กองไฟด้านล่างลุกโชนโดยมีอ่างขนาดใหญ่ตั้งอยู่้าซึ่งน้ำด้านในเริ่มเดือดจากความร้อน
“คุณชายปู้...”
นึกไม่ถึงว่าสรรพนามการเรียกข้าจากปากของนายพลตรีจากชายแดนจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้“พิษที่ท่านแม่ทัพโดนอยู่ตอนนี้จะแก้ได้จริงๆ เหรอขอรับ?”
ข้าปรายตามองเขาพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับ“เอายาพวกนี้วางลงและเ้าก็ออกไปได้แล้ว...เฝ้าประตูไว้ให้ดีไม่ว่าใครก็อย่าให้เข้ามา!”
“อ้อ...ขอรับ!”
เมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงรีบเดินออกไปดูเหมือนว่าคนที่ดูเ็าอย่างซูซีเฉิงจะเป็ที่รักใคร่และเคารพนับถือของเหล่าทหารชั้นผู้น้อยผู้ใหญ่ไม่น้อยเหมือนกัน
...
ไม่นานในห้องอาบน้ำก็เหลือเพียงพวกเราสามคน
“เริ่มได้แล้วล่ะ”ข้าพูดขึ้น
ซูซีอวี๋ลุกขึ้นก่อนจะถอดเสื้อคลุมออกแล้วหันมามองข้า
“อย่าบอกนะว่าท่านจะให้ข้าออกไปด้วยอีกคน?”
นางยิ้มพลางยักไหล่ก่อนจะพูดขึ้น“ไม่เป็ไร เพราะเ้ายังเด็กยังเล็ก”
ข้าตอบกลับนางอีกครั้ง“ข้าเล็กที่ไหนกัน!”
ปู้เสวียนยินที่เห็นเหตุการณ์พูดขึ้นอย่างจนปัญญา“เอาล่ะๆ หยุดเถียงกันได้แล้ว รีบๆ เริ่มกันเถอะซีอวี๋ข้าไม่อยากให้เ้าต้องกลายเป็ศพต่อหน้าข้าหรอกนะ รีบๆถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปได้แล้ว”
“อืม”
ซูซีอวี๋รีบถอดชุดเกราะของตัวเองออกเผยให้เห็นเนื้อขาวๆ อยู่ตรงหน้าของข้า หลังจากถอดเสื้อผ้าออกและเดินลงไปในอ่างเหลือไว้เพียงส่วนหัวที่โผล่พ้นน้ำ “ร้อนจัง...”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ข้าว่าแล้วเดินไปที่อ่างพลางหยิบสมุนไพรแต่ละชนิดใส่ลงไปก่อนที่กลิ่นของมันจะคละคลุ้งไปทั่วห้อง
พอไอร้อนเริ่มแผ่ออกมามากขึ้นเรื่อยๆข้าและพี่เสวียนยินก็รู้สึกร้อนจนหลังเปียกไปหมดเราทั้งสองต่างถอดเสื้อคลุมและพับแขนเสื้อขึ้นก่อนข้าจะตักน้ำใส่และเปลี่ยนน้ำออกเพื่อควบคุมอุณหภูมิของน้ำ
พี่เสวียนยินที่นั่งอยู่ข้างๆรู้สึกร้อนจนต้องปลดกระดุมเสื้อสองเม็ด ทำให้ก้อนเนื้อขาวนวลด้านในแทบจะทะลักออกชั่วพริบตาเดียวหัวของข้าก็คิดไปไกลแต่โชคดีที่นางมีศักดิ์เป็พี่ไม่อย่างนั้นข้าคงจะควบคุมตัวเองไม่อยู่แต่ใครจะรู้ว่า แม้ข้าจะละสายตาจากตรงนั้นมาตักน้ำใส่อ่างให้ซูซีอวี๋แต่ก็ยังเห็นก้อนเนื้อกลมกลึงขาวๆโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาตามจังหวะน้ำที่สั่นไหวเพราะแรงกระทบเหมือนกัน
ข้าเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่มารักษาให้นางแล้วล่ะ
ดูเหมือนว่าทั้งสองจะรู้สึกว่าข้าเริ่มไม่ปกติจึงยิ้มชอบใจพี่เสวียนยินเห็นแบบนั้นเลยเป็คนยกเื่อื่นขึ้นมาพูดเพื่อทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด“ซีอวี๋ ตอนนี้ทหารชายแดนเป็ยังไงบ้างข้าไม่ได้ไปตั้งหลายปีเลยไม่รู้ว่ากำลังทหารของพวกเราเพิ่มขึ้นมากน้อยขนาดไหนแล้ว”
“เอาอะไรมาเพิ่มล่ะ!”
