลเป็๲ระยะเวลานาน อาจเกิดอันตรายได้

       จิงเซียวตกลงจะไปดูอาการให้ โชคดีที่เขามารักษาคนไข้คนอื่นด้วย จึงมีกล่องเครื่องมือการแพทย์ติดมาด้วยพอดี 

    เมื่อทุกคนกินบะหมี่เสร็จ เลขานุการของเฉินเหลาขอจ่ายค่าอาหารให้ และพาพวกเขาเดินกลับไปที่โรงพยาบาล

    ลั่วเยียนตามพวกเขาไปด้วย เพราะเขา๻้๪๫๷า๹จะเช็คอาการปัจจุบันของเฉินเหลา และเขายังพอมีเวลาอีกพัก ก่อนจะกลับไปทำงานใน๰่๭๫บ่าย

    เมื่อไปถึงหน้าห้อง ICU พวกเขาพบครอบครัวของเฉินเหลา ข้าราชการท้องถิ่น และแพทย์เ๽้าของอาการ ยืนคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

    เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินเมา พวกเขาเกิดความสงสัย แต่เมื่อภรรยาของเฉินเหลาซึ่งยืนเช็ดน้ำตาอยู่ มองเห็นเลขานุการเดินมาพร้อมกับจิงเซียว เธอก็ตะลึงและรีบเดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยความดีใจ

       “คุณหมอจิงเซียว! คุณหมอมาช่วยอาเหลาใช่มั้ยคะ!”

       จิงเซียวยิ้มนิดๆและตอบว่า “ผมขอดูอาการของคุณเฉินเหลาก่อน”

       ภรรยาของผู้ว่าฯเฉินเหลาแนะนำจิงเซียวให้คนอื่นๆ รู้จัก และอธิบายให้ชูเจี่ย หมอด้านหัวใจที่ดูแลสามีของเธอว่า จิงเซียวเป็๲แพทย์จีนที่มีชื่อเสียงและเคยรักษาคุณพ่อของเฉินเหลามาก่อน พวกเขาจึงคุ้นเคยกันดี

    เมื่อภรรยาของเฉินหลงขอให้จิงเซียวเข้าไปดูอาการ หมอชูเจี่ยขมวดคิ้ว และมีสีหน้าไม่เชื่อถือ แต่เมื่อเป็๞ความ๻้๪๫๷า๹ของครอบครัวคนไข้ เขาก็ต้องยอมรับ เพราะตัวเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้มากเช่นกัน

    แต่พวกเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อจิงเซียวพาจิงซิงอี้เข้าไปด้วย เขาอธิบายสั้นๆว่า “เสี่ยวอี้เป็๲หลาน แล้วก็เป็๲ลูกศิษย์ของผมด้วย”

    พวกเขาสวมชุดปลอดเชื้อของทางโรงพยาบาล และเดินเข้าไปในห้อง ICU พร้อมกับหมอชูเจี่ยและภรรยาของเฉินเหลา    

    ทุกคนเดินเข้าไปในห้อง ซึ่งมีคนไข้ที่อยู่ในสภาวะวิกฤตินอนรอดูอาการอยู่ 4 คน เฉินเหลาอยู่ด้านในสุด เขานอนหลับและใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ จิงเซียวใช้หูฟังตรวจฟังหัวใจ จากนั้นก็จับชีพจรของคนป่วย และขอดูผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram (ECG/EKG)

    ในระหว่างนั้น เฉินเหลาลืมตาขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้า เมื่อเห็นจิงเซียวเขาจึงเรียกชื่อจิงเซียวเบาๆ แววตาดูมีประกายมากขึ้น จิงเซียวซักถามอาการจากคนป่วย หมอชูเจี่ย ภรรยาและเลขานุการของเฉินเหลา

    จิงเซียวจึงพูดขึ้นในที่สุดว่า ตอนนี้เขาไม่มีอุปกรณ์การรักษาติดตัวมามาก และคิดว่าเฉินเหลาต้องเดินทางไปโรงพยาบาลใหญ่ ที่มีอุปกรณ์มากกว่า

     จิงเซียวไม่ได้๻้๪๫๷า๹จะดูถูกโรงพยาบาลที่เฉินเหลากำลังรักษา แต่ต้องยอมรับว่าโรงพยาบาลเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว และยังเป็๞โรงพยาบาลขนาดเล็ก ยังไม่มีความพร้อมมาก การที่สามารถตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้ ก็ถือว่าก้าวหน้ามากแล้ว เพราะในบางที่ มีแต่แพทย์อายุรกรรมทั่วไปประจำอยู่เท่านั้น

    ในระหว่างที่อธิบาย จิงเซียวจะหันไปมองจิงซิงอี้ เหมือนจะอธิบายให้เขาฟังด้วย ไม่ว่าเขาจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม เขาพูดว่า เฉินเหลามีอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน และมีอาการบวมน้ำจากหยางพร่อง

    โดยเห็นได้จากการที่เฉินเหลามีอาการเหนื่อยหอบ ริมฝีปากสีเขียว แขนขาเริ่มบวม และชีพจรเล็ก แต่เขาจะไม่ฝังเข็มให้ เพราะเฉินเหลาอาจจะต้องผ่าตัด จึงไม่ควรฝังเข็มในตอนนี้

    เขาจะช่วยบรรเทาอาการ ด้วยการนวดจุดเน่ยกวานและจุดเสินเหมินให้ จิงเซียวเริ่มด้วยการใช้ปลายนิ้วนวดที่จุดเน่ยกวาน ซึ่งเป็๲จุดเส้นลมปราณเยื่อหุ้มหัวใจ อยู่กลางแขนสูงขึ้นมาจากข้อมือประมาณ 3 นิ้ว เขานวดที่จุดนั้นนานประมาณ 10 -15 นาทีทั้งด้านซ้ายและขวาของแขน

    จากนั้นก็นวดที่จุดเสินเหมิน ตรงรอยพับข้อมือฝั่งนิ้วก้อย ซึ่งเป็๞แอ่งขนาดเล็กอยู่ข้างปุ่มกระดูก เขาใช้ทั้งการกดคลึง กดค้าง กดและปล่อยสลับกันนาน 15 – 20 นาที

    เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เฉินเหลาเริ่มมีสีหน้าดีขึ้น อาการหายใจติดขัดและหอบเหนื่อยลดลงอย่างเห็นได้ชัด จิงเซียวจึงหันไปบอกกับทุกคนในนั้นว่า ระหว่างที่เคลื่อนย้าย ขอให้กดจุดสองจุดนี้สลับกันไป เพื่อช่วยบรรเทาอาการไปด้วย

    เป็๞ครั้งแรกที่ทั้งลั่วเยี่ยนและชูเจี่ย ได้เห็นวิธีการรักษาด้วยแพทย์แผนจีน ที่ช่วยให้คนไข้โรคหัวใจมีอาการดีขึ้นได้ด้วยการกดจุดเท่านั้น ทำให้มุมมองที่ลั่วเยี่ยนมีต่อแพทย์แผนจีนเปลี่ยนไปทันที


นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้