“ฮูหยิน!” ไม่รู้ว่าสาวใช้คนใดร้องลั่นขึ้นมาอย่างเศร้าโศกเป็ที่สุดจากนั้นบ่าวไพร่สาวใช้ทั้งจวนก็พากันลุกขึ้นวิ่งวุ่นไปมากลายเป็ความโกลาหลขนานใหญ่
นางเฝิงมองไปยังรอยย่นที่หางตาของราชครูหลิ่ว เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านพี่ ข้าขอล่วงหน้าไปก่อนแล้วเ้าค่ะ” พูดจบดวงตาทั้งคู่ก็ปิดลง
“หว่านเอ๋อร์!”
ร่ำลือกันว่าชั่วชีวิตนี้ราชครูหลิ่วแต่งนางเฝิงเป็ภรรยาเพียงผู้เดียว ไม่ว่าทางตระกูลของเขาจะคัดค้านเื่รักและเอาใจสตรีคนเพียงผู้เดียวหรือต่อให้หลังแต่งงานนางเฝิงจะมีหลิ่วจิ้งซึ่งเป็บุตรสาวเพียงคนเดียวและไม่มีบุตรอีกเลยก็ตามเขาก็ยังคนรักมั่นใจเดียว มิเคยเปลี่ยนใจ
เมื่อเหล่าสาวใช้และบ่าวชราที่ทำงานในจวนหลิ่วมานานปีเห็นภาพนี้ก็อดจะดึงเอาผ้าทอลายในอกเสื้อออกมาเช็ดน้ำตาอยู่เงียบๆ ไม่ได้
ดวงตาของหยวนเซิ่งชิงหยุดอยู่ที่ร่างของนางเฝิงไม่อาจไปสนใจเื่อื่นหลิ่วจิ้งเห็นว่านี่คือโอกาสเหมาะ จึงให้สาวใช้นางหนึ่งบังตัวนางไว้ มุดตัว ‘ผลุบ’ ออกไปที่ระเบียงทางเดินและไม่มีใครพบเห็นนางอีก
จนในจวนสงบลงหยวนเซิ่งชิงกวาดตาไปก็หาร่างที่สวมชุดสีขาวนั้นไม่พบเสียแล้วเขาคว้าแขนราชครูหลิ่ว ดึงร่างชราภาพของเขาให้ลุกขึ้นมา
“ขอท่านลุงโปรดอย่าทำให้ผู้เยาว์ต้องลำบากใจมอบตัวหลิ่วจิ้งออกมาเสีย ท่านเป็ผู้ปราดเปรื่องก็ควรจะรู้ว่าผลแห่งการขัดต่อราชสำนักจะเป็เช่นใด!” เขาเอ่ยคำโดยไม่เกรงใจแม้แต่น้อยในใจยิ่งร้อนรนประหนึ่งมดบนหม้อร้อน
มือของราชครูหลิ่วยังคงกุมกอดภรรยาที่รักไว้ แย้มยิ้มอย่างโศกศัลย์ “ข้าหลิ่วฉางเซิงเป็ผู้ปราดเปรื่องมาทั้งชีวิตยามนี้จะขอเลอะเลือนสักคราว คุณชายหยวน ข้าฟังที่ท่านว่ามาไม่รู้เื่เลยสักนิดพวกเราอย่าได้ล่วงเลยเวลาปะาจะดีกว่า”
“ท่าน!” หยวนเซิ่งชิงปล่อยตัวเขาลงหันไปออกคำสั่งต่อทหารรักษาแคว้นว่า “ค้นในจวนให้ทั่ว! เป็ต้องเจอคน ตายต้องเจอศพ!”
ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ราชครูหลิ่วก็ยังคงมีท่าทีไม่ยี่หระประหนึ่งว่าโลกนี้ไม่มีคนชื่อหลิ่วจิ้งอยู่เช่นนั้น
หยวนเซิ่งชิงกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมา “ตามคนมา คุมตัวทุกคนในจวนหลิ่วไปปะาที่ลานปะา!”
หัวหน้าองครักษ์รักษาเมืองเดินเข้ามา ประสานมือคำนับเอ่ยว่า “คุณชายหยวน ครั้งฮ่องเต้เสร็จออก ทรงกำชับมาเป็การพิเศษขอรับ”
“ว่ามา”
หยวนเซิ่งชิงเอียงหูเข้าหาเพียงได้ยินปากของเขาก็โพล่งคำออกมาทันใด “บุรุษให้นำไปตัดหัวประจานยามเที่ยง สตรีให้นำไปเป็คณิกาหลวง”
เขาใจเต้น ‘ตึกตัก’ กำลังจะสำนึกเสียใจกับสิ่งที่เพิ่งเอ่ยออกไปแต่เพียงอึดใจต่อมาก็กลับเห็นว่าทหารรักษาแคว้นนายหนึ่งใช้สองมือหิ้วตัวหลิ่วจิ้งเหมือนกำลังหิ้วปีกไก่รุ่นกระทงเข้ามา
ใบหน้าของหลิ่วจิ้งแดงเถือกไปข้างหนึ่งดูออกไม่ยากว่าเมื่อครู่นี้นางต้องคิดหาหนทางขัดขืน จึงถูกทหารรักษาแคว้นจัดการเอา
ต้นไม้ล้มวานรแยกย้าย กำแพงทลายผู้คนผลัก[1]
“คุณชายหยวน พวกเราหาตัวพบแล้วขอรับ!”