ซูซีอวี๋เม้มปากแน่นเหมือนไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร“เ้าก็น่าจะรู้นะปู้เสวียนยิน ว่างานของทหารชายแดนอย่างพวกเราเป็งานหนักและไม่ค่อยดีเท่าไรไม่เดินลาดตระเวนนอกเมืองก็ต้องดูแลกำแพงแห่งชีวิตถึงจะอยู่ที่นั่นแล้วไม่ดีแต่ข้าว่าอยู่ในแผ่นดินใหญ่ก็คงไม่ต่างกันเ้าลองคิดดูสิว่าทหารมีอยู่นับสามแสนนายแต่มีม้าไม่ถึงหมื่นตัว แถมพวกอาวุธชั้นหนึ่งก็ทำได้แต่มองแล้วแบบนี้จะไปมีอะไรดีขึ้นได้อย่างไร?”
ปู้เสวียนยินขมวดคิ้วเข้ม“ไม่ขนาดนั้นมั้ง...ไม่ว่าอย่างไรท่านเสนาบดีก็เป็ถึงพี่ชายของเ้าพวกพันธมิตรนักปราชญ์ขาวก็มีเงินทองมากมายก่ายกองแล้วทำไมถึงขายอาวุธและกำลังทรัพย์ในการพัฒนากองทหารล่ะ?”
ซูซีอวี๋ที่ได้ยินก็เบ้ปากแล้วพูดต่อ“เขาไม่ได้เป็แค่พี่ชายของข้า แต่ยังเป็เสนาบดีแห่งสหพันธ์ด้วยทำให้ฝ่ายการคลังนำเงินเ่าั้มาจัดสรรให้พวกทหารปราชญ์ชุดขาวทหารหน่วยอื่นๆ ในเมืองและตระกูลซูหมดแล้วแบบนี้จะหลงเหลือมาหาทหารชายแดนอย่างพวกเราได้อย่างไรกันเ้าก็รู้ว่าทางพันธมิตรนักปราชญ์ขาวกับดินแดนกาฬวาตมีความข้องใจลับๆ กันอยู่ทำให้ในสายตาพี่ชายของข้ามีแต่ถังอานหลีที่แข็งแกร่งจนลืมทหารชายแดนอย่างพวกเราอีกอย่างเพราะทหารชายแดนไม่นับว่าเป็กองกำลังของใครและเป็แค่ประชาชนชาวเมืองที่อยู่ละแวกกำแพงแห่งชีวิตแล้วจะมีใครมาให้ความสำคัญกับพวกเราล่ะ?”
“แล้วที่ว่าเ้าควักกระเป๋าตัวเองซื้อม้าาถึงห้าพันตัวเป็เื่จริงหรือเปล่า?”
“อืม ข้าขายทรัพย์สมบัติที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้ไปกว่าครึ่งแล้วล่ะในเมื่อสหพันธ์ไม่เพิ่มศักยภาพให้ทหารชายแดนอย่างพวกเรา ข้าก็จะเป็คนทำเอง!”นางพูดขึ้นด้วยแววตาที่มุ่งมั่น
ปู้เสวียนยินใช้มือกวาดเล่นบนผิวน้ำก่อนจะพูดขึ้น “ทำให้เ้าต้องลำบากสินะ”
ซูซีอวี๋ที่นั่งเอนหลังพิงขอบอ่างแล้วหลับตาลงพลางพูดขึ้นช้าๆ“ข้าได้แต่ฝันร้ายทุกๆ คืนว่าจะมีข่าวไม่ดีส่งมาจากชายแดนหรือเปล่า แต่ถ้ามีจริงๆแล้วยังไงล่ะ? ในเมื่อไม่มีใครฟังความคิดเห็นของข้าเลยแม้แต่พี่ชายตัวเองก็ยังไม่สนใจ”
“ไม่เป็ไรถึงอย่างไรข้าก็รับฟังเ้าเสมอ”
พี่เสวียนยินพูดปลอบก่อนจะมองด้วยสายตาดั่งสายน้ำ“เ้าก็น่าจะรู้เื่ที่ข้าเริ่มสร้างกองกำลังอาชาปีกัแล้วใช่ไหม?”
“อืมเ้ามีแผนจะทำอะไรกันแน่?”
