หนอนผีเสื้อตัวอ้วนๆ คืบคลานอยู่บนใบไม้ใบหนา บนใบไม้ยังคงมีหยาดน้ำค้างเกาะอยู่ พ่อไก่ตื่นมาโก่งคอขันั้แ่เช้าตรู่ ท่าทางผ่าเผยนั้นค่อยๆ เดินเข้ามา เ้าหนอนผีเสื้อตัวอ้วนสุดท้ายก็ไม่อาจหลีกหนีโชคชะตา ถูกพ่อไก่จิกลงท้องในคราเดียว หลังจากได้กินเ้าหนอนตัวอ้วนลงท้อง เ้าไก่ก็ตีปีกอย่างเบิกบาน ทั้งยังยกตีนไก่ของมันขึ้นมาชนปีกอีกสองสามที
เมื่อทุกขั้นตอนของมันผ่านพ้นไปแล้ว มันก็อดจะขันขึ้นมาอีกทีไม่ได้
เฉินโย่วที่ยังนอนอุตุอยู่บนเตียงเมื่อได้ยินเสียงพ่อไก่ขันขึ้นในคราแรก ก็รีบซุกศีรษะหลบลงไปใต้ผ้าห่ม
จวบจนเมื่อมันขันดังขึ้นครั้งที่สอง นางก็อยากจะลุกขึ้นมาจัดการหักคอมันนัก วสันตฤดูที่แสนง่วงซึม สรรพสิ่งล้วนค่อยๆ เติบโต เป็เวลาที่เหมาะแก่การนอนหลับที่สุด
เฉินโย่วที่กำลังหลบอยู่ใต้ผ้าห่ม สุดท้ายก็ถูกพี่ชายลากออกมาจากผ้าห่มจนได้ “รีบลุกเร็วเข้า วันนี้ตลาดด้านล่างจะเปิดแล้ว หากเ้ายังไม่ตื่น คงต้องพลาดการเดินตลาดแน่”
ยามอาลู่เลิกผ้าห่มขึ้นก็เห็นเด็กหญิงนอนคุดคู้เป็ก้อนกลม ใบหน้าจึงปรากฏแววทั้งเอ็นดูทั้งจนใจ
ในวันปกติหากนางออดอ้อน อาลู่ก็คงปล่อยผ่านให้นางนอนต่ออีกสักหน่อย ทว่าวันนี้เป็วันที่ที่ราบไป๋กู่ด้านล่างูเากระดูกจะเปิดตลาดใหม่อย่างเป็ทางการ
เฉินโย่วในฐานะผู้ใหญ่บ้านน้อยของหมู่บ้านไป๋กู่ ทั้งยังเป็ตัวมงคลของหมู่บ้านจึงจำเป็ต้องไปปรากฏตัวให้ได้
ธรรมดายังดีที่มีอาสวินร่วมนอนี้เีไปด้วยกัน ทว่าวันนี้กลับเป็วันที่หาดูได้ยากยิ่ง อาสวินถูกปลุกให้ออกไปข้างนอกั้แ่เช้าตรู่แล้ว
งานเปิดตลาดใหม่นี้มีเื่วุ่นวายต้องจัดการอีกมาก เช่นนั้นเขาจึงจำเป็ต้องไปช่วยเหลือ
วันนี้ในหมู่บ้านไป๋กู๋แทบจะไม่มีใครว่างงาน คนเดียวที่ว่างที่สุดเห็นจะเป็เ้าสุนัขสีทองตัวโตหน้าหมู่บ้าน เ้าสุนัขตัวนี้เป็ตัวที่ชายปากแหว่งเก็บมาเลี้ยงไว้ในหมู่บ้าน ทั้งวันมันเอาแต่นอนอยู่หน้าหมู่บ้านพร้อมกับแกว่งหางยาวๆ ของมันอยู่ท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นที่สาดส่องลงมา
ยามคนเข้าออกหมู่บ้าน ก็จำต้องหันมามองเ้าสุนัขตัวนี้
“เ้าปากแหว่งนี่ช่างมีเงินเสียจริง เมื่อก่อนยามที่พวกเขายังหนุ่มกระทั่งข้าวก็ยังไม่พอกิน จะเอาจากไหนมาเลี้ยงสุนัขได้ ทั้งสุนัขเช่นนี้ยามนั้นก็นับว่าเป็อาหารได้มื้อหนึ่ง ทว่าเด็กหนุ่มรุ่นหลัง อาหารกลับมีมากมายเสียจนกินไม่หมด ต้องเอามาให้สัตว์เดรัจฉานเช่นนี้ มันน่า...” เหล่าคนชราในหมู่บ้านเมื่อเห็นเ้าสุนัขสีทองตัวอ้วนเผละ ก็อดจะบ่นขึ้นมาไม่ได้