หยวนเซิ่งชิงกวาดสายตาเย็นเฉียบไปยังหลิ่วจิ้งที่ถูกลากตัวเข้ามาในท่าคุกเข่าทั้งสองข้างทั้งกางเกง หัวเข่าและขาของนางไถลากมากับพื้นจนฉีกถลอกไปหมดแล้ว บนทางเดินเส้นเล็กปูด้วยกรวดมนทรงไข่ห่านที่เพิ่งลากตัวนางผ่านมาจึงมีรอยเืยาวเป็ทาง
หัวใจของเขาดังถูกมือไร้รูปบีบเอาไว้แน่น
หลิ่วจิ้งถ่มเืจากในปากออกมาเงยหน้าขึ้นมองหยวนเซิ่งชิงคราวหนึ่ง ยิ้มเยาะตนเอง
“คุณชายหยวนรึ? ฮ่าๆๆ…”
ทั่วทั้งลานบ้านอันเวิ้งว้างมีเสียงหัวเราะที่ทั้งบ้าคลั่งทั้งรันทดของนางดังสะท้อนไปมาไม่หยุดหย่อนทว่าแท้ที่จริงแล้วเสียงนั่นคือเสียงของหัวใจที่แตกสลาย...
ภายในห้องขังที่มืดทึบอับชื้น ยังคงพอจะได้ยินเสียงน้ำฝนจากภายนอกสาดกระทบหน้าต่างขึ้นสนิมข้างบนหัวได้
หลิ่วจิ้งค่อยๆ ขยับร่างที่เ็ปไร้กำลัง ลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง
มีเสียงคนสองสามคนกำลังพูดคุยกันดังมาจากนอกห้องขัง
“เ้ารอง เ้าว่าทั้งครอบครัวราชครูหลิ่วนี่ช่างน่าอนาถหรือไม่ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาให้พวกผู้ชายล้วนถูกตัดหัว ส่วนพวกผู้หญิงก็ต้องถูกจองจำในคุกรอไปเป็คณิกาหลวงในวันพรุ่งชาติก่อนราชครูหลิ่วผู้นี้ไปสร้างเวรสร้างกรรมใดกันไว้นะ” ชายหนุ่มเสียงอย่างเป็ดตัวผู้เอ่ย
“อย่าพูดเสียดีกว่า เที่ยงวันนี้ ข้าไปได้ยินพวกพี่น้องในกองทหารรักษาแคว้นที่เป็ผู้ไปคุมตัวพวกเขาเล่าว่าพวกผู้ชายสามรุ่นของราชครูหลิ่ว ั้แ่คนแก่ ยันเด็กเล็ก ล้วนถูกตัดหัวกันจนหมดเ้าไม่ได้เห็นว่ายามปะานั้นมีเืหลั่งอยู่บนพื้นมากเท่าใดพี่น้องข้าเป็ทหารมาก็หลายปี ยังบอกว่าเพิ่งเคยเห็นการปะาที่น่าอนาถเพียงนี้กับตาเป็คราแรก”
“เฮ้อ ตอนข้าไปส่งอาหารเที่ยงในคุกเมื่อครู่นี้ก็ยังตั้งใจไปดูคุณหนูสกุลหลิ่วผู้นั้นสักหน่อย หน้าตานางไม่เลวเลย น่าเสียดายแท้ๆเฮ้อ!”
หลิ่วจิ้งเหม่อมองไปยังหมั่นโถวจานหนึ่งและน้ำที่ทั้งเหลืองทั้งเหม็นที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเบื้องหน้านาง
มุมปากของนางโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มประหลาด
ท่านพ่อ... ชั่วชีวิตท่านเทิดทูลกษัตริย์รักใคร่บ้านเมืองแต่ในยามแก่ชรา กลับแลกมาซึ่งจุดจบที่ร่างต้องแยกจากหัวดังนี้ นี่มันสมควรแล้วหรือ?
หากชาติหน้ามีจริง! ข้าจะต้องให้เหล่าคนสกุลหวงชดใช้หนี้เืนี้ให้จงได้!
