หลังจากทานอาหารจนอิ่ม หลินซีอวี่วางตะเกียบลงช้าๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้า ดวงตานางนิ่งสงบ แต่แฝงความแน่วแน่ไม่หวั่นไหว
“ท่านพ่อให้ข้าเดินทางมาเพื่อแต่งงานกับท่าน” นางเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “แต่ใจข้า... มิได้อยู่ที่นี่”
คำพูดนั้นทำให้หลี่จื่อเหว่ยชะงัก มือที่กำลังจะรินน้ำชาค้างอยู่กลางอากาศ
“เหตุผลที่ข้ามาที่นี่ จึงมิใช่เพื่อแต่งงานตามบัญชาบุพการี ข้าเพียง้ามาพบท่านต่อหน้า เพื่อบอกความจริง”
เขาวางกาน้ำชาลงอย่างเงียบงัน ดวงตาเข้มทอประกายแปลกประหลาดราวกับกำลังอ่านจิตใจนาง
“ข้า... มิได้รักชอบท่านเลยสักนิด” น้ำเสียงของหลินซีอวี่อ่อนโยนแต่หนักแน่น “และในใจข้านั้น มีคนผู้อื่นอยู่ก่อนแล้ว”
ครานั้น สีหน้าของหลี่จื่อเหว่ยแปรเปลี่ยนทันควัน แววตาที่เคยมีเพียงแสงอุ่นละมุนกลับค่อยๆ มืดหม่นลงราวเมฆฝนที่ตั้งเค้าบนท้องฟ้า
“เขาคือ... จ้าวโหวแห่งแคว้น นามว่าจ้าวหยางหลง” นางเอ่ยชื่อช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ ประหนึ่งกลัวเขาจะไม่ได้ยิน
วินาทีนั้น ความเงียบงันตกปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ ศิลาในใจเขาราวกับแตกร้าว เสียงภายในหัวกลายเป็เสียงสะท้อนของประโยคเดิมๆ ที่นางกล่าวซ้ำอยู่ไม่รู้จบ
แต่แทนที่เขาจะโกรธ จะอาละวาด หรือจะร้องถามว่าเหตุใด... หลี่จื่อเหว่ยกลับหัวเราะออกมาเบาๆ ราวคนฝันไป ทว่าหัวเราะนั้นแฝงไว้ด้วยความปวดร้าวจนััได้
“แล้วคนผู้นั้น... รักท่านหรือไม่?” เขาเอ่ยถามเบาๆ
“เขาก็... ชอบพอข้าอยู่ กำลังจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอในอีกเดือนครึ่งนี้แล้ว” หลินซีอวี่ตอบตรงไปตรงมา แม้ในใจจะกระเพื่อมไหวอย่างบอกไม่ถูก
“ข้าเข้าใจแล้ว” หลี่จื่อเหว่ยพยักหน้า รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้า แม้ดวงตาจะหม่นแสงจนดูคล้ายจันทรายามดับคล้อย “เช่นนั้น... คืนนี้เ้าพักที่นี่เถิด พรุ่งนี้... ข้าจะไปส่งท่าน และชี้แจงเื่ยกเลิกงานแต่งกับท่านกั๋วกงด้วยตนเอง” น้ำเสียงของเขายังคงอ่อนโยน แต่มันอ่อนเกินกว่าจะกลบซ่อนความเ็ปเอาไว้ได้
หลินซีอวี่เงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาสั่นระริก “ท่านหมายความว่า...”