บ่นจนผู้คนในหมู่บ้านฟังจนชาชินแล้ว เมื่อบ่นจบชายชราก็ยกมือขึ้นเช็ดปากมันแผล็บของตน แล้วเอามือไพล่หลังอาบแดดต่อ
ชีวิตแต่ละวันราวกับเทพเซียน ทั้งคราบน้ำมันบนปากนั้นยังมาจากการกินเนื้อจริงๆ มิใช่ใช้น้ำมันมาทาปากเสแสร้งว่ากินเนื้อมา
ยามนี้หมู่บ้านไป๋กู่มีสามสิ่งที่มีมากเกินไป
หนึ่งคือคนพิการ เมื่อเข้าไปในหมู่บ้านแล้วไม่ว่าคนพิการแบบใดล้วนมีให้เห็น ทั้งมือด้วน เท้าด้วน ตาเดียว หรือปากแหว่ง...ขาดเพียงแค่คนหัวขาดเท่านั้น
สองคืออิสตรี แม่นางในหมู่บ้านนั้นไม่เพียงแต่มีมาก ทั้งยังล้วนแต่หน้าตาสะสวย นอกจากจะสวยก็ยังดุดันโผงผาง ไม่เหมือนกับแม่นางจากที่อื่นที่เอาแต่เหนียมอาย สตรีที่นี่ล้วนแต่เลี้ยงดูตัวเองได้ทั้งนั้น และยังมีทะเบียนครัวเรือนเป็ของตัวเองอีกด้วย
สามคือสัตว์ ม้าในหมู่บ้านกินอาหารเหมือนมนุษย์ สุนัขในหมู่บ้านนั้นกินหมั่นโถว นกในหมู่บ้านก็ทำงานได้ ส่วนพวกม้าและแกะที่อยู่เป็ฝูงนั้นมีมากเสียจนนับไม่ถ้วน
สามสิ่งที่มากเกินไปนี้กลายมาเป็จุดเด่นของหมู่บ้านไป๋กู่ ทว่าวันนี้เื่สำคัญคือการเปิดตลาดใหม่อย่างเป็ทางการ
ความจริงแล้วยามถึง่หิมะละลาย กระทั่งท่านนายอำเภอก็ยังชอบมาที่หมู่บ้านไป๋กู่อยู่บ่อยๆ คนที่เดินทางมายังหมู่บ้านแห่งนี้ค่อยๆ มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
กลุ่มที่มาบ่อยที่สุดเห็นจะเป็เหล่าพ่อค้า หรือจะเป็ชาวบ้านหมู่บ้านข้างเคียงก็มีมาอยู่บ้าง หรือจะเป็คนในอำเภอิเหอทั่วไปก็เดินทางมาเช่นกัน
ด้านล่างูเาจึงค่อยๆ รวมตัวกันเป็ตลาดใหญ่ขึ้นมา ทุกเดือนในวันที่สิบห้าจึงคึกคักเป็พิเศษ ถึงขั้นคึกคักยิ่งกว่าตลาดในอำเภอิเหอเสียอีก
เพียงยังไม่ถึงวันที่สิบห้า ในวันปกติของหมู่บ้านไป๋กู่ก็มีคนมาเพื่อติดต่อกับโรงทอผ้าอยู่ไม่น้อย
เมื่อคนเ่าั้มาส่งขนแกะ ก็ถือโอกาสซื้อผ้าขนสัตว์และอุปกรณ์อื่นๆ กลับไปด้วย กระทั่งพ่อค้าแคว้นเชิน หรือพ่อค้าจากแคว้นจิงจะเดินทางมาที่นี่ก็ไม่นับว่าไกล
แคว้นซีแม้จะนับว่าไกลอยู่สักหน่อย ทว่าการค้าของแคว้นซีนั้นรุ่งเรืองนัก จึงได้เริ่มเดินทางผ่านเส้นทางทางน้ำมานานแล้ว เช่นนั้นการเดินทางมาที่จึงไม่นับว่าไกลเช่นกัน
ดังนั้นพื้นที่รกร้างนอกหมู่บ้านไป๋กู่ จึงค่อยๆ มีบ้านเรือนมาปลูกเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าเรือนโดยส่วนใหญ่นั้นก็เป็ของคนในหมู่บ้านไป๋กู่ พื้นที่ล้วนเป็ของหมู่บ้านไป๋กู่