เสียงสะอื้นไห้แสนเศร้าสร้อยบางเบาดังอยู่ภายในห้องขัง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด จวบจนแสงเดือนนอกหน้าต่างส่องเข้ามารำไรทำให้เกิดเงาดำบางๆ ทอดตัวอยู่บนพื้น
หลิ่วจิ้งเองก็ไม่รู้ว่าตนเองนั่งร้องไห้เงียบๆอยู่เช่นนี้นานเท่าใดแล้ว นางหวังเหลือเกินว่าตนเองจะสิ้นใจตายไปอย่างเงียบๆไม่ต้องมีความเ็ปใดและไม่ต้องแยแสไม่ต้องทนรับกับสายตาแปลกประหลาดจากผู้ใดทั้งสิ้นหากสามารถตายไปเงียบๆ เช่นนี้คงจะดีไม่น้อยเลย
ท่านแม่... ข้าคิดถึงท่านเหลือเกินจิ้งเอ๋อร์คิดถึงพวกท่านเหลือเกิน!
น้ำตาอาบไปทั้งใบหน้าของนาง เสื่อหญ้าทอผุๆเบื้องล่างพลันเปียกปอนและส่งกลิ่นอับและกลิ่นราขึ้นมา หลิ่วจิ้งปวดร้าวอยู่ในใจนอกจากร่ำไห้แล้ว ก็ไม่มีทางออกใดอื่นที่สามารถระบายมันออกมาได้
ทันใดนั้น จู่ๆ แสงข้างบนหัวนางก็มืดมนลง
เสียงกระซิบบางเบาดังขึ้นข้างหูหลิ่วจิ้ง “อาจิ้งแห่งจวนหลิ่วใช่หรือไม่?”
นางเงยหน้าขึ้นมาทั้งสะอื้นอยู่น้อยๆใต้แสงไฟสีเหลืองจากตะเกียงไขมันวัวมองเห็นได้เพียงลางๆ คล้ายเป็ร่างคนผู้หนึ่ง
ผู้มาเยือนสวมเสื้อคลุมสีดำยาวั้แ่หัวจนถึงเท้าทั้งตัวเขาซ่อนอยู่ภายในเสื้อคลุม เปิดไว้เพียงดวงตาสองดวงที่กำลังมองมาทางนาง
ความรู้สึกประหลาดแล่นเข้ามาในใจของหลิ่วจิ้งจนป่านนี้แล้วยังจะมีใครที่อุตส่าห์มาเยี่ยมเยือนนางเป็พิเศษถึงในคุกนี่อีกหรือ?
ผู้มาเยือนขยับหลบไปข้างหลังเล็กน้อยน้อมตัวคำนับคราวหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “องค์หญิง ทรงมาตรัสกับนางเองเถิดเพคะ บ่าวจะออกไปเฝ้าอยู่ข้างนอกเพื่อมิให้มีคนเข้ามาเพคะ”
“อืม ไปเถิด” เสียงสดใสของสตรีที่ฟังดูไม่คุ้นหูเอ่ยตอบ
กระทั่งร่างของคนผู้นั้นหายลับไปตรงทางเลี้ยวสตรีที่ถูกเรียกว่าองค์หญิงสวมชุดคลุมสีดำยาวั้แ่หัวเช่นเดียวกับคนก่อนจึงค่อยก้าวออกมาข้างหน้า
นางเหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบห้องขังที่หลิ่วจิ้งอยู่เป็อันดับแรกก่อนที่สุดท้ายสายตาจะหยุดนิ่งและจ้องเขม็งมาที่ใบหน้าของหลิ่วจิ้ง
แววตาของหลิ่วจิ้งมืดมนลง ยิ้มเยาะตนคราวหนึ่ง จนป่านนี้แล้วนางกลับยังเฟ้อเจ้อนึกว่าเป็หยวนเซิ่งชิงส่งคนมาเยี่ยมนางใช่หรือไม่? นางเพ้อเจ้อเกินไปแล้วกระมัง? นับั้แ่พริบตาที่เขาพาทหารรักษาแคว้นมาที่จวนหลิ่ว พวกเขาทั้งสองคนก็ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆต่อกันอีกแล้ว
“องค์หญิงมีพระประสงค์ใดหรือเพคะ?” เพราะไม่ได้เอ่ยปากพูดจามาเป็เวลานาน ทั้งยังร้องไห้หนักเกินไปทำให้น้ำเสียงของนางฟังดูแล้วแหบแห้ง ไม่น่าฟังเป็ที่สุด
________________________________
เชิงอรรถ
[1] ต้นไม้ล้มวานรแยกย้ายกำแพงทลายผู้คนผลัก หมายถึงยามไร้ลาภยศวาสนา ผู้คนก็คอยทับถม รังแก