“ถ้ามีข่าวคราวจากนอกเมืองละก็...”พี่เสวียนยินปรายตามองข้าพักหนึ่งก่อนจะยิ้มแล้วพูดต่อ“ข้าอาจจะต้องไปอยู่หน่วยรบกองหน้าที่อันตรายที่สุดเพื่อคุ้มครองตระกูลซูและตระกูลถัง”
ซูซีอวี๋ชะงักไปพักใหญ่กว่าจะพูดขึ้นมา“พวกเราต่างก็เป็พวกเอาชีวิตเข้าแลกทั้งนั้นแต่จะต้องเกิดจากความเชื่อมั่นและศรัทธาของตัวเองไม่ใช่เพื่อใครอื่น”
นางว่าแล้วยิ้มก่อนจะพูดต่อ“พวกเราคุยเื่นี้ต่อหน้าเสี่ยวเชวียนทำไมกัน เขายังเด็กยังเล็กเหมือนกันกับเสี่ยวเหยียนที่้าการปกป้องและการฝึกฝนที่มากยิ่งขึ้น”
“ข้าก็บอกแล้วไงว่าข้าไม่เล็กแล้ว”
ข้าขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจก่อนจะพูดต่อ“และอีกอย่างพวกท่านไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพังแน่นอนข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นภายในปีนี้ให้ได้!”
“หืม?”
พี่เสวียนยินกับซูซีอวี๋ที่ได้ยินต่างหัวเราะออกมา
...
หลังจากนั้นสองชั่วโมงก็เกิดแสงสีส้มส่องประกายระหว่างหัวไหล่และหน้าอกของนางดูเหมือนว่าจุดนั้นจะเป็รังของหนอนซากศพ ช่างรู้จักเลือกที่วางไข่เสียจริงๆ
“ท่านออกมาแล้วนอนราบเพื่อเตรียมกรีดเืได้เลย”ข้าพูดขึ้น
ซูซีอวี๋ลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าที่เหมือนจะเ็ปมากพอสมควรแล้วนอนราบลงบนเตียงที่เตรียมเอาไว้ก่อนที่พี่เสวียนยินจะหาผ้ามาคลุมตัวให้นาง
“ใช้กริชของข้าก็แล้วกัน”นางว่าแล้วเอากริชยื่นมาให้ข้า
และเมื่อจับมันไว้ในมือพลังิญญาที่อุ่นๆก็แผ่เข้ามาราวกับกำลังจะผสานเข้ากับข้าให้เป็เนื้อเดียวข้าถึงกับตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกันเพราะสิ่งนี้ไม่ใช่กริชธรรมดาแต่เป็อาวุธิญญาของนาง
“สลายเกราะรบิญญาของเ้าไปก่อน...”พี่เสวียนยินพูดขึ้น
แต่ซูซีอวี๋ยังไม่ทันได้สลายเกราะนั้นไปข้าก็ลงมือจนเกิดเสียง แกร๊ก! ขึ้นเสียก่อนาแที่ด้านล่างของหัวไหล่ถูกกรีดออกเป็กากบาท ไม่นานเืสีดำก็ไหลออกมาข้ามองกริชอย่างตกตะลึง เพราะนึกไม่ถึงว่ากริชที่ดูธรรมดาๆจะสามารถกรีดทะลุเกราะรบิญญาของเทพศาสตราวุธได้
“นี่มัน...”
พอเห็นว่าเืเสียไหลออกจนหมดเพราะมีเืสีแดงไหลออกมาแทนข้ากับพี่เสวียนยินก็ช่วยกันทำแผลให้นางและในตอนนี้จุดสีส้มที่ติ่งหูของนางก็กลายเป็สีแดงซึ่งหมายความว่าพิษของหนอนซากศพในตัวของนางถูกขจัดออกไปจนหมดแล้ว!
“เรียบร้อยแล้ว”ข้าวางกริชนั้นลงก่อนจะเดินออกจากห้องอาบน้ำไป
ทหารที่ยืนรออยู่ข้างนอกเมื่อเห็นข้าเดินออกมาต่างก็พากันถามด้วยดวงตาเท่าไข่ห่าน“คุณชายปู้ ท่านแม่ทัพของพวกเราเป็อย่างไรบ้างขอรับ?”