เมื่อมองตลาดที่นับวันจะยิ่งเจริญรุ่งเรือง ท่านนายอำเภอเฉินจึงถือโอกาสเสนอให้ตั้งที่นี่เป็เมืองอย่างเป็ทางการ
เมื่อเปิดตลาดอย่างเป็ทางการแล้ว ศูนย์กลางสำคัญของอำเภอิเหอก็อาจจะย้ายมาที่นี่ ทว่าท่านนายอำเภอเฉินกลับไม่กังวลแม้แต่น้อย ศาลาว่าการเดิมทีก็ทรุดโทรมเหลือเกิน หากยามที่เขาพ้นวาระไปแล้วสามารถสร้างเมืองแห่งใหม่ขึ้นมาได้ ก็เท่ากับว่าเขาได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่โตขึ้นมาแล้ว
เมื่อก่อนนั้นเขาเอาแต่หวังให้วันพ้นวาระของตนนั้นมาถึงเร็วหน่อย ทว่าทุกวันนี้เขาเอาแต่เฝ้าฝันให้มันมาถึงช้าลงสักหน่อย
เวลาในแต่ละวันไม่เคยจะมีเพียงพอ
ทั้งเขานั้นก็ไม่ได้เอาแต่หลบอยู่ในศาลาว่าการเพื่ออ่านกลอนวาดภาพอีก แต่กลับเริ่มทำงานอย่างจริงจังแทนแล้ว
ตลาดแห่งนี้ก็ได้ท่านนายอำเภอเฉินเป็คนร่วมสร้างมา หลังจากที่ซื้อตัวเหล่าครอบครัวของขุนนางทรราชมา แม้เขานั้นจะไม่ได้มีส่วนร่วมต่อ ทว่าเื่หมู่บ้านไป๋กู่และค่ายทหารก็ได้เขาช่วยชักใยอยู่เื้ั
แม้ว่าตลอดเส้นทางที่ส่งตัวสตรีเ่าั้มาจะไม่อาจหลีกหนีความยากลำบากไปได้ แต่เมื่อเข้ามาในหมู่บ้านไป๋กู่แล้วก็ยังนับว่าแตกต่างกับค่ายทหารแห่งนั้นราวฟ้ากับเหว ทว่าสิ่งหนึ่งที่ท่านนายอำเภอยังไม่รู้ ความกล้าของทหารชายแดนเ่าั้ยังมากกว่าเขานัก พวกเขาไม่เพียงขายคนในครอบครัวขุนนางทรราชให้หมู่ไป๋กู่เท่านั้น นักโทษปะาที่จับมาได้ หากขายได้ก็ล้วนขายไปหมด ถึงขั้นคบค้ากับกองทัพฮั่นกระทั่งตนเองก็ยอมขาย ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่คาดไม่ถึงว่าอดีตรังโจรแห่งนี้จะกลายมาเป็หมู่บ้านไป๋กู่ ทั้งยังพัฒนาได้รวดเร็วนัก ถ้ำเชลยที่เคยเป็สถานที่ที่เหล่าคนพิการเคยโดนทรมานอย่างไร้มนุษยธรรม ก็ได้ะเิพลังออกมา
เหล่าสตรีสูงศักดิ์ในครอบครัวขุนนางหลังจากที่เคยได้รับความทุกข์ทรมานก็ะเิพลังออกมาเช่นกันเหล่าคนที่เคยไม่เต็มใจจะเข้ามาอยู่ในค่ายบนูเาแห่งนี้ ยามนี้ก็ได้สร้างครอบครัวแล้วก็ะเิพลังออกมาเช่นกัน
เื่เหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบด้วยความมุมานะจนะเิขุมกำลังออกมา
เฉินโย่วที่ถูกดึงให้ลุกขึ้นมาั้แ่เช้า เมื่อกินข้าวเช้าและจัดการตัวเองจนเรียบร้อยแล้วก็ลงจากเขาไปพร้อมพี่ชาย
ยามลงเขามีเส้นทางให้เลือกสองเส้น เส้นแรกคือเดินตามเส้นทางบนถนนกระดูกตามปกติ อีกเส้นทางหนึ่งคือสามารถนั่งกระเช้าของหมู่บ้านได้