“แม้ข้าจะมีใจให้เ้า” เขาเอ่ยอย่างสงบ “แต่ข้าก็มิอาจแย่งชิงความสุขของเ้า มาเป็ของตนเองได้ เช่นนั้นขอให้เ้า เห็นว่าข้าเป็เพื่อนคนหนึ่งเถิด” เขาเว้นวรรคไปเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ลึกซึ้งจนแม้นางก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอ
“ที่ข้าให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอเ้าหลายครา ก็เพราะหวังให้เ้ารับรู้ถึงความจริงใจของข้า แต่ในเมื่อหัวใจเ้าหาได้อยู่ที่ข้าไม่... ข้าย่อมไม่รั้งเ้าไว้ เพียงเ้ามีความสุขกับคนที่เ้ารัก ข้าก็นับว่ายังพอมีสุขได้อยู่บ้างแล้ว”
คำพูดนั้น ทำให้นางนิ่งอึ้ง
หลินซีอวี่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า บุรุษผู้นี้ ที่ใครๆ ต่างกล่าวขานว่าไร้แก่นสาร เอาแต่ลุ่มหลงในสุรา และความสำราญ จะมีหัวใจที่อ่อนโยน และเปิดกว้างถึงเพียงนี้
ความจริงใจที่เปล่งออกมาจากถ้อยคำอันเรียบง่ายนั้น กลับสั่นะเืถึงส่วนลึกในใจของนาง
“หากเ้าอิ่มแล้ว... ข้าจะพาเ้าไปพักที่โรงเตี๊ยมใกล้ๆ นี้ พักผ่อนเอาแรงสักครู่” หลี่จื่อเหว่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แล้วข้าจะพาเ้าไปเดินชมตลาด ลองเที่ยวชมบรรยากาศเฉวียนโจวดูสักหน่อย ไหนๆ ก็มาแล้ว แล้ววันพรุ่งนี้... ข้าจะพาเ้าไปขึ้นเรือกลับเมืองหลวงด้วยตนเอง”
หลินซีอวี่คลี่ยิ้มบาง ดวงตาเปล่งประกายด้วยความยินดี นางพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล
หลี่จื่อเหว่ยยิ้มตอบ แม้จะมีรอยหมองแฝงอยู่ในแววตา แต่เขาก็ยังคงยิ้มแย้ม พูดจาเฮฮา ดั่งบุรุษผู้อยู่เหนือความรู้สึกเ็ป
ระหว่างเดินทางไปโรงเตี๊ยม เขาชวนนางสนทนาเื่จิปาถะ ทั้งร้านค้าแปลกตา อาหารพื้นเมือง และเื่ไร้สาระในอดีตที่ทำให้นางต้องหัวเราะเบาๆ เป็ครั้งแรกในรอบหลายวัน
ครั้งนี้ หลินซีอวี่มิได้เ็าดังเมื่อแรกพบ นางฟังเขาอย่างตั้งใจ และหัวเราะตอบด้วยรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนขึ้น ไม่ต่างจากเพื่อนผู้ร่วมทางที่ค่อยๆ เปิดใจให้กันโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเดินทางถึงโรงเตี๊ยม และได้พักผ่อนสักครู่ ไป๋อิงก็อดสงสัยมิได้ จึงเอ่ยถามขึ้นเบาๆ
“คุณหนูเ้าคะ... เหตุใดท่านจึงดูมีความสุขนัก ทั้งยังสนทนากับคุณชายหลี่อย่างเป็กันเองเสียเหลือเกิน มื้ออาหารมื้อเดียว... ไม่น่าเชื่อว่าจะเปลี่ยนท่านให้กลับมาสดใสอีกครั้งได้”
หลินซีอวี่หัวเราะเบาๆ ดวงตาสะท้อนแววอ่อนโยน
“คุณชายหลี่... เขาเป็บุรุษที่มีเมตตา และให้เกียรติผู้อื่นอย่างแท้จริง เขาไม่บังคับข้าให้แต่งงาน ทั้งยังยอมรับความรู้สึกของข้าโดยไม่ตั้งเงื่อนไข พรุ่งนี้เขาจะส่งข้ากลับเมืองหลวง”
“แต่หากเขาเอ่ยยกเลิกงานแต่ง เช่นนั้น... ท่านกั๋วกงมิลงโทษตระกูลหลี่จนถึงขั้นเสียหายหรอกหรือเ้าคะ?” ไป๋อิงลดเสียงลงอย่างวิตก “ที่อยากได้ก็ยื่นขอ พอไม่อยากก็ปัดทิ้งเสียเช่นนั้น...”
หลินซีอวี่ส่ายหน้ายิ้ม “ไม่หรอก ข้าจะบอกท่านพ่อด้วยตนเอง ว่าข้าเป็ฝ่ายไม่ชอบพอเขา และเป็ผู้ขอร้องไห้เขายกเลิกงานแต่งนี้เอง ทั้งหมดนี้... ไม่ใช่ความผิดของเขาเลยสักนิด”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้