“รักษาเรียบร้อยแล้วแต่พวกเ้าอย่าเพิ่งรีบเข้าไปเลย ปล่อยให้นางได้พักผ่อนสักพักก่อน”
“ได้...ได้ขอรับขอให้ท่านแม่ทัพอายุยืนหมื่นปีหมื่นๆ ปี”
นายทหารพลตรีคนหนึ่งเดินเข้ามาชกที่หัวไหล่ข้าเบาๆก่อนจะหัวเราะแล้วพูดขึ้น “เก่งเหมือนกันนี่เ้าหนุ่มวันหน้าถ้าได้ไปที่เขตชายแดนขอแค่เอ่ยชื่อข้าโฉเฟยหยาง มีเื่อะไรก็ขอให้บอก!”
ข้าพยักหน้ารับ
เป็ถึงนายทหารแต่กลับดีใจจนะโโลดเต้นเหมือนเด็กน้อยแบบนี้มันน่าอายชะมัด
...
พอภารกิจของข้าเสร็จสิ้นก็กลับไปที่โรงเกลากระบี่กินปลาเค็มไปตัวหนึ่งแล้วเริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาาขั้นที่ห้าอย่างพลังวาตะพิฆาตทันที
แต่ปัญหาที่ข้าหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยก็คือโสมโลหิตเก้าร้อยปีแท่งสุดท้ายหมดไปั้แ่ฝึกฝนวิชาลมหายใจัขั้นที่แปดแล้ว และข้าก็ไม่มีสมุนไพรในการบำรุงอย่างอื่นแล้วด้วยการฝึกฝนในขั้นที่ห้าของเคล็ดวิชาาจะต้องสูญเสียพลังลมปราณไปอย่างมากแน่นอนแต่จะรอให้บรรลุตามธรรมชาติ คงต้องรอถึงห้าปี ซึ่งข้าไม่เอาด้วยเหมือนกัน
หลังจากเคลื่อนพลังไปหลายต่อหลายรอบก็มีเสียงกีบม้าเดินมายังประตูของโรงเกลากระบี่แห่งนี้ก่อนจะได้ยินเสียงที่แสดงถึงความเคารพดังขึ้นจากนอกประตู“คุณชายปู้อยู่ข้างในหรือเปล่าขอรับ? ท่านแม่ทัพบอกให้ข้ามาตามท่านไปพบ”
ดูเหมือนว่าซูซีอวี๋จะหายดีแล้วสินะ...
ณห้องของรองเ้าสำนัก
นอกจากพี่เสวียนยินและสวี่ลู่แล้วยังมีซูซีอวี๋และทหารชั้นสูงหลายคนอยู่ด้วยซึ่งใบหน้าของแต่ละคนบ่งบอกถึงความขอบอกขอบใจที่ข้าได้ช่วยชีวิตแม่ทัพของพวกเขาไว้
“เสี่ยวเชวียนมานั่งนี่สิ” พี่เสวียนยินบอก ข้าจึงเดินไปนั่งลงข้างๆ นางโดยฝั่งตรงข้ามของเรามีซูซีอวี๋ที่นั่งอยู่เช่นกัน
นางค่อยๆปลดกริชสั้นเล่มนั้นออกแล้วผลักให้ไถลมาตามโต๊ะก่อนจะว่าพลางยิ้ม“นี่เป็อาวุธิญญาระดับเงินเรียกว่า กริชปลิดิญญา ที่ข้าพกติดตัวมาหลายปีซึ่งข้อดีของมันคือสามารถเจาะทะลุเกราะรบิญญาและสิ่งของที่มีลักษณะแข็งได้ แม้แต่ข้ายังไม่เคยเห็นอาวุธชิ้นไหนแข็งแรงเท่านี้มาก่อนและดูเหมือนว่าเ้าก็ชอบมันไม่น้อยเลยตัดสินใจยกให้”
ข้าถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินก่อนจะบอกไป“ท่านเอาของที่พกติดตัวมาตลอดให้ข้าแบบนี้มันไม่ดีมั้ง?”
นางลอบยิ้มก่อนจะพูดตอบ“ข้ามีของพวกนี้มากมาย กะอีแค่ยกกริชเล่มเดียวให้เ้าไป ข้าก็ไม่เสียดายหรอกนะ”
ปู้เสวียนยินเลื่อนกริชนั่นมาวางไว้ตรงหน้าของข้าแล้วพูดขึ้น“แบบนี้ข้าก็เกรงใจแย่สิซีอวี๋...”