เฉินโย่วอยากเดินตามถนนปกติมากกว่า ทว่าตอนนี้ก็เริ่มจะสายมากแล้ว ด้วยเพราะนางเอาแต่กลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอน เวลาจึงได้กระชั้นนัก ดังนั้นอาลู่จึงตัดสินใจพานางนั่งกระเช้าไปดีกว่า
กระเช้านั้นกล่าวขึ้นมาก็ฟังดูเหมือนยากเย็น ทว่าความจริงแล้วก็เป็เพียงตู้รถม้าตู้หนึ่งที่ใช้เหล็กผูกไว้ให้แน่น จากนั้นจึงค่อยพาตู้รถม้าที่แขวนอยู่ลงไปยังด้านล่าง
เฉินโย่วไม่ได้ลงจากเขามานานมากแล้ว ด้วยเพราะด้านล่างนั้นมีคนมากมาย ทุกคนจึงไม่วางใจนัก
วันนี้ได้ตามพี่ชายลงจากเขา จึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
นางไม่กลัวความสูงแม้แต่น้อย ศีรษะเล็กๆ นั้นยื่นออกมาจากตู้รถม้ามองดูด้านล่าง
เพราะระยะทางจากกระเช้ากับพื้นดินห่างกันมาก คนทั่วไปจึงมองเห็นเบื้องล่างไม่ชัดนัก อีกทั้งตลอดเส้นทางจากยอดเขาถึงตีนเขาก็มีหมอกหนาปกคลุมอยู่เป็นิตย์
อาลู่แม้จะมีสายตาดีกว่าคนอื่นอยู่สักหน่อย ก็ยังมองเห็นได้เพียงรางๆ ทว่าเฉินโย่วสายตาเป็เลิศเสียยิ่งกว่าเลิศ
ยามยังนั่งอยู่ในตู้รถม้าที่โยกไปโยกมานี้ ก็ยังสามารถมองเห็นผู้คนบนถนนกระดูกได้
จากไกลๆ ก็มองเห็นคนสวมหน้ากากคนหนึ่งบนหลังม้า นางจึงโบกมือขึ้นอย่างดีใจ “พี่ชายดูเร็ว น้าอวี้อยู่ทางนั้น”
อาลู่นั้นมองเห็นไม่ชัด เห็นเพียงถนนกระดูกที่แสนคดเคี้ยวตรงข้ามตนมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินอยู่ เฉินโย่วนั้นยังคงกล่าวขึ้นอย่างมั่นใจพร้อมผงกหัวน้อยๆ “น้าอวี้ยามขี่ม้าช่างงดงามนัก”
หน้าผาข้างถนนกระดูกยังมีเถาวัลย์เขียวขจีมากมายห้อยย้อยลงมา เส้นทางที่พอจะให้ม้าวิ่งขนานกันได้สองตัวนั้น บัดนี้มีกลุ่มคนและม้าเดินอยู่กลุ่มหนึ่ง หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งที่สวมหน้ากากอยู่ รูปร่างสูงโปร่งคล่องแคล่ว ขาทั้งสองนั้นคร่อมอยู่บนหลังม้า ทำให้คนมองแล้วรู้สึกว่าร่างนั้นช่างเปี่ยมไปด้วยพลัง
คนบนหลังม้านั้นสวมหน้ากากไว้ เผยให้เห็นเพียงดวงตาและริมฝีปากเท่านั้น ยิ่งขับให้เ้าของร่างนั้นดูงดงามนัก
“หลานอวี้ ยามอยู่บนถนนกระดูกมิอาจหันกลับหลังได้ ห้ามหันกลับไปเด็ดขาด” ชายคนที่เดินนำขบวนอยู่กล่าวขึ้นเสียงดัง
หลานอวี้ที่เพิ่งจะเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนกำบังเหียนม้าอย่างสบายๆ แล้วจึงเปล่งเสียงตอบด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้างประโยคหนึ่ง “ข้าทราบแล้วหัวหน้า”