ซูซีอวี๋ได้ยินถึงกับกลอกตามองแล้วพูด“ไม่เห็นว่าเ้าจะเกรงใจข้าตรงไหนเลย”
นางบอกกับพี่เสวียนยินก่อนจะยิ้มแล้วพูดต่อ“และข้ายังมีของเล็กๆ น้อยๆ จะให้เสี่ยวเชวียนเป็การขอบคุณอย่างไรก็ช่วยรับไว้ทั้งหมดนั่นแหละ”
นางพูดจบทหารสองนายก็ยกกล่องมาวางไว้เบื้องหน้าของข้าเมื่อเปิดออกดูแล้วก็เป็จินตานหนึ่งลูก แท่งโสมโลหิตระดับสูงจนน่าใตราสัญลักษณ์ประจำตำแหน่ง รวมไปถึงบัตรอะไรสักอย่างหนึ่งใบ...
อึก...
ทหารนายหนึ่งถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ทำให้รู้ว่าแต่ละอย่างในนี้เป็ของดีๆ ทั้งนั้น
ซูซีอวี๋ว่าพลางยิ้ม“อะ...นี่เป็จินตานของสัตว์ิญญาระดับเจ็ดอย่างเสือดาวเมฆมรกตและนั่นคือโสมโลหิตอายุหนึ่งพันสองร้อยปีรวมไปถึงตราสัญลักษณ์ของทหารชายแดนที่เ้าสามารถเรียกทหารรับใช้ได้ถึงหนึ่งร้อยนายและบัตรเครดิตที่มีเงินอยู่ห้าล้านเหรียญเพื่อให้เ้าไว้ใช้ในยามบำเพ็ญและฝึกฝน”
ข้าขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตอบไป“ท่านซูซีอวี๋ ที่ข้าช่วยถอนพิษออกให้เพราะท่านเป็เพื่อนของพี่เสวียนยิน และเป็อาของซูเหยียนไม่ใช่เพราะอยากได้ของพวกนี้จากท่านสักหน่อย”
นางยิ้มออกมาแล้วพูดขึ้น“ข้ารู้...แต่ข้าเป็เพื่อนของเสวียนยินก็ถือว่าเป็พี่สาวของเ้าด้วยแล้วแบบนี้จะไม่รับของขวัญของการพบหน้ากันครั้งแรกของพวกเราหน่อยหรือไง? รับไว้เถอะน่า ถือเป็น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากข้า”
ปู้เสวียนยินพยักหน้ารับก่อนจะพูดเสริม“รับไว้เถอะเสี่ยวเชวียน เหอะ! ปกติซีอวี๋ไม่เคยใจดีกับข้าแบบนี้เลยสักครั้งแถมตอนที่ข้าไปเยี่ยมนางที่กองทหารชายแดนยังเอาข้าวผัดผักมาให้ข้ากินอีกต่างหาก...คิดแล้วก็โมโห!”
ซูซีอวี๋หัวเราะออกมาน้อยๆพร้อมกับนายทหารที่ด้านหลังก็ยิ้มออกมาอย่างเขินๆดูเหมือนว่าการอยู่ในกองทหารชายแดนจะไม่ได้สุขสบายอย่างที่คิดไว้สินะ
ข้ารับของหลายอย่างไว้แต่กลับยื่นบัตรเครดิตคืนให้นางก่อนจะพูดขึ้น“พี่ซีอวี๋ อย่างอื่นข้ารับไว้ได้ แต่บัตรนี้ท่านเอาคืนไปเถอะถึงจะเป็เงินจำนวนไม่มากที่ข้าพอจะช่วยกองทหารชายแดนได้ แต่ก็ถือว่าเป็เจตนาดีๆของข้าก็แล้วกัน”
ซูซีอวี๋รู้สึกตื้นตันใจเล็กน้อย“อืม แบบนั้นก็ได้ วันหน้าถ้ามีอะไรให้ช่วยก็ขอให้บอกข้าได้เลยหรือถ้าถูกเสี่ยวเหยียนรังแกข้าก็ยังอยู่ข้างเ้าเหมือนเดิม!”
“ขอบคุณท่านมากขอรับ...”
...
ในคืนนั้นซูซีอวี๋พาทหารกลับไปยังชายแดนเหมือนเดิมส่วนข้าก็ตัดสินใจกลืนจินตานระดับเจ็ดลงไป เพราะขอแค่สลายและดูดซึมพลังของมันสำเร็จข้าอาจจะบรรลุการบำเพ็ญไปถึงระดับสมบูรณ์ของขั้นเทวิญญาเลยก็เป็ได้ และถ้าเป็แบบนั้นก็ถือว่าตามเ้าเชวียนหยวนจิ้นจนทันแล้วล่ะ